เหตุการณ์จับกุมมือวางระเบิดก่อนที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นัดชุมนุมเพียง 1 วัน หลายคนอาจจะสงสัยว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริง หรือเป็นการจัดฉากของใครคนใดคนหนึ่ง เพื่อหวังผลอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือไม่?
โดยภายใต้ข้อสงสัยข้างต้น เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันไม่ธรรมดา กล่าวคือ ทำไมเมื่อจุดจับกุมผู้ต้องหามือวางระเบิดคนแรก ถูกจับบริเวณสี่แยกสวนมิสกวัน ถนนราชดำเนินนอก แขวงและเขตดุสิต กทม. (พื้นที่ สน.ดุสิต) มี พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 (ผบก.น.1) หรือ ผู้การแต้ม เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของในพื้นที่ตรงนั้น และถือเป็นเรื่องแปลกที่ ผู้การแต้ม ไม่รู้เรื่องนี้เลย แต่กลับตอบผู้สื่อข่าวเมื่อถามถึงเหตุการณ์ที่จับกุมเพียงสั้นๆ และเป็นปริศนาว่า...รู้ๆ กันอยู่
จุดสงสัยถัดมา หลังจับกุมแทนที่จะนำตัวผู้ต้องหาไปสอบสวนขยายผลที่ สน.ดุสิต แต่กลับนำตัวผู้ต้องหาไปสอบสวนที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 6 ซึ่งมี พล.ต.ต.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข หัวหน้าทีมจับกุม เป็นผู้บังคับการตำรวจนครบาล 6 (ผบก.น.6)
ขณะที่ระหว่างการสอบสวนเพื่อขยายผล ตำรวจชุดจับกุม รวมทั้ง “พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง” ที่ปรึกษา (สบ 10) (นายตำรวจที่ สุเทพ เทือกสุบรรณ หมายมั่นปั้นมือว่าจะให้นั่ง ผบ.ตร.ก่อนเกษียณในปีนี้) ต่างก็ปิดข่าวเงียบ ท่ามกลางความสงสัยของสื่อแทบทุกสำนักในขณะนั้นว่า เหตุการณ์จับกุมระเบิดเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นจริง หรือเป็นเรื่องจริงที่ถูกจัดฉากขึ้นหรือไม่
เพราะเมื่อจากการตรวจสอบข่าวไปยัง พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. กลับไม่ทราบเรื่อง อีกทั้ง “พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง” ซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของ ผบ.ตร.กลับไม่ได้รายงานผลการจับกุมตามที่ควรจะเป็น จึงทำให้ทีมงานของ ผบ.ตร.ต่างสงสัยว่า เหตุการณ์จับกุมมือระเบิด ซึ่งถือเป็นคดีสำคัญ แต่เหตุไฉนจึงไม่รายงานให้ ผบ.ตร.รับทราบ หรือ “อัศวิน ขวัญเมือง” มีแผนการอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ในใจ หรืออาจพูดเข้าใจง่ายๆ คือ คิดการใหญ่ เลื่อยขาเก้าอี้ ผบ.ตร.ตามที่หลายฝ่ายสงสัย หรือไม่?
มาถึงอีกข้อสงสัย การขยายผลจับกุมถือว่าทำอย่างรวดเร็ว ผู้ต้องหารายแรกให้การรับสารภาพ และทีมสอบสวนก็เดินทางไปตรวจค้นบ้านเช่าไม่มีเลขที่ กลางซอยพระราม 2 ในพื้นที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 8 โดยจับเพิ่มอีก 4 คน และผลการตรวจค้นทำให้ทุกคนถึงกับตะลึง เมื่อพบคลังแสงย่อยๆ ประกอบด้วย ลูกยิงอาร์พีจี 3 นัด, เครื่องยิงอาร์พีจี 1 กระบอก, ดินขับ 3 ชุด, ตัวชนวน 4 อัน, กระสุนซ้อมยิงใช้กับปืนขนาด 20 มม. จำนวน 2 นัด, ลูกระเบิดขนาด 40 มม. เป็นแบบลูกปราย 3 นัด แบบเจาะเกราะ 4 นัด แบบสังหาร 27 นัด ซึ่งใช้กับ เอ็ม 79, กระสุนขนาด 7.62 ใช้กับปืนอาก้า 23 นัด, กระสุนขนาด 5.56 ใช้กับเอ็ม 16 จำนวน 115 นัด, กระสุนแบบเอ็ม 60 ขนาด 7.62 จำนวน 35 นัด, กระสุนปืนคาร์บิน 117 นัด
อย่างไรก็ตาม ท่ามกล่าวข้อสงสัยว่า ทำไมคดีนี้จึงจับกุมอย่างง่ายดาย และขยายผลได้อย่างรวดเร็ว โดยที่ “พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง” และ “พล.ต.ต.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข” คือ 2 นายตำรวจบุคคลสำคัญในการพิชิตคดี อีกทั้งเตรียมการเพื่อจะทำการแถลงข่าวในคืนวันเดียวกัน ที่ บก.น.6 แต่เมื่อ “พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี” ผบ.ตร.รู้เท่าทันในเกมคดี ทำให้กำหนดแถลงข่าวต้องเลื่อนมาเป็นในวันรุ่งขึ้นแทน
ยังคงสงสัยต่อว่า หลังเกิดการจับกุม “สุเทพ เทือกสุบรรณ” รองนายกฯ ด้านความมั่นคง ได้เรียก พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง และ พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบช.น.เข้าพบที่ห้องทำงานตึกบัญชาการ โดยใช้เวลาหารือเกือบ 1 ชั่วโมง
โดยผลหารือ “พล.ต.อ.อัศวิน” เปิดเผยผลหารือว่า นายสุเทพได้ซักถามเกี่ยวกับการดูแลป้องกันของกองบัญชาการตำรวจนครบาล และได้ฝากให้ช่วยดูแลความปลอดภัยให้แก่ผู้ชุมนุม เพราะไม่อยากให้เกิดปัญหาต่อผู้ชุมนุมจึงต้องป้องกันไม่ให้มีใครมาทำความเดือดร้อน
แต่ที่แปลกสำหรับผู้ต้องหาที่ถูกจับกุม พล.ต.อ.อัศวิน ยอมรับว่า เรารู้ว่ากลุ่มนี้เคยมีอยู่ รู้แต่กลุ่มเฉยๆ ว่าน่าจะเป็นกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด เพียงแต่ไม่ทราบว่าเป็นใคร ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ติดตามและเกาะติดมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ปีใหม่ แต่ก็มาจับได้ก่อนที่พันธมิตรฯ นัดชุมนุมเพียง 1 วัน แต่เมื่อถูกถามอีกว่า ลักษณะการจับกุมผู้ต้องหาพร้อมทั้งอาวุธ ทำให้มองกันว่าเป็นการจัดฉากหรือสร้างสถานการณ์เพื่อป้องกันไม่ให้คนมาชุมนุมกันหรือไม่ พล.ต.อ.อัศวินตอบว่า การจับเมื่อวานนี้ไม่ง่ายเลย
“กรณีนี้ไม่ใช่ว่าผู้ต้องหามาเดินให้จับ ต้องปล้ำกันแทบตาย และใครจะมายอมติดคุก เพราะคดีนี้โทษถึงประหารชีวิต มันไม่ง่ายนะ ถ้าพวกคุณรู้ข้อเท็จจริงมันจะไม่ง่าย ผมใช้เวลาถึง 2-3 เดือน หมดเงินไม่รู้เท่าไหร่ในการแกะรอยทั้งหมดทุกรายที่มีการก่อเหตุ มันไม่ง่ายอย่างที่คิดหรอก เชื่อผมเถอะว่าไม่ง่าย ทำไมผมต้องอดตาหลับขับตานอน ปีใหม่เขาพักผ่อนกัน ผมยังไม่ได้พักเลย เป็นพลเอกแล้วยังต้องมาตะลอนๆ อยู่”
ใช่ “อัศวิน ขวัญเมือง” เขาได้ทำงานอย่างหนัก แต่ทำงานภายใต้คำสั่งของ ผบ.ตร. หรือภายใต้คำสั่งของนักการเมืองที่ชื่อ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” หรือ “เนวิน ชิดชอบ” หรือไม่ เรื่องนี้ “อัศวิน” ย่อมรู้ดีที่สุด
มาถึงข้อสงสัยในคำให้การของผู้ต้องหา และกลุ่มผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมที่สารภาพง่ายและเร็วเกินไป เริ่มจาก นายธวัชชัย หรือดำ เอี่ยมนาค อายุ 37 ปี และ นายดร มาตา อายุ 42 ปี โดยที่ 2 คนนี้มีอาชีพขับจักรยานยนต์รับจ้าง ซึ่งในส่วนของนายธวัชชัย ผู้ต้องหารายแรกถูกจับกุมขณะที่ขับขี่จักรยานยนต์ยี่ห้อยามาฮ่า นูโว หมายเลขทะเบียน สยบ-676 กทม. ภายในตัวพบระเบิดแสวงเครื่อง เป็นระเบิดทีเอ็นที น้ำหนัก 1 ปอนด์ จุดชนวนด้วยการตั้งเวลาประกอบเรียบร้อยพร้อมวางก่อเหตุ ขณะที่อีก 1 ลูกเป็นระเบิดแสวงเครื่องยังไม่ได้ประกอบ มีพลุส่องสว่าง ประกอบเชื้อปะทุไฟฟ้า จุดชนวนด้วยโทรศัพท์โนเกีย 3310 โดยเขารับสารภาพว่า มีคนรู้จักชื่อ “พล” นำอาวุธทั้งหมดมาฝากไว้ให้ โดยรู้จักกันจากการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ผ่านมา ซึ่งระเบิดที่พบนั้นเตรียมมาวางรอบทำเนียบรัฐบาล หรือรอบพื้นที่การชุมนุมของกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ และพันธมิตรฯ ที่จะมาชุมนุม เพราะมีแนวความคิดตรงข้ามกันกับตน โดยก่อนถูกจับกุม ตนตั้งใจวางระเบิดแบบตั้งเวลาดินระเบิดเป็น TNT จำนวน 1 ลูก ซึ่งจะตั้งเวลาประมาณ 30 นาที ส่วนระเบิดแสวงเครื่องอีกชุดที่ใช้โทรศัพท์มือถือจะหาที่วาง ก่อนใช้โทรศัพท์มือถือโทร.เข้าเพื่อให้เกิดการระเบิดแต่ถูกจับกุมเสียก่อน
แปลกแต่จริง! กรณีคำให้การของนายธวัชชัย เขาบอกว่า “เขาไม่ได้เลือกว่าต้องใช้ความรุนแรง ไม่ได้อยากให้ใครเจ็บ ตาย แค่ต้องการให้เกิดเสียงเกิดควันเท่านั้น” แต่เมื่อถูกถามต่อว่า จุดที่ไปวางมีคนพลุกพล่าน ไม่กลัวจะมีคนเสียชีวิตหรือ เขาตอบว่า “ตอนแรกจะเลี่ยงไปทางน้ำพุ แต่ไปไม่ได้เพราะมีแผงเหล็กกั้นอยู่ ผมกลับรถไม่ได้ก็ขี่ไปเรื่อยๆ ไม่ได้ตั้งใจว่าจะไปที่ไหน” แต่เมื่อถูกถามว่ามีความรู้เรื่องโทรศัพท์หรือไม่ นายธวัชชัยกล่าวว่า “ก็เคยทำงานร้านโทรศัพท์กับเพื่อนมา ก็ซ่อมได้ แต่อยู่ไม่นานก็พอจะรู้เรื่องวงจร”
ด้าน นายดรสารภาพว่า ของทั้งหมดพี่นำมาฝากไว้ให้ ตอนที่มาฝากก็ทราบว่าเป็นอาวุธ รู้จักกันเพราะขับวินมอเตอร์ไซค์ด้วยกันก็ไว้ใจกัน แต่ก็รู้จักกันไม่นาน ส่วนอีก 3 คนนี้ไม่รู้เรื่อง อยากดูของก็เลยเข้าไปดูว่าเป็นยังไง พอดีตำรวจเข้าไปจับกุม ซึ่งตนก็ไม่ได้มีความคิดจะไปใช้ก่อเหตุเพราะใช้ไม่เป็น ตนก็อยากจะเอาไปทิ้งในป่า
ขณะที่ ผู้ต้องหาอีก 3 คน คือ นายนพคุณ ศรีวงศ์มงคล อายุ 60 ปี, นายวิวัฒน์ หรือเซี๊ยะ วัฒนสกุลยิ้ม อายุ 60 ปี และนายมานัส รันรัตน์ อายุ 52 ปี พบว่าไม่มีอาชีพ แต่กลับมีข่าวว่า ผู้ต้องหากลุ่มนี้ มีคดีติดตัวทุกคน โดยเห็นได้จากคำสารภาพที่ “อัศวิน ขวัญเมือง” ที่พูดว่า พวกเขายอมรับ ว่าเคยก่อเหตุที่ห้างบิ๊กซีที่ราชประสงค์ ที่ซอยรางน้ำ และสมุทรสาคร ทั้งๆ ที่ตำรวจยังไม่มีหลักฐานชัดเจน แต่ทำไมเขาจึงสารภาพเช่นนั้น
ข้อสงสัยสุดท้าย ที่ถือเป็นข้อสงสัยสำคัญที่จะสามารถนำไปสู่การไขปมปริศนาคดีนี้ได้ว่า (จัดฉาก หรือจับจริง) ก็คือ ข้อสงสัยในตัวตนของ “พล.ต.ต.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข” ว่า ทำไมเขาจึงได้รับงานครั้งนี้จาก “อัศวิน ขวัญเมือง” ที่น่าจะรับงานมาจากนักการเมือง
สำหรับ “พล.ต.ต.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข” นรต.36 รุ่นเดียวกับ พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบช.น. เคยดำรงตำแหน่งรอง ผกก.สส.น.2 (เกือบถูกคนร้ายชาวจีนแผ่นดินใหญ่ยิง จนมีรอยแผลเป็นที่มือจนทุกวันนี้) จากนั้นเคยดำรงตำแหน่ง ผกก.ลุมพินี ติดยศนายพลในตำแหน่ง ผบก.อก.ปภ.สง.นรป.(ผู้บังคับการอำนวยการถวายความปลอดภัยนายตำรวจราชสำนักประจำ) ก่อนจะมาเป็น ผบก.น.6 คุมพื้นที่ทำเลทอง ในยุคที่เพื่อนร่วมรุ่นนั่งเก้าอี้ ผบช.น.
ถือเป็นนักสืบรุ่นลายคราม และเป็นคนสนิทของ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ที่ปรึกษา (สบ 10) โดยเป็นหนึ่งในชุดเฉพาะกิจที่ พล.ต.อ.อัศวินรับผิดชอบคดีเกือบทุกคดี แม้ พล.ต.ต.สุวัฒน์ จะไม่ได้มีตำแหน่งหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง เช่น
คดีจับกุมคนร้ายยิงระเบิดเอ็ม 79 ใส่อาคารที่ทำการบริษัท เชียงใหม่คอนสตรัคชั่น จำกัด เลขที่ 30 ถนนมหิดล ต.สุเทพ อ.เมือง เชียงใหม่ ของนายคะแนน สุภา พ่อตานายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นคนร้ายคนเดียวที่ยิงเอ็ม 79 ถล่มเชียงใหม่ และพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล โดยเฉพาะที่ทำการธนาคารกรุงเทพ อีก 8 ครั้ง ยิงเอ็ม 79 ตกใกล้บ้านพักนายอักขราทร จุฬารัตน ด้วย โดยทีมสืบสวนที่จับกุมคนร้ายได้ นำโดย พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ช่วย ผบ.ตร.(ขณะนั้น) พล.ต.ต.จักรทิพย์ ชัยจินดา รักษาการ ผบช.ประจำ ตร. และ พล.ต.ต.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบก.อก.นรป.
นอกจากนี้ พล.ต.ต.สุวัฒน์ ยังมีชื่อในชุดเฉพาะกิจที่จับกุมมือยิงเอ็ม 79 ถล่มวัดพระแก้ว แม้ครั้งนั้นจะดำรงตำแหน่ง ผบก.อก.นรป.ก็ตาม อีกทั้งยังมีชื่อร่วมพิชิตคดีระเบิดที่สมานเมตตาแมนชั่น โดยติดสอยห้อยตาม พล.ต.อ.อัศวิน ที่ไปทำคดีทุกคดี
ก่อนหน้านี้ พล.ต.ต.สุวัฒน์ ยังมีชื่อร่วมกับ พล.ต.ท.อัศวิน ขณะดำรงตำแหน่งผู้ช่วย ผบ.ตร. รรท.ผบช.ภ.2 และพล.ต.ต.จักรทิพย์ ขณะดำรงตำแหน่ง รรท.ผบช.ประจำตร. จับกุมมือฆ่าหนุ่มปริญญาโท หลานชาย พญ.มาลินี สุขเวชชวรกิจ รองผู้ว่าฯ กทม. และนายบัญญัติ บรรทัดฐาน อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในท้องที่จังหวัดชลบุรีด้วย
ที่สำคัญ พล.ต.ต.สุวัฒน์ เป็นหนึ่งในชุดเฉพาะกิจ “พิชิตคดีอึปริศนา” ที่ถูกปาใส่บ้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่มี พล.ต.อ.อัศวินเป็นหัวหน้าชุดอีกด้วย โดยสามารถจับกุมนายวิวิทวิน เตียวสวัสดิ์ คนร้ายรายนี้ได้
ส่วนท้ายสุด คดีนี้จะเป็นการจับกุมเพราะจากการจัดฉาก หรือจับกุมจริง และเมื่อจับกุมแล้ว ทำไมจึงไม่รายงานให้ ผบ.ตร.รับทราบ ไม่แจ้งให้ ผบก.น.1 รับรู้ และทำไมการสอบสวนเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ผู้ต้องหาสารภาพอย่างง่ายดาย อีกทั้ง จะนำไปสู่การออก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มาควบคุมการชุมนุม หรือสุดท้าย ตำแหน่ง ผบ.ตร.ของ “วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี” จะอยู่ตลอดรอดฝั่งหรือไม่ หรือ “อัศวิน ขวัญเมือง” จะได้ผงาดนั่ง ผบ.ตร.ก่อนเกษียณในปีนี้...นั่นคือ เหตุการณ์ที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ภายใต้ การบงการของนักการเมืองสายพันธุ์ “เทพเทือก และเนวิน”
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง พล.ต.ท.กำธร อุ่นเจริญ ให้สัมภาษณ์
โดยภายใต้ข้อสงสัยข้างต้น เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันไม่ธรรมดา กล่าวคือ ทำไมเมื่อจุดจับกุมผู้ต้องหามือวางระเบิดคนแรก ถูกจับบริเวณสี่แยกสวนมิสกวัน ถนนราชดำเนินนอก แขวงและเขตดุสิต กทม. (พื้นที่ สน.ดุสิต) มี พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 (ผบก.น.1) หรือ ผู้การแต้ม เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของในพื้นที่ตรงนั้น และถือเป็นเรื่องแปลกที่ ผู้การแต้ม ไม่รู้เรื่องนี้เลย แต่กลับตอบผู้สื่อข่าวเมื่อถามถึงเหตุการณ์ที่จับกุมเพียงสั้นๆ และเป็นปริศนาว่า...รู้ๆ กันอยู่
จุดสงสัยถัดมา หลังจับกุมแทนที่จะนำตัวผู้ต้องหาไปสอบสวนขยายผลที่ สน.ดุสิต แต่กลับนำตัวผู้ต้องหาไปสอบสวนที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 6 ซึ่งมี พล.ต.ต.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข หัวหน้าทีมจับกุม เป็นผู้บังคับการตำรวจนครบาล 6 (ผบก.น.6)
ขณะที่ระหว่างการสอบสวนเพื่อขยายผล ตำรวจชุดจับกุม รวมทั้ง “พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง” ที่ปรึกษา (สบ 10) (นายตำรวจที่ สุเทพ เทือกสุบรรณ หมายมั่นปั้นมือว่าจะให้นั่ง ผบ.ตร.ก่อนเกษียณในปีนี้) ต่างก็ปิดข่าวเงียบ ท่ามกลางความสงสัยของสื่อแทบทุกสำนักในขณะนั้นว่า เหตุการณ์จับกุมระเบิดเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นจริง หรือเป็นเรื่องจริงที่ถูกจัดฉากขึ้นหรือไม่
เพราะเมื่อจากการตรวจสอบข่าวไปยัง พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. กลับไม่ทราบเรื่อง อีกทั้ง “พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง” ซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของ ผบ.ตร.กลับไม่ได้รายงานผลการจับกุมตามที่ควรจะเป็น จึงทำให้ทีมงานของ ผบ.ตร.ต่างสงสัยว่า เหตุการณ์จับกุมมือระเบิด ซึ่งถือเป็นคดีสำคัญ แต่เหตุไฉนจึงไม่รายงานให้ ผบ.ตร.รับทราบ หรือ “อัศวิน ขวัญเมือง” มีแผนการอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ในใจ หรืออาจพูดเข้าใจง่ายๆ คือ คิดการใหญ่ เลื่อยขาเก้าอี้ ผบ.ตร.ตามที่หลายฝ่ายสงสัย หรือไม่?
มาถึงอีกข้อสงสัย การขยายผลจับกุมถือว่าทำอย่างรวดเร็ว ผู้ต้องหารายแรกให้การรับสารภาพ และทีมสอบสวนก็เดินทางไปตรวจค้นบ้านเช่าไม่มีเลขที่ กลางซอยพระราม 2 ในพื้นที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 8 โดยจับเพิ่มอีก 4 คน และผลการตรวจค้นทำให้ทุกคนถึงกับตะลึง เมื่อพบคลังแสงย่อยๆ ประกอบด้วย ลูกยิงอาร์พีจี 3 นัด, เครื่องยิงอาร์พีจี 1 กระบอก, ดินขับ 3 ชุด, ตัวชนวน 4 อัน, กระสุนซ้อมยิงใช้กับปืนขนาด 20 มม. จำนวน 2 นัด, ลูกระเบิดขนาด 40 มม. เป็นแบบลูกปราย 3 นัด แบบเจาะเกราะ 4 นัด แบบสังหาร 27 นัด ซึ่งใช้กับ เอ็ม 79, กระสุนขนาด 7.62 ใช้กับปืนอาก้า 23 นัด, กระสุนขนาด 5.56 ใช้กับเอ็ม 16 จำนวน 115 นัด, กระสุนแบบเอ็ม 60 ขนาด 7.62 จำนวน 35 นัด, กระสุนปืนคาร์บิน 117 นัด
อย่างไรก็ตาม ท่ามกล่าวข้อสงสัยว่า ทำไมคดีนี้จึงจับกุมอย่างง่ายดาย และขยายผลได้อย่างรวดเร็ว โดยที่ “พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง” และ “พล.ต.ต.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข” คือ 2 นายตำรวจบุคคลสำคัญในการพิชิตคดี อีกทั้งเตรียมการเพื่อจะทำการแถลงข่าวในคืนวันเดียวกัน ที่ บก.น.6 แต่เมื่อ “พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี” ผบ.ตร.รู้เท่าทันในเกมคดี ทำให้กำหนดแถลงข่าวต้องเลื่อนมาเป็นในวันรุ่งขึ้นแทน
ยังคงสงสัยต่อว่า หลังเกิดการจับกุม “สุเทพ เทือกสุบรรณ” รองนายกฯ ด้านความมั่นคง ได้เรียก พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง และ พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบช.น.เข้าพบที่ห้องทำงานตึกบัญชาการ โดยใช้เวลาหารือเกือบ 1 ชั่วโมง
โดยผลหารือ “พล.ต.อ.อัศวิน” เปิดเผยผลหารือว่า นายสุเทพได้ซักถามเกี่ยวกับการดูแลป้องกันของกองบัญชาการตำรวจนครบาล และได้ฝากให้ช่วยดูแลความปลอดภัยให้แก่ผู้ชุมนุม เพราะไม่อยากให้เกิดปัญหาต่อผู้ชุมนุมจึงต้องป้องกันไม่ให้มีใครมาทำความเดือดร้อน
แต่ที่แปลกสำหรับผู้ต้องหาที่ถูกจับกุม พล.ต.อ.อัศวิน ยอมรับว่า เรารู้ว่ากลุ่มนี้เคยมีอยู่ รู้แต่กลุ่มเฉยๆ ว่าน่าจะเป็นกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด เพียงแต่ไม่ทราบว่าเป็นใคร ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ติดตามและเกาะติดมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ปีใหม่ แต่ก็มาจับได้ก่อนที่พันธมิตรฯ นัดชุมนุมเพียง 1 วัน แต่เมื่อถูกถามอีกว่า ลักษณะการจับกุมผู้ต้องหาพร้อมทั้งอาวุธ ทำให้มองกันว่าเป็นการจัดฉากหรือสร้างสถานการณ์เพื่อป้องกันไม่ให้คนมาชุมนุมกันหรือไม่ พล.ต.อ.อัศวินตอบว่า การจับเมื่อวานนี้ไม่ง่ายเลย
“กรณีนี้ไม่ใช่ว่าผู้ต้องหามาเดินให้จับ ต้องปล้ำกันแทบตาย และใครจะมายอมติดคุก เพราะคดีนี้โทษถึงประหารชีวิต มันไม่ง่ายนะ ถ้าพวกคุณรู้ข้อเท็จจริงมันจะไม่ง่าย ผมใช้เวลาถึง 2-3 เดือน หมดเงินไม่รู้เท่าไหร่ในการแกะรอยทั้งหมดทุกรายที่มีการก่อเหตุ มันไม่ง่ายอย่างที่คิดหรอก เชื่อผมเถอะว่าไม่ง่าย ทำไมผมต้องอดตาหลับขับตานอน ปีใหม่เขาพักผ่อนกัน ผมยังไม่ได้พักเลย เป็นพลเอกแล้วยังต้องมาตะลอนๆ อยู่”
ใช่ “อัศวิน ขวัญเมือง” เขาได้ทำงานอย่างหนัก แต่ทำงานภายใต้คำสั่งของ ผบ.ตร. หรือภายใต้คำสั่งของนักการเมืองที่ชื่อ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” หรือ “เนวิน ชิดชอบ” หรือไม่ เรื่องนี้ “อัศวิน” ย่อมรู้ดีที่สุด
มาถึงข้อสงสัยในคำให้การของผู้ต้องหา และกลุ่มผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมที่สารภาพง่ายและเร็วเกินไป เริ่มจาก นายธวัชชัย หรือดำ เอี่ยมนาค อายุ 37 ปี และ นายดร มาตา อายุ 42 ปี โดยที่ 2 คนนี้มีอาชีพขับจักรยานยนต์รับจ้าง ซึ่งในส่วนของนายธวัชชัย ผู้ต้องหารายแรกถูกจับกุมขณะที่ขับขี่จักรยานยนต์ยี่ห้อยามาฮ่า นูโว หมายเลขทะเบียน สยบ-676 กทม. ภายในตัวพบระเบิดแสวงเครื่อง เป็นระเบิดทีเอ็นที น้ำหนัก 1 ปอนด์ จุดชนวนด้วยการตั้งเวลาประกอบเรียบร้อยพร้อมวางก่อเหตุ ขณะที่อีก 1 ลูกเป็นระเบิดแสวงเครื่องยังไม่ได้ประกอบ มีพลุส่องสว่าง ประกอบเชื้อปะทุไฟฟ้า จุดชนวนด้วยโทรศัพท์โนเกีย 3310 โดยเขารับสารภาพว่า มีคนรู้จักชื่อ “พล” นำอาวุธทั้งหมดมาฝากไว้ให้ โดยรู้จักกันจากการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ผ่านมา ซึ่งระเบิดที่พบนั้นเตรียมมาวางรอบทำเนียบรัฐบาล หรือรอบพื้นที่การชุมนุมของกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ และพันธมิตรฯ ที่จะมาชุมนุม เพราะมีแนวความคิดตรงข้ามกันกับตน โดยก่อนถูกจับกุม ตนตั้งใจวางระเบิดแบบตั้งเวลาดินระเบิดเป็น TNT จำนวน 1 ลูก ซึ่งจะตั้งเวลาประมาณ 30 นาที ส่วนระเบิดแสวงเครื่องอีกชุดที่ใช้โทรศัพท์มือถือจะหาที่วาง ก่อนใช้โทรศัพท์มือถือโทร.เข้าเพื่อให้เกิดการระเบิดแต่ถูกจับกุมเสียก่อน
แปลกแต่จริง! กรณีคำให้การของนายธวัชชัย เขาบอกว่า “เขาไม่ได้เลือกว่าต้องใช้ความรุนแรง ไม่ได้อยากให้ใครเจ็บ ตาย แค่ต้องการให้เกิดเสียงเกิดควันเท่านั้น” แต่เมื่อถูกถามต่อว่า จุดที่ไปวางมีคนพลุกพล่าน ไม่กลัวจะมีคนเสียชีวิตหรือ เขาตอบว่า “ตอนแรกจะเลี่ยงไปทางน้ำพุ แต่ไปไม่ได้เพราะมีแผงเหล็กกั้นอยู่ ผมกลับรถไม่ได้ก็ขี่ไปเรื่อยๆ ไม่ได้ตั้งใจว่าจะไปที่ไหน” แต่เมื่อถูกถามว่ามีความรู้เรื่องโทรศัพท์หรือไม่ นายธวัชชัยกล่าวว่า “ก็เคยทำงานร้านโทรศัพท์กับเพื่อนมา ก็ซ่อมได้ แต่อยู่ไม่นานก็พอจะรู้เรื่องวงจร”
ด้าน นายดรสารภาพว่า ของทั้งหมดพี่นำมาฝากไว้ให้ ตอนที่มาฝากก็ทราบว่าเป็นอาวุธ รู้จักกันเพราะขับวินมอเตอร์ไซค์ด้วยกันก็ไว้ใจกัน แต่ก็รู้จักกันไม่นาน ส่วนอีก 3 คนนี้ไม่รู้เรื่อง อยากดูของก็เลยเข้าไปดูว่าเป็นยังไง พอดีตำรวจเข้าไปจับกุม ซึ่งตนก็ไม่ได้มีความคิดจะไปใช้ก่อเหตุเพราะใช้ไม่เป็น ตนก็อยากจะเอาไปทิ้งในป่า
ขณะที่ ผู้ต้องหาอีก 3 คน คือ นายนพคุณ ศรีวงศ์มงคล อายุ 60 ปี, นายวิวัฒน์ หรือเซี๊ยะ วัฒนสกุลยิ้ม อายุ 60 ปี และนายมานัส รันรัตน์ อายุ 52 ปี พบว่าไม่มีอาชีพ แต่กลับมีข่าวว่า ผู้ต้องหากลุ่มนี้ มีคดีติดตัวทุกคน โดยเห็นได้จากคำสารภาพที่ “อัศวิน ขวัญเมือง” ที่พูดว่า พวกเขายอมรับ ว่าเคยก่อเหตุที่ห้างบิ๊กซีที่ราชประสงค์ ที่ซอยรางน้ำ และสมุทรสาคร ทั้งๆ ที่ตำรวจยังไม่มีหลักฐานชัดเจน แต่ทำไมเขาจึงสารภาพเช่นนั้น
ข้อสงสัยสุดท้าย ที่ถือเป็นข้อสงสัยสำคัญที่จะสามารถนำไปสู่การไขปมปริศนาคดีนี้ได้ว่า (จัดฉาก หรือจับจริง) ก็คือ ข้อสงสัยในตัวตนของ “พล.ต.ต.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข” ว่า ทำไมเขาจึงได้รับงานครั้งนี้จาก “อัศวิน ขวัญเมือง” ที่น่าจะรับงานมาจากนักการเมือง
สำหรับ “พล.ต.ต.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข” นรต.36 รุ่นเดียวกับ พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบช.น. เคยดำรงตำแหน่งรอง ผกก.สส.น.2 (เกือบถูกคนร้ายชาวจีนแผ่นดินใหญ่ยิง จนมีรอยแผลเป็นที่มือจนทุกวันนี้) จากนั้นเคยดำรงตำแหน่ง ผกก.ลุมพินี ติดยศนายพลในตำแหน่ง ผบก.อก.ปภ.สง.นรป.(ผู้บังคับการอำนวยการถวายความปลอดภัยนายตำรวจราชสำนักประจำ) ก่อนจะมาเป็น ผบก.น.6 คุมพื้นที่ทำเลทอง ในยุคที่เพื่อนร่วมรุ่นนั่งเก้าอี้ ผบช.น.
ถือเป็นนักสืบรุ่นลายคราม และเป็นคนสนิทของ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ที่ปรึกษา (สบ 10) โดยเป็นหนึ่งในชุดเฉพาะกิจที่ พล.ต.อ.อัศวินรับผิดชอบคดีเกือบทุกคดี แม้ พล.ต.ต.สุวัฒน์ จะไม่ได้มีตำแหน่งหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง เช่น
คดีจับกุมคนร้ายยิงระเบิดเอ็ม 79 ใส่อาคารที่ทำการบริษัท เชียงใหม่คอนสตรัคชั่น จำกัด เลขที่ 30 ถนนมหิดล ต.สุเทพ อ.เมือง เชียงใหม่ ของนายคะแนน สุภา พ่อตานายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นคนร้ายคนเดียวที่ยิงเอ็ม 79 ถล่มเชียงใหม่ และพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล โดยเฉพาะที่ทำการธนาคารกรุงเทพ อีก 8 ครั้ง ยิงเอ็ม 79 ตกใกล้บ้านพักนายอักขราทร จุฬารัตน ด้วย โดยทีมสืบสวนที่จับกุมคนร้ายได้ นำโดย พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ช่วย ผบ.ตร.(ขณะนั้น) พล.ต.ต.จักรทิพย์ ชัยจินดา รักษาการ ผบช.ประจำ ตร. และ พล.ต.ต.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบก.อก.นรป.
นอกจากนี้ พล.ต.ต.สุวัฒน์ ยังมีชื่อในชุดเฉพาะกิจที่จับกุมมือยิงเอ็ม 79 ถล่มวัดพระแก้ว แม้ครั้งนั้นจะดำรงตำแหน่ง ผบก.อก.นรป.ก็ตาม อีกทั้งยังมีชื่อร่วมพิชิตคดีระเบิดที่สมานเมตตาแมนชั่น โดยติดสอยห้อยตาม พล.ต.อ.อัศวิน ที่ไปทำคดีทุกคดี
ก่อนหน้านี้ พล.ต.ต.สุวัฒน์ ยังมีชื่อร่วมกับ พล.ต.ท.อัศวิน ขณะดำรงตำแหน่งผู้ช่วย ผบ.ตร. รรท.ผบช.ภ.2 และพล.ต.ต.จักรทิพย์ ขณะดำรงตำแหน่ง รรท.ผบช.ประจำตร. จับกุมมือฆ่าหนุ่มปริญญาโท หลานชาย พญ.มาลินี สุขเวชชวรกิจ รองผู้ว่าฯ กทม. และนายบัญญัติ บรรทัดฐาน อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในท้องที่จังหวัดชลบุรีด้วย
ที่สำคัญ พล.ต.ต.สุวัฒน์ เป็นหนึ่งในชุดเฉพาะกิจ “พิชิตคดีอึปริศนา” ที่ถูกปาใส่บ้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่มี พล.ต.อ.อัศวินเป็นหัวหน้าชุดอีกด้วย โดยสามารถจับกุมนายวิวิทวิน เตียวสวัสดิ์ คนร้ายรายนี้ได้
ส่วนท้ายสุด คดีนี้จะเป็นการจับกุมเพราะจากการจัดฉาก หรือจับกุมจริง และเมื่อจับกุมแล้ว ทำไมจึงไม่รายงานให้ ผบ.ตร.รับทราบ ไม่แจ้งให้ ผบก.น.1 รับรู้ และทำไมการสอบสวนเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ผู้ต้องหาสารภาพอย่างง่ายดาย อีกทั้ง จะนำไปสู่การออก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มาควบคุมการชุมนุม หรือสุดท้าย ตำแหน่ง ผบ.ตร.ของ “วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี” จะอยู่ตลอดรอดฝั่งหรือไม่ หรือ “อัศวิน ขวัญเมือง” จะได้ผงาดนั่ง ผบ.ตร.ก่อนเกษียณในปีนี้...นั่นคือ เหตุการณ์ที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ภายใต้ การบงการของนักการเมืองสายพันธุ์ “เทพเทือก และเนวิน”
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง พล.ต.ท.กำธร อุ่นเจริญ ให้สัมภาษณ์