ต้องยอมรับหัวใจที่ชาติรักแผ่นดินของเหล่าพี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจริงๆ ขนาดรู้ทั้งรู้ว่ามีอันตราย ถึงขั้นมีกลุ่มคนร้ายจัดเตรียมอาวุธสงครามเตรียมก่อเหตุทำร้ายคนพันธมิตรฯ ที่จะเริ่มปักหลักชุมนุมปกป้องอธิปไตยตั้งแต่เมื่อวันที่ 25 มกราคมที่ผ่านมา
แต่มวลชนก็หาได้เกรงกลัวอันตรายไม่ ตลอดทั้งวันอังคารที่25ม.ค.จึงได้เห็นภาพของพี่น้องพันธมิตรเดินทางมาร่วมแสดงพลังปกป้องแผ่นดินจนล้นถนนราชดำเนินนอก ยาวไปถึงถนนพิษณุโลก
เจอของจริงเข้าแบบนี้ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”นายกรัฐมนตรี และสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝายความมั่นคง คงรู้แล้วว่าใกล้จะปิดฉากรัฐบาลในอนาคตอันไม่ไกลนี้แล้ว ถ้าหากรัฐบาลอภิสิทธิ์ยังเพิกเฉยมิยอมรับพิจารณาจุดยืนของพันธมิตรฯในข้อเรียกร้อง 3 ข้อ คือ
1.เลิกบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-กัมพูชา ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก 2543(MOU43) 2.ผลักดันชาวกัมพูชาที่ล่วงล้ำเข้ามายังแผ่นดินไทยออกไปโดยเร็วที่สุด และ3.ให้ประเทศไทยถอนตัวจากการเป็นสมาชิกคณะกรรมการมรดกโลก
ไม่บรรลุเป้าหมายไม่กลับ ศึกนี้ยาวแน่นอน รับรองได้
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องติดตามต่อไป ก็คือการขยายผลสอบสวนข้อเท็จจริง กรณีการจับกุมคนร้ายที่เตรียมก่อเหตุปั่นป่วนในช่วงการชุมนุมของพันธมิตรฯ เมื่อช่วงค่ำของวันที่24 ม.ค.
จากเหตุการณ์ดังกล่าว ในอีกมุมหนึ่งก็ต้องยอมรับว่า ข่าวที่เกิดขึ้นย่อมมีผลในทางจิตวิทยากับประชาชน-มวลชนพันธมิตรไม่น้อย กับการที่ตำรวจสอบสวนไปจนพบอาวุธสงครามอย่างเครื่องยิงจรวดอาร์พีจี –เอ็ม 79 ที่คนร้ายอ้างว่า เพื่อเอาไว้ก่อเหตุทำร้ายคนพันธมิตรฯ ย่อมส่งผลให้คนที่คิดอยากมาร่วมชุมนุมกดดัน “รัฐบาลไทยหัวใจเขมร”เกิดความหวาดกลัวไม่กล้ามาร่วมชุมนุมมากนัก
ย่อมไม่ผิดถ้าจะสันนิษฐานว่า อาจเป็นแผนอันแยบยลเพื่อเล่นละครตบตาประชาชนของฝ่ายรัฐบาลและตำรวจ
อย่างที่นักสู้เพื่อประชาชนปากกล้าขาไม่สั่น ประพันธ์ คูณมี แกนนำหลักที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนการชุมนุมครั้งนี้ ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ เพราะรูปคดีมีปัจจัยเหตุหลายอย่างผิดปกติ และคนร้ายทั้งหมดน่าจะเป็นคนที่ตำรวจเลี้ยงไว้ใช้งานหลังเหตุการณ์เสื้อแดง
อย่างไรก็ตาม ว่ากันตามจริง คดีแบบนี้ถือเป็นคดีร้ายแรงโทษถึงขั้นประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต การที่คนร้ายคนไหนจะมาร่วมจัดฉากด้วย ก็ถือเป็นเรื่องยากเช่นกัน อันนี้ก็ต้องแล้วแต่การวิเคราะห์สถานการณ์กันไปตามข้อมูลที่แต่ละฝ่ายมี
กลุ่มคนร้ายแก๊งนี้ ประกอบด้วย นายธวัชชัย หรือดำ เอี่ยมนาค นายดร มาตา นายนพคุณ ศรีวงศ์มงคล นายวิวัฒน์ หรือ เซี๊ยะ วัฒนสกุลยิ้ม และนายมานัส รันรัตน์
ส่วนของกลางก็ล้วนเป็นอาวุธร้ายแรงเช่น พร้อมของกลาง เครื่องยิงอาร์พีจี 1 กระบอก, ลูกยิงอาร์พีจี จำนวน 3 นัด, ดินขับ 3 ชุด, ตัวชนวน 4 อัน, กระสุนซ้อมยิงใช้กับปืนขนาด 20 มม. จำนวน 2 นัด, ลูกระเบิดขนาด 40 มม. เป็นแบบลูกปราย 3 นัด แบบเจาะเกราะ 4 นัด แบบสังหาร 27 นัด ซึ่งใช้กับ เอ็ม 79, กระสุนขนาด 7.62 ใช้กับปืนอาก้า 23 นัด, กระสุนขนาด 5.56 ใช้กับ เอ็ม 16 จำนวน 115 นัด, กระสุนแบบเอ็ม 60 ขนาด 7.62 จำนวน 35 นัด, กระสุนปืนคาร์บิน 117 นัด และรถกระบะ ยี่ห้ออีซูซุ สีเขียว ทะเบียน บท 4330 ลำปาง
ทั้งหมด ทางตำรวจก็มีข้อมูลยืนยันในการสอบสวนว่า ได้ติดตามกลุ่มนี้ซึ่งเคยก่อเหตุมาแล้วหลายครั้งเช่นระเบิดที่บิ๊กซี ราชประสงค์ –ซอยรางน้ำ-สมุทรสาคร ซึ่งทำให้มีคนเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ดังนั้นไม่มีการจัดฉากสร้างสถานการณ์แน่นอน
ข้อสังเกตุว่าตำรวจจัดฉาก ดูเหมือนทำให้ตำรวจร้อนใจไม่น้อย กับข้อสงสัยว่าทำไมมาจับได้เอาตอนนี้ ทั้งที่ตำรวจอ้างว่าแกะรอยมาหลายเดือน จนพล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ที่ปรึกษาสบ. 10 ต้องให้สัมภาษณ์ยืนยันหลังเข้าพบ สุเทพ แต่เช้าเมื่อวานนี้ 25 ม.ค. 54 ที่ทำเนียบรัฐบาล
“กรณีนี้ไม่ใช่ว่าผู้ต้องหามาเดินให้จับ ต้องปล้ำกันแทบตาย และใครจะมายอมติดคุก เพราะคดีนี้โทษถึงประหารชีวิต มันไม่ง่ายนะถ้าพวกคุณรู้ข้อเท็จจริงมันจะไม่ง่าย
ผมใช้เวลาถึง 2-3 เดือน หมดเงินไม่รู้เท่าไหร่ในการแกะรอยทั้งหมดทุกรายที่มีการก่อเหตุ มันไม่ง่ายอย่างที่คิดหรอก เชื่อผมเถอะว่าไม่ง่าย ทำไมผมต้องอดตาหลับ ขับตานอน ปีใหม่เขาพักผ่อนกัน ผมยังไม่ได้พักเลย เป็นพลเอกแล้วยังต้องมาตะลอน ๆ อยู่”
แต่ทั้งหมดก็ต้องดูกันไปยาวๆ จนกว่าคดีนี้จะคืบหน้าอย่างไร คนร้ายจะกลับคำให้การหรือไม่ในชั้นศาล และเจ้าหน้าที่ตำรวจจะสอบสวนแล้วสามารถสั่งฟ้องคดีต่อศาลยุติธรรมได้หรือไม่
อย่างไรก็ตาม ที่น่าสนใจก็คือ “ไอ้โม่ง”ที่อยู่เบื้องหลัง คนร้ายทั้งหมดที่บอกว่าเคยก่อเหตุที่บึ้ม บิ๊กซี ราชประสงค์-ซอยรางน้ำ-ราชประสงค์แฉว่า ไอ้โม่งคนอยู่หลังฉากเป็น “นายพล”ที่นำอาวุธมาฝากไว้เมื่อ 4 เดือนก่อน นั่น
นายพลคนดังกล่าวคือใคร?
จะใช่ “นายพลเสื้อแดง”คนดังที่รู้กันในหมู่คนเสื้อแดงฮาร์ดคอร์ว่า “รายนี้ของจริง”หรือไม่?
หากรัฐบาลต้องการหลุดพ้นข้อครหาจัดฉากจับคดีนี้ ก็ต้องล่าตัว ไอ้โม่งนายพลที่ถูกซัดทอดออกมาให้ได้ เรื่องนี้ต่างหากที่สุเทพ-อัศวิน-พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบช.น.ต้องขยายผลให้รู้ความจริง
แต่มวลชนก็หาได้เกรงกลัวอันตรายไม่ ตลอดทั้งวันอังคารที่25ม.ค.จึงได้เห็นภาพของพี่น้องพันธมิตรเดินทางมาร่วมแสดงพลังปกป้องแผ่นดินจนล้นถนนราชดำเนินนอก ยาวไปถึงถนนพิษณุโลก
เจอของจริงเข้าแบบนี้ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”นายกรัฐมนตรี และสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝายความมั่นคง คงรู้แล้วว่าใกล้จะปิดฉากรัฐบาลในอนาคตอันไม่ไกลนี้แล้ว ถ้าหากรัฐบาลอภิสิทธิ์ยังเพิกเฉยมิยอมรับพิจารณาจุดยืนของพันธมิตรฯในข้อเรียกร้อง 3 ข้อ คือ
1.เลิกบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-กัมพูชา ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก 2543(MOU43) 2.ผลักดันชาวกัมพูชาที่ล่วงล้ำเข้ามายังแผ่นดินไทยออกไปโดยเร็วที่สุด และ3.ให้ประเทศไทยถอนตัวจากการเป็นสมาชิกคณะกรรมการมรดกโลก
ไม่บรรลุเป้าหมายไม่กลับ ศึกนี้ยาวแน่นอน รับรองได้
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องติดตามต่อไป ก็คือการขยายผลสอบสวนข้อเท็จจริง กรณีการจับกุมคนร้ายที่เตรียมก่อเหตุปั่นป่วนในช่วงการชุมนุมของพันธมิตรฯ เมื่อช่วงค่ำของวันที่24 ม.ค.
จากเหตุการณ์ดังกล่าว ในอีกมุมหนึ่งก็ต้องยอมรับว่า ข่าวที่เกิดขึ้นย่อมมีผลในทางจิตวิทยากับประชาชน-มวลชนพันธมิตรไม่น้อย กับการที่ตำรวจสอบสวนไปจนพบอาวุธสงครามอย่างเครื่องยิงจรวดอาร์พีจี –เอ็ม 79 ที่คนร้ายอ้างว่า เพื่อเอาไว้ก่อเหตุทำร้ายคนพันธมิตรฯ ย่อมส่งผลให้คนที่คิดอยากมาร่วมชุมนุมกดดัน “รัฐบาลไทยหัวใจเขมร”เกิดความหวาดกลัวไม่กล้ามาร่วมชุมนุมมากนัก
ย่อมไม่ผิดถ้าจะสันนิษฐานว่า อาจเป็นแผนอันแยบยลเพื่อเล่นละครตบตาประชาชนของฝ่ายรัฐบาลและตำรวจ
อย่างที่นักสู้เพื่อประชาชนปากกล้าขาไม่สั่น ประพันธ์ คูณมี แกนนำหลักที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนการชุมนุมครั้งนี้ ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ เพราะรูปคดีมีปัจจัยเหตุหลายอย่างผิดปกติ และคนร้ายทั้งหมดน่าจะเป็นคนที่ตำรวจเลี้ยงไว้ใช้งานหลังเหตุการณ์เสื้อแดง
อย่างไรก็ตาม ว่ากันตามจริง คดีแบบนี้ถือเป็นคดีร้ายแรงโทษถึงขั้นประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต การที่คนร้ายคนไหนจะมาร่วมจัดฉากด้วย ก็ถือเป็นเรื่องยากเช่นกัน อันนี้ก็ต้องแล้วแต่การวิเคราะห์สถานการณ์กันไปตามข้อมูลที่แต่ละฝ่ายมี
กลุ่มคนร้ายแก๊งนี้ ประกอบด้วย นายธวัชชัย หรือดำ เอี่ยมนาค นายดร มาตา นายนพคุณ ศรีวงศ์มงคล นายวิวัฒน์ หรือ เซี๊ยะ วัฒนสกุลยิ้ม และนายมานัส รันรัตน์
ส่วนของกลางก็ล้วนเป็นอาวุธร้ายแรงเช่น พร้อมของกลาง เครื่องยิงอาร์พีจี 1 กระบอก, ลูกยิงอาร์พีจี จำนวน 3 นัด, ดินขับ 3 ชุด, ตัวชนวน 4 อัน, กระสุนซ้อมยิงใช้กับปืนขนาด 20 มม. จำนวน 2 นัด, ลูกระเบิดขนาด 40 มม. เป็นแบบลูกปราย 3 นัด แบบเจาะเกราะ 4 นัด แบบสังหาร 27 นัด ซึ่งใช้กับ เอ็ม 79, กระสุนขนาด 7.62 ใช้กับปืนอาก้า 23 นัด, กระสุนขนาด 5.56 ใช้กับ เอ็ม 16 จำนวน 115 นัด, กระสุนแบบเอ็ม 60 ขนาด 7.62 จำนวน 35 นัด, กระสุนปืนคาร์บิน 117 นัด และรถกระบะ ยี่ห้ออีซูซุ สีเขียว ทะเบียน บท 4330 ลำปาง
ทั้งหมด ทางตำรวจก็มีข้อมูลยืนยันในการสอบสวนว่า ได้ติดตามกลุ่มนี้ซึ่งเคยก่อเหตุมาแล้วหลายครั้งเช่นระเบิดที่บิ๊กซี ราชประสงค์ –ซอยรางน้ำ-สมุทรสาคร ซึ่งทำให้มีคนเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ดังนั้นไม่มีการจัดฉากสร้างสถานการณ์แน่นอน
ข้อสังเกตุว่าตำรวจจัดฉาก ดูเหมือนทำให้ตำรวจร้อนใจไม่น้อย กับข้อสงสัยว่าทำไมมาจับได้เอาตอนนี้ ทั้งที่ตำรวจอ้างว่าแกะรอยมาหลายเดือน จนพล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ที่ปรึกษาสบ. 10 ต้องให้สัมภาษณ์ยืนยันหลังเข้าพบ สุเทพ แต่เช้าเมื่อวานนี้ 25 ม.ค. 54 ที่ทำเนียบรัฐบาล
“กรณีนี้ไม่ใช่ว่าผู้ต้องหามาเดินให้จับ ต้องปล้ำกันแทบตาย และใครจะมายอมติดคุก เพราะคดีนี้โทษถึงประหารชีวิต มันไม่ง่ายนะถ้าพวกคุณรู้ข้อเท็จจริงมันจะไม่ง่าย
ผมใช้เวลาถึง 2-3 เดือน หมดเงินไม่รู้เท่าไหร่ในการแกะรอยทั้งหมดทุกรายที่มีการก่อเหตุ มันไม่ง่ายอย่างที่คิดหรอก เชื่อผมเถอะว่าไม่ง่าย ทำไมผมต้องอดตาหลับ ขับตานอน ปีใหม่เขาพักผ่อนกัน ผมยังไม่ได้พักเลย เป็นพลเอกแล้วยังต้องมาตะลอน ๆ อยู่”
แต่ทั้งหมดก็ต้องดูกันไปยาวๆ จนกว่าคดีนี้จะคืบหน้าอย่างไร คนร้ายจะกลับคำให้การหรือไม่ในชั้นศาล และเจ้าหน้าที่ตำรวจจะสอบสวนแล้วสามารถสั่งฟ้องคดีต่อศาลยุติธรรมได้หรือไม่
อย่างไรก็ตาม ที่น่าสนใจก็คือ “ไอ้โม่ง”ที่อยู่เบื้องหลัง คนร้ายทั้งหมดที่บอกว่าเคยก่อเหตุที่บึ้ม บิ๊กซี ราชประสงค์-ซอยรางน้ำ-ราชประสงค์แฉว่า ไอ้โม่งคนอยู่หลังฉากเป็น “นายพล”ที่นำอาวุธมาฝากไว้เมื่อ 4 เดือนก่อน นั่น
นายพลคนดังกล่าวคือใคร?
จะใช่ “นายพลเสื้อแดง”คนดังที่รู้กันในหมู่คนเสื้อแดงฮาร์ดคอร์ว่า “รายนี้ของจริง”หรือไม่?
หากรัฐบาลต้องการหลุดพ้นข้อครหาจัดฉากจับคดีนี้ ก็ต้องล่าตัว ไอ้โม่งนายพลที่ถูกซัดทอดออกมาให้ได้ เรื่องนี้ต่างหากที่สุเทพ-อัศวิน-พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบช.น.ต้องขยายผลให้รู้ความจริง