แก๊งคอลเซ็นเตอร์ไต้หวันหอบเงินกว่า 2 ล้านบาท มาคืนให้เหยื่อที่ถูกหลอกลวงเอาเงิน อ้างจะคืนภาษีให้ 23 ราย ต่อหน้าพนักงานดีเอสไอและพนักงานอัยการ เชื่อจะหวังเยียวยาความผิดก่อนศาลจะอ่านคำพิพากษา
วันนี้ (11 มี.ค.) ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก พ.ต.ท.ชลภัทร ปานสกุณ พนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ได้พาตัวแทนของฝ่าย นายลีจุยจุง อายุ 56 ปี ชาวไต้หวัน จำเลยในคดีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่หลอกลวงเอาเงินจากผู้เสียหายด้วยการโทรศัพท์ไปแจ้งว่าจะคืนภาษีให้ นำเงินจำนวน 2 ล้าน 1 แสนบาท มาคืนแก่ผู้เสียหายจำนวน 23 ราย เพื่อเป็นการเยียวยาบรรเทาโทษจากความผิดที่ได้กระทำ โดยคดีนี้จำเลยถูกพนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องแล้วให้ปฏิเสธขอสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรมแต่ภายหลังเมื่อมีการสืบพยานโจทก์เสร็จสิ้นแล้ว จำเลยขอกลับคำให้การยอมรับสารภาพ พร้อมกับยินยอมคืนเงินให้แก่ผู้เสียหายก่อนที่ศาลนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 31 มี.ค. นี้
โดยนายกุลธนิต มงคลสวัสดิ์ พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เจ้าของสำนวนคดีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ กล่าวว่า เป็นการดีอย่างยิ่งที่ผู้เสียหายจะได้รับการเยียวยาก่อนที่จะมีคำพิพากษาจากศาล โดยคดีนี้จำเลยได้มอบเงินคืนให้แก่ผู้เสียหายส่วนหนึ่งต่อหน้าศาลแล้ว แต่ยังเหลือผู้เสียหายอีกหลายรายที่ยังไม่ได้เงินคืน ซึ่งจำเลยก็พร้อมจะคืนให้ทั้งหมด ส่วนการมอบเงินคืนวันนี้ เป็นการมอบเงินคืนให้แก่ผู้เสียหายต่อหน้าพนักงานสอบสวนดีเอสไอและพนักงานอัยการที่เป็นพยาน โดยมีวงเงินที่มอบให้ตั้งแต่ 10,000 จนถึง 380,000 บาท
ด้าน นายนภดล ดวงกระจ่าง เจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ อ.ศรีขรภูมิ จ.สุรินทร์ หนึ่งผู้เสียหายที่ได้รับเงินคืนคนแรก กล่าวว่า รู้สึกดีใจมากที่ได้รับเงินคืน ซึ่งช่วงที่ถูกหลอกเอาเงิน 13,000 บาทไปนั้นรู้สึกแย่มาก แต่ก็ยังโดนน้อยกว่าใครหลายๆ คน อยากฝากให้ประชาชนได้ระมัดระวังอย่าไปเชื่อใครที่ให้ทำธุรกรรมทางการเงินผ่านตู้เอทีเอ็ม หากจะทำธุรกรรมนั้นจะต้องไปที่ธนาคารด้วยตนเอง
ขณะที่ นายวัยนิตย์ ธนาคำ นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชาว จ.เชียงใหม่ เดินทางมารับเงินคืนจำนวน 45,000 บาท กล่าวว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์มักจะอาศัยช่วงเวลาที่ผู้เสียหายกำลังยุ่งอยู่กับการทำงาน เช่น ก่อนเวลาเที่ยงวันโทรมาพูดคุยหลอกให้ทำธุรกรรมทางการเงิน จึงทำให้ไม่ทันได้คิดว่าจะถูกหลอก ซึ่งตนรู้สึกดีใจมากๆ ที่ได้รับเงินคืน เช่นเดียวกันกับผู้เสียหายรายอื่นๆ
สำหรับคดีนี้อัยการฟ้อง นายลี จุย จุง เมื่อวันที่ 21 เม.ย.53 บรรยายพฤติการณ์สรุปว่า จำเลยกับพวกอีกหลายคนที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องได้ร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน เมื่อวันที่ 4-29 มิ.ย.52 เวลากลางวัน จำเลยกับพวกได้ร่วมกันหลอกลวงประชาชน ด้วยการแสดงตนว่าเป็นคนอื่น โดยการหลอกลวงของจำเลยกับพวกดังกล่าวเป็นเหตุให้ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินเข้าบัญชีบุคคลอื่นที่จำเลยกับพวกหลอกลวง แล้วจำเลยกับพวกได้นำอิเล็กทรอนิกส์ฝากถอนเงินอัตโนมัติ ไปถอนเงินโดยใช้บัตรผู้อื่นโดยมิชอบ เหตุเกิดที่แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร และอื่นๆ อีกหลายท้องที่ รวมเงินที่จำเลยกับพวกร่วมกันฉ้อโกงทรัพย์ไปจากผู้เสียหายทั้ง 23 คน เป็นเงิน 2,118,761.24 บาท ขอให้ลงโทษตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 269/5, 269/7, 341, 342, 343