เปลวแดดร้อนระอุของบ่ายวันที่ 6 มีนาคม กองปราบปราม ในวันหยุดทำการเงียบเหงาวังเวงกว่าปกติ มีเพียงเจ้าหน้าที่เวรไม่กี่นายคอยรักษาความปลอดภัยและพนักงานสอบสวนเวรไม่กี่นายในชุดไปรเวทนั่งเหงารอประชาชนผู้หมดที่พึ่งมาร้องทุกข์ ทันใดนั้น รถตู้โตโยต้าสีขาวซีด สภาพค่อนข้างเก่า ทะเบียนตรากงจักร 2481 วิ่งปุเลงๆ ฝ่าเปลวแดดร้อนของถนนพหลโยธินเข้ามาจอดเทียบบริเวณด้านหน้าตึกผู้บังคับบัญชากองปราบปราม
สักครู่ปรากฏกายของชายชุดลายพรางเต็มยศ ร่างกายกำยำแม้ว่าวัยจะล่วงเลยมาจนใกล้เกษียณอยู่รอมร่อ เดินส่ายอาดๆพร้อมลูกน้องกลุ่มใหญ่ล้อมหน้าล้อมหลัง “ขัตติยะ สวัสดิผล” ด้ายสีเงินปักชื่อบนอกด้านขวาของเขา สิบเวรรีบกุลีกุจอสอบถามถึงความประสงค์ เพราะทราบดีว่านี่คือ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก และนายทหารชื่อดังในทางลบมากกว่าบวก
“พี่นัดกับรองฯ ศานิตย์ไว้ จะมาถามถึงเรื่องคดีหน่อย” เสธ.คนดังกล่าวด้วยน้ำเสียงห้าวแต่แหบแห้ง
ไม่รอช้าสิบเวรรีบเดินนำหน้าพาไปพบ พ.ต.อ.ศานิตย์ มหถาวร รองผู้บังคับการกองปราบปราม ที่นั่งรออยู่ในห้องทำงาน เขาเข้าไปพูดคุยกับ รองศานิตย์ เกือบชั่วโมงก็ลงมาเจอสื่อมวลชนหลายสำนักที่เพิ่งทราบข่าวการมาพบพนักงานสอบสวน หลังปิดข่าวจนเงียบและย่องมาในวันหยุดทำการ กองปราบปรามยามนี้คึกคักไปด้วยสื่อมวลชนอย่างทันทีทันใด
“ไม่มีอะไร พี่มาพบพนักงานสอบสวนเพื่อถามคดีอาวุธปืนและอาวุธสงครามที่เจ้าหน้าที่ยึดได้ในบ้านพักซึ่งทราบว่าจะมีการสรุปสำนวนส่งฟ้องอัยการในวันที่ 8 มีนาคมนี้ โดยจะต้องมาพบพนักงานสอบสวนในวันดังกล่าวเพื่อเดินทางพร้อมกับสำนวนไปรายงานตัวต่ออัยการ นอกจากนี้ มาถามถึงคดีของเคทองว่าจะมามอบตัวได้อย่างไร แต่ก็ยังไม่ชัดเจนเพราะพนักงานสอบสวนแจ้งว่าสำนวนยังส่งมาไม่ถึงกองปราบฯ”
นายพรวัฒน์ ทองธนบูรณ์ หรือเคทอง คือลูกน้องคนสนิทของ พล.ต.ขัตติยะ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลใน 3 คดี คือ คดีทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวิธีอื่นใดเพื่อให้เกิดความปั่นป่วนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร และขู่เข็ญให้ผู้อื่นเกิดความกลัวหรือความตกใจ และคดีนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ หลังเจ้าตัวจ้อผ่านแคมฟร็อกว่าหลังวันที่ 26 กุมพาพันธุ์ จะเกิดเหตุวินาศกรรมในกรุงเทพฯ ขึ้น และแล้วก็เป็นไปตามนั้นเมื่อมือมืดโยนระเบิดใส่ ธนาคารกรุงเทพฯ ทั้งใน กทม.และปริมณฑล 5 จุด สร้างความตื่นตระหนกไปทั่ว
เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งนครบาลและสอบสวนกลาง ต่างตามลากคอตัวเคทองกันให้ควัก แต่ก็ไร้วี่แววแต่อย่างใด มีเพียงข่าวลือข่าวอ้างว่าเคทอง หนีไปกบดานต่างประเทศแล้ว บ้างก็ว่าเคทองกบดานอยู่ที่อีสาน แต่ก็ไม่มีเจ้าหน้าที่หน่วยไหนตามหาเขาเจอเพราะทราบดีว่าเขาเป็นถึงบุคคลที่ เสธ.แดงให้ความเคารพ ถึงกับขั้นเรียกว่า “อาจารย์” ย่อมมีทางหนีทีไล่มากกว่าโจรห้าร้อยธรรมดา
เสธ.แดงให้ความกระจ่างถึงเรื่องนี้ว่า ที่เรียกกันว่าอาจารย์เพราะเคทองเป็นหมอดูทำนายทายทักดวงเมือง และจัดรายการผ่านแคมฟร็อก ส่วนเหตุปาระเบิดธนาคารกรุงเทพที่เกิดขึ้นนั้น พล.ต.ขัตติยะ ป้องลูกน้องคนสนิทว่า เคทองไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด แต่ที่มีการพูดผ่านวิดีโอคลิปเกี่ยวกับเหตุระเบิดนั้นและเชื่อว่าเป็นเรื่องบังเอิญมากกว่า
“เคทองยังอยู่ในประเทศไม่ได้หลบหนีไปไหนหลังเสร็จคดีของผมจะพาเคทองมามอบตัวอย่างแน่นอน” เสธ.แดง กล่าวเปื้อนยิ้มด้วยอารมณ์ดี ก่อนโบกไม้โบกมือขอลานักข่าว เดินทางไปสนามบินสุวรรณภูมิเพื่อขึ้นเครื่องไป อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี เที่ยว 17.30 น. เวทีคนเสื้อแดงเหล่าสาวก ทักษิณ ชินวัตร รอเขาอยู่ที่นั่น
ในขณะที่ พล.ต.ขัตติยะ กำลังให้สัมภาษณ์สื่ออย่างอารมณ์ดีอยู่นั้น ตำรวจกองปราบนอกเครื่องแบบ กำลังจับจ้องมองความเคลื่อนไวของพวกเขาตลอดเวลา โดยเฉพาะในรถตู้สีขาวตรากงจักร พบมีสิ่งผิดปกติหลายอย่างคือ มีการเปิดเครื่องรถยนต์ทิ้งไว้และแอร์คอนดิชันทำงานตลอดเวลาตั้งแต่ที่มันมาจอด นอกจากนี้ ภายในรถพบชายต้องสงสัย 2 รายนั่งอยู่ไม่ยอมลงมาทั้งๆ ที่รถจอดกลางแดดเปรี้ยง อากาศร้อนตับแลบ
เจ้าหน้าที่จึงรายงานความเคลื่อนไหวให้ พ.ต.อ.สานิตย์ ทราบ นอกจากนี้ สายข่าวจากตำรวจสันติบาลแจ้งมาว่า เมื่อช่วงเช้าพบว่ารถตู้คันดังกล่าวไปรับตัวเคทองมาจากต่างจังหวัด ก่อนขับไปโผล่ที่ สน.ลาดกระบัง เพื่อสอบถามในคดีเคทองครอบครองอาวุธปืนที่ตำรวจลาดกระบังยึดได้ก่อนหน้านี้ ระหว่างนั้นกลุ่มของ เสธ.แดงได้เข้าไปข่มขู่ตำรวจโรงพักดังกล่าวโดยไม่มีใครกล้าต่อปากต่อคำ เพราะรู้กิตติศัพท์ดีว่าเขาบ้าดีเดือดแค่ไหน ทำให้เขาย่ามใจพาเคทองมาลองของที่กองปราบปราม
พ.ต.อ.ศานิตย์ พ.ต.ท.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ พ.ต.ท.อดินันท์ ชัยนันท์ รอง ผกก.1 บก.ป. พ.ต.ท.ธีรพัฒน์ ธารีไทย พ.ต.ต.จารุวัฒน์ พาหุมันโต สว.กก.1 บก.ป. พ.ต.ต.ต่อศักดิ์ พิทักษ์โกศล สว.กก.ปพ.บก.ป. พร้อมชุดสืบสวน กก.1 บก.ป. และหน่วยคอมมานโด 5 นาย ปรี่เข้าไปหา พล.ต.ขัตติยะ อีกครั้ง
“พี่แดง ขออนุญาตตรวจสอบภายในรถตู้หน่อยครับ” รองฯ ศานิตย์ พูด
“ไม่มีอะไรๆ หรอกน้อง” พล.ต.ขัตติยะ เสียงเริ่มตะกุกตะกักขณะพูดกับนายตำรวจรุ่นน้อง
จากนั้นกำลังตำรวจตรงเข้าไปเปิดประตูข้างด้านซ้ายรถตู้คันดังกล่าว ก็พบชายสองคนนั่งอยู่ที่เบาะหลังสุดของรถ คนหนึ่งนั่งนิ่งๆ ส่วนชายอีกคนมีพิรุธลุกลี้ลุกลน ยกหนังสือพิมพ์ปิดใบหน้าแสร้งว่ากำลังอ่านข่าวอยู่ เมื่อขอดูหน้าก็คือ นายพรวัฒน์ ทองธนบูรณ์ หรือเคทอง ผู้ต้องหาคดีความมั่นคงที่หลายหน่วยงานต้องการตัวนั่นเอง เจ้าหน้าที่จึงเชิญลงมาสอบปากคำ พล.ต.ขัตติยะ ซึ่งเห็นเหตุการณ์ตลอดเวลาถึงกับหน้าถอดสีทันทีที่เคทองเดินออกมา แตกต่างกันลิบลับกับช่วงก่อนหน้านี้ที่ยังพูดจาหยอกล้อกับสื่อมวลชนอย่างสนุกสนาน
“สงสัยอาจารย์คงต้องนอนที่กองปราบเสียแล้ว” เสธ.แดงกล่าวยิ้มๆ ก่อนที่ทั้งสองขึ้นไปยังห้องประชุมชั้นสอง อาคารสำนักงานผู้บังคับบัญชา
นี่คือการปรากฏตัวเป็นครั้งแรกของ เจ้าของฉายาเคทอง ที่แท้แล้วเขาเป็นแค่คนธรรมดา ขอบตาช้ำเหมือนคนอมโรค ไม่ได้เป็นทหารอย่างที่หลายฝ่ายคาดไว้ แต่ชื่อของเขาสร้างความหวาดกลัวมานานตั้งแต่เหตุคนร้ายยิงเอ็ม 79 ใส่พันธมิตรฯ
นายพรวัฒน์บอกว่าเขาเป็นแค่นักจัดรายการโหราศาสตร์คู่การเมืองกับการทหาร วิเคราะห์สถานการณ์บ้านเมืองผ่านทางแคมฟรอกซ์ ช่วงเวลา 22.00-00.00 และ 01.00-03.00 น. ซึ่งจัดมาได้ 3 ปีกว่าแล้ว โดยจะนำดวงเมืองมาช่วยวิเคราะห์ และจำลองภาพว่าจะเกิดอะไรขึ้นในทุกๆ 2 วัน ส่วนเหตุร้ายที่เกิดขึ้นนั้นยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด
ต่อมา พ.ต.ท.อดินันท์ นำกำลังเข้าตรวจค้นคนเฝ้ารถของ พล.ต.ขัตติยะ แต่ถูกคนขับรถอ้างว่าเป็นอดีตทหารนาวิกโยธินขัดขวางพร้อมทั้งตะคอกว่า
“คุณไม่มีอำนาจตรวจค้น รู้ไหมผมผ่านมามากกว่าพวกคุณ” ชายผมทรงสกินเฮดกล่าวตะคอกพร้อมทั้งแสดงอาการไม่สบอารมณ์
“ใจเย็นๆก่อนผมก็ผ่านมาไม่น้อยกว่าคุณ “ พ.ต.ท.อดินันท์ กล่าว แต่ชายคนดังกล่าวยังดื้อดึง ทันใดนั้นเจ้าหน้าที่คอมมานโดและตำรวจนอกเครื่องแบบก็กรูกันเข้าไป
“อาศัยอำนาจตามกฏหมายผมขอตรวจค้นคุณ” เจ้าหน้าที่จึงเข้าไปประชิดตัวชายคนดังกล่าว พร้อมตรวจค้นแต่ไม่พบสิ่งผิดกกหมายแต่อย่างใด ต่อมาเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นรถตู้คันดังกล่าวอีกครั้งกลับต้องตะลึงเมื่อ พบอาวุธปืนยี่ห้อบาร์เร็ทต้าขนาด 9 มม. จำนวน 1กระบอก ยี่ห้อคาร์ ขนาด 9มม. 1กระบอก ยี่ห้อ กล็อค ขนาด 9 มม.1กระบอก ยี่ห้อซีแซดขนาด 6.35 มม.1กระบอก กระสุนจำนวนมาก นอกจากนี้พบ มีดพก 2 เล่ม กระเป๋าหนังสีดำ 1 ใบ โน้ตบุ๊ค 1 เครื่อง และกล้องดิจิตอลอีก 1 เครื่อง นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ได้ยึดอาวุธปืนกล็อคขนาด 9 มม.จากตัวการ์ด พล.ต.ขัตติยะ พร้อมกระสุนอีก 1 กระบอก
ระหว่างนั้น พล.ต.ขัตติยะ เดินทางมาดูอาวุธปืนที่เจ้าหน้าที่ยึดได้ในรถโดยบอกว่า ทั้งหมดเป็นของตนและเคทอง มีใบอนุญาตครองครองถูกต้องตามกฏหมายทุกกระบอก ส่วนใบพกพาไม่ต้องมีเพราะเป็นนายทหาร ทั้งนี้ อาวุธทั้งหมดเอาไว้ป้องกันตัวเพราะมีคนจ้องเล่นงานอยู่
ต่อมา พล.ต.ขัตติยะ ได้ขออนุญาต พ.ต.อ.ศานิตย์ ว่าจะพารถตู้ออกไปเพื่อไปขึ้นเครื่องบินเพื่อไปต่างจังหวัดแต่เจ้าหน้าที่ไม่อนุญาตทำให้ พล.ต.ขัตติยะ เกิดอาการฉุนเฉียวและแสดงไม่พอใจออกมาทาง พ.ต.ต.ภูมินทร์ พุ่มพันธุ์ม่วง สว.กก.ปพ.บก.ป.จึงนำตำรวจคอมมานโดอาวุธครบมือจำนวน 5นาย เข้าล้อมกรอบรถตู้คันดังกล่าวและห้ามใครเข้าใกล้หรือเคลื่อนย้ายอย่างเด็ดขาด
ต่อมาตำรวจคอมมานโดพร้อมอาวุธครบมือควบคุมตัว เสธ.แดงและสมุนประกอบด้วย ว่าที่ ร.ต.สุรภัศ จันทิมา อายุ 27 ปี นายมงคล สารพัน อายุ 42 ปี นายจักรชลัส คงสุวรรณ อายุ 37 ปี นายเริงฤทธิ์ ตุ้มทองคำ นายจรัญ ลอยพูล นายสุวิทย์ คีรีรักษ์ ก่อนแจ้งข้อหาร่วมกันช่วยผู้อื่นซึ่งเป็นผู้กระทำความผิดหรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทำความผิดอันมิใช่ความผิดลหุโทษ เพื่อไม่ให้ต้องโทษโดยให้พำนักแก่ผู้นั้นโดยซ่อนเร้นหรือโดยช่วยผู้นั้นด้วยประการใดเพื่อไม่ให้ถูกจับกุม และมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พกพาอาวุธปืนเข้าไปในเมือง หมู่บ้านทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร ส่วนนายพรวัฒน์ถูกแจ้งข้อหาเพิ่มคือ มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พกพาอาวุธปืนเข้าไปในเมือง หมู่บ้านทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร
หลังถูกตลบหลังจับกุมเคทองอย่างง่ายดายแล้ว เสธ.แดงยังถูกตั้งข้อหาช่วยเหลือผู้ต้องหาอีกคดี เขาให้สัมภาษณ์ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวว่า "ผมจะนำเคทองมามอบตัว แต่ถูกตำรวจปฏิเสธ แถมยังมาทำกับผมอย่างนี้อีก รู้สึกเสียใจมากที่ถูกทำเหมือนหมา" ซึ่งแย้งกับที่ รอง ศานิตย์ บอกว่า ที่ เสธ.แดงอ้างว่าพาเคทองเข้ามอบตัวนั้น ที่จริงเสธ.แดงมากองปราบปรามเนื่องจากมีคดีที่นี่หลายคดี ซึ่งได้พูดคุยซักถามถึงคดีต่างๆ โดยมี 1 คดีที่มีการนัดหมายมอบตัว โดยคดีเสร็จแล้วและกำลังจะส่งอัยการ จึงต้องมีการส่งตัวผู้ต้องหาด้วยจึงสามารถส่งชั้นศาลได้ ที่คุยกันนานกว่า 1 ชั่วโมงก็คุยกันดีไม่มีปัญหาอะไร แต่ขณะที่เสธ.แดงจะกลับก็มีสายลับแจ้งว่า เคทองอาจหลบอยู่ในรถตู้ของเสธ.แดง จึงขอตรวจค้น ซึ่งเสธ.แดงก็บอกว่าไม่มี แต่ตรวจสอบพบว่าเคทองหลบอยู่ที่เบาะด้านหลัง ลักษณะใช้หนังสือพิมพ์บังตัวเองอยู่ โดยนายเคทองมีความผิด 2 หมาย เกี่ยวกับ พรบ.อาวุธปืน และ พรบ.คอมพิวเตอร์ ซึ่งเมื่อผู้ต้องหามีหมายจับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่ว่าจะเป็นใครก็สามารถจับกุมได้ทันทีหากพบตัว
นี่คือจุดจบของ เคทอง ผู้ต้องหาด้านความมั่นคงคนสำคัญอันดับต้นๆของประเทศ ขณะที่เจ้าหน้าที่หลายหน่วยงานกำลังไล่ล่าเขาแทบพลิกแผ่นดิน แต่เขากลับมาตายน้ำตื้น ถูกจับง่ายดายภายในกองปราบปรามนี่เอง นอกจากนี้ ยังทำให้ลูกพี่อย่างเสธ.แดงพลอยซวยโดนข้อพาผู้ต้องหลบหนีเพิ่มอีกคดี
สักครู่ปรากฏกายของชายชุดลายพรางเต็มยศ ร่างกายกำยำแม้ว่าวัยจะล่วงเลยมาจนใกล้เกษียณอยู่รอมร่อ เดินส่ายอาดๆพร้อมลูกน้องกลุ่มใหญ่ล้อมหน้าล้อมหลัง “ขัตติยะ สวัสดิผล” ด้ายสีเงินปักชื่อบนอกด้านขวาของเขา สิบเวรรีบกุลีกุจอสอบถามถึงความประสงค์ เพราะทราบดีว่านี่คือ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก และนายทหารชื่อดังในทางลบมากกว่าบวก
“พี่นัดกับรองฯ ศานิตย์ไว้ จะมาถามถึงเรื่องคดีหน่อย” เสธ.คนดังกล่าวด้วยน้ำเสียงห้าวแต่แหบแห้ง
ไม่รอช้าสิบเวรรีบเดินนำหน้าพาไปพบ พ.ต.อ.ศานิตย์ มหถาวร รองผู้บังคับการกองปราบปราม ที่นั่งรออยู่ในห้องทำงาน เขาเข้าไปพูดคุยกับ รองศานิตย์ เกือบชั่วโมงก็ลงมาเจอสื่อมวลชนหลายสำนักที่เพิ่งทราบข่าวการมาพบพนักงานสอบสวน หลังปิดข่าวจนเงียบและย่องมาในวันหยุดทำการ กองปราบปรามยามนี้คึกคักไปด้วยสื่อมวลชนอย่างทันทีทันใด
“ไม่มีอะไร พี่มาพบพนักงานสอบสวนเพื่อถามคดีอาวุธปืนและอาวุธสงครามที่เจ้าหน้าที่ยึดได้ในบ้านพักซึ่งทราบว่าจะมีการสรุปสำนวนส่งฟ้องอัยการในวันที่ 8 มีนาคมนี้ โดยจะต้องมาพบพนักงานสอบสวนในวันดังกล่าวเพื่อเดินทางพร้อมกับสำนวนไปรายงานตัวต่ออัยการ นอกจากนี้ มาถามถึงคดีของเคทองว่าจะมามอบตัวได้อย่างไร แต่ก็ยังไม่ชัดเจนเพราะพนักงานสอบสวนแจ้งว่าสำนวนยังส่งมาไม่ถึงกองปราบฯ”
นายพรวัฒน์ ทองธนบูรณ์ หรือเคทอง คือลูกน้องคนสนิทของ พล.ต.ขัตติยะ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลใน 3 คดี คือ คดีทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวิธีอื่นใดเพื่อให้เกิดความปั่นป่วนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร และขู่เข็ญให้ผู้อื่นเกิดความกลัวหรือความตกใจ และคดีนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ หลังเจ้าตัวจ้อผ่านแคมฟร็อกว่าหลังวันที่ 26 กุมพาพันธุ์ จะเกิดเหตุวินาศกรรมในกรุงเทพฯ ขึ้น และแล้วก็เป็นไปตามนั้นเมื่อมือมืดโยนระเบิดใส่ ธนาคารกรุงเทพฯ ทั้งใน กทม.และปริมณฑล 5 จุด สร้างความตื่นตระหนกไปทั่ว
เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งนครบาลและสอบสวนกลาง ต่างตามลากคอตัวเคทองกันให้ควัก แต่ก็ไร้วี่แววแต่อย่างใด มีเพียงข่าวลือข่าวอ้างว่าเคทอง หนีไปกบดานต่างประเทศแล้ว บ้างก็ว่าเคทองกบดานอยู่ที่อีสาน แต่ก็ไม่มีเจ้าหน้าที่หน่วยไหนตามหาเขาเจอเพราะทราบดีว่าเขาเป็นถึงบุคคลที่ เสธ.แดงให้ความเคารพ ถึงกับขั้นเรียกว่า “อาจารย์” ย่อมมีทางหนีทีไล่มากกว่าโจรห้าร้อยธรรมดา
เสธ.แดงให้ความกระจ่างถึงเรื่องนี้ว่า ที่เรียกกันว่าอาจารย์เพราะเคทองเป็นหมอดูทำนายทายทักดวงเมือง และจัดรายการผ่านแคมฟร็อก ส่วนเหตุปาระเบิดธนาคารกรุงเทพที่เกิดขึ้นนั้น พล.ต.ขัตติยะ ป้องลูกน้องคนสนิทว่า เคทองไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด แต่ที่มีการพูดผ่านวิดีโอคลิปเกี่ยวกับเหตุระเบิดนั้นและเชื่อว่าเป็นเรื่องบังเอิญมากกว่า
“เคทองยังอยู่ในประเทศไม่ได้หลบหนีไปไหนหลังเสร็จคดีของผมจะพาเคทองมามอบตัวอย่างแน่นอน” เสธ.แดง กล่าวเปื้อนยิ้มด้วยอารมณ์ดี ก่อนโบกไม้โบกมือขอลานักข่าว เดินทางไปสนามบินสุวรรณภูมิเพื่อขึ้นเครื่องไป อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี เที่ยว 17.30 น. เวทีคนเสื้อแดงเหล่าสาวก ทักษิณ ชินวัตร รอเขาอยู่ที่นั่น
ในขณะที่ พล.ต.ขัตติยะ กำลังให้สัมภาษณ์สื่ออย่างอารมณ์ดีอยู่นั้น ตำรวจกองปราบนอกเครื่องแบบ กำลังจับจ้องมองความเคลื่อนไวของพวกเขาตลอดเวลา โดยเฉพาะในรถตู้สีขาวตรากงจักร พบมีสิ่งผิดปกติหลายอย่างคือ มีการเปิดเครื่องรถยนต์ทิ้งไว้และแอร์คอนดิชันทำงานตลอดเวลาตั้งแต่ที่มันมาจอด นอกจากนี้ ภายในรถพบชายต้องสงสัย 2 รายนั่งอยู่ไม่ยอมลงมาทั้งๆ ที่รถจอดกลางแดดเปรี้ยง อากาศร้อนตับแลบ
เจ้าหน้าที่จึงรายงานความเคลื่อนไหวให้ พ.ต.อ.สานิตย์ ทราบ นอกจากนี้ สายข่าวจากตำรวจสันติบาลแจ้งมาว่า เมื่อช่วงเช้าพบว่ารถตู้คันดังกล่าวไปรับตัวเคทองมาจากต่างจังหวัด ก่อนขับไปโผล่ที่ สน.ลาดกระบัง เพื่อสอบถามในคดีเคทองครอบครองอาวุธปืนที่ตำรวจลาดกระบังยึดได้ก่อนหน้านี้ ระหว่างนั้นกลุ่มของ เสธ.แดงได้เข้าไปข่มขู่ตำรวจโรงพักดังกล่าวโดยไม่มีใครกล้าต่อปากต่อคำ เพราะรู้กิตติศัพท์ดีว่าเขาบ้าดีเดือดแค่ไหน ทำให้เขาย่ามใจพาเคทองมาลองของที่กองปราบปราม
พ.ต.อ.ศานิตย์ พ.ต.ท.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ พ.ต.ท.อดินันท์ ชัยนันท์ รอง ผกก.1 บก.ป. พ.ต.ท.ธีรพัฒน์ ธารีไทย พ.ต.ต.จารุวัฒน์ พาหุมันโต สว.กก.1 บก.ป. พ.ต.ต.ต่อศักดิ์ พิทักษ์โกศล สว.กก.ปพ.บก.ป. พร้อมชุดสืบสวน กก.1 บก.ป. และหน่วยคอมมานโด 5 นาย ปรี่เข้าไปหา พล.ต.ขัตติยะ อีกครั้ง
“พี่แดง ขออนุญาตตรวจสอบภายในรถตู้หน่อยครับ” รองฯ ศานิตย์ พูด
“ไม่มีอะไรๆ หรอกน้อง” พล.ต.ขัตติยะ เสียงเริ่มตะกุกตะกักขณะพูดกับนายตำรวจรุ่นน้อง
จากนั้นกำลังตำรวจตรงเข้าไปเปิดประตูข้างด้านซ้ายรถตู้คันดังกล่าว ก็พบชายสองคนนั่งอยู่ที่เบาะหลังสุดของรถ คนหนึ่งนั่งนิ่งๆ ส่วนชายอีกคนมีพิรุธลุกลี้ลุกลน ยกหนังสือพิมพ์ปิดใบหน้าแสร้งว่ากำลังอ่านข่าวอยู่ เมื่อขอดูหน้าก็คือ นายพรวัฒน์ ทองธนบูรณ์ หรือเคทอง ผู้ต้องหาคดีความมั่นคงที่หลายหน่วยงานต้องการตัวนั่นเอง เจ้าหน้าที่จึงเชิญลงมาสอบปากคำ พล.ต.ขัตติยะ ซึ่งเห็นเหตุการณ์ตลอดเวลาถึงกับหน้าถอดสีทันทีที่เคทองเดินออกมา แตกต่างกันลิบลับกับช่วงก่อนหน้านี้ที่ยังพูดจาหยอกล้อกับสื่อมวลชนอย่างสนุกสนาน
“สงสัยอาจารย์คงต้องนอนที่กองปราบเสียแล้ว” เสธ.แดงกล่าวยิ้มๆ ก่อนที่ทั้งสองขึ้นไปยังห้องประชุมชั้นสอง อาคารสำนักงานผู้บังคับบัญชา
นี่คือการปรากฏตัวเป็นครั้งแรกของ เจ้าของฉายาเคทอง ที่แท้แล้วเขาเป็นแค่คนธรรมดา ขอบตาช้ำเหมือนคนอมโรค ไม่ได้เป็นทหารอย่างที่หลายฝ่ายคาดไว้ แต่ชื่อของเขาสร้างความหวาดกลัวมานานตั้งแต่เหตุคนร้ายยิงเอ็ม 79 ใส่พันธมิตรฯ
นายพรวัฒน์บอกว่าเขาเป็นแค่นักจัดรายการโหราศาสตร์คู่การเมืองกับการทหาร วิเคราะห์สถานการณ์บ้านเมืองผ่านทางแคมฟรอกซ์ ช่วงเวลา 22.00-00.00 และ 01.00-03.00 น. ซึ่งจัดมาได้ 3 ปีกว่าแล้ว โดยจะนำดวงเมืองมาช่วยวิเคราะห์ และจำลองภาพว่าจะเกิดอะไรขึ้นในทุกๆ 2 วัน ส่วนเหตุร้ายที่เกิดขึ้นนั้นยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด
ต่อมา พ.ต.ท.อดินันท์ นำกำลังเข้าตรวจค้นคนเฝ้ารถของ พล.ต.ขัตติยะ แต่ถูกคนขับรถอ้างว่าเป็นอดีตทหารนาวิกโยธินขัดขวางพร้อมทั้งตะคอกว่า
“คุณไม่มีอำนาจตรวจค้น รู้ไหมผมผ่านมามากกว่าพวกคุณ” ชายผมทรงสกินเฮดกล่าวตะคอกพร้อมทั้งแสดงอาการไม่สบอารมณ์
“ใจเย็นๆก่อนผมก็ผ่านมาไม่น้อยกว่าคุณ “ พ.ต.ท.อดินันท์ กล่าว แต่ชายคนดังกล่าวยังดื้อดึง ทันใดนั้นเจ้าหน้าที่คอมมานโดและตำรวจนอกเครื่องแบบก็กรูกันเข้าไป
“อาศัยอำนาจตามกฏหมายผมขอตรวจค้นคุณ” เจ้าหน้าที่จึงเข้าไปประชิดตัวชายคนดังกล่าว พร้อมตรวจค้นแต่ไม่พบสิ่งผิดกกหมายแต่อย่างใด ต่อมาเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นรถตู้คันดังกล่าวอีกครั้งกลับต้องตะลึงเมื่อ พบอาวุธปืนยี่ห้อบาร์เร็ทต้าขนาด 9 มม. จำนวน 1กระบอก ยี่ห้อคาร์ ขนาด 9มม. 1กระบอก ยี่ห้อ กล็อค ขนาด 9 มม.1กระบอก ยี่ห้อซีแซดขนาด 6.35 มม.1กระบอก กระสุนจำนวนมาก นอกจากนี้พบ มีดพก 2 เล่ม กระเป๋าหนังสีดำ 1 ใบ โน้ตบุ๊ค 1 เครื่อง และกล้องดิจิตอลอีก 1 เครื่อง นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ได้ยึดอาวุธปืนกล็อคขนาด 9 มม.จากตัวการ์ด พล.ต.ขัตติยะ พร้อมกระสุนอีก 1 กระบอก
ระหว่างนั้น พล.ต.ขัตติยะ เดินทางมาดูอาวุธปืนที่เจ้าหน้าที่ยึดได้ในรถโดยบอกว่า ทั้งหมดเป็นของตนและเคทอง มีใบอนุญาตครองครองถูกต้องตามกฏหมายทุกกระบอก ส่วนใบพกพาไม่ต้องมีเพราะเป็นนายทหาร ทั้งนี้ อาวุธทั้งหมดเอาไว้ป้องกันตัวเพราะมีคนจ้องเล่นงานอยู่
ต่อมา พล.ต.ขัตติยะ ได้ขออนุญาต พ.ต.อ.ศานิตย์ ว่าจะพารถตู้ออกไปเพื่อไปขึ้นเครื่องบินเพื่อไปต่างจังหวัดแต่เจ้าหน้าที่ไม่อนุญาตทำให้ พล.ต.ขัตติยะ เกิดอาการฉุนเฉียวและแสดงไม่พอใจออกมาทาง พ.ต.ต.ภูมินทร์ พุ่มพันธุ์ม่วง สว.กก.ปพ.บก.ป.จึงนำตำรวจคอมมานโดอาวุธครบมือจำนวน 5นาย เข้าล้อมกรอบรถตู้คันดังกล่าวและห้ามใครเข้าใกล้หรือเคลื่อนย้ายอย่างเด็ดขาด
ต่อมาตำรวจคอมมานโดพร้อมอาวุธครบมือควบคุมตัว เสธ.แดงและสมุนประกอบด้วย ว่าที่ ร.ต.สุรภัศ จันทิมา อายุ 27 ปี นายมงคล สารพัน อายุ 42 ปี นายจักรชลัส คงสุวรรณ อายุ 37 ปี นายเริงฤทธิ์ ตุ้มทองคำ นายจรัญ ลอยพูล นายสุวิทย์ คีรีรักษ์ ก่อนแจ้งข้อหาร่วมกันช่วยผู้อื่นซึ่งเป็นผู้กระทำความผิดหรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทำความผิดอันมิใช่ความผิดลหุโทษ เพื่อไม่ให้ต้องโทษโดยให้พำนักแก่ผู้นั้นโดยซ่อนเร้นหรือโดยช่วยผู้นั้นด้วยประการใดเพื่อไม่ให้ถูกจับกุม และมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พกพาอาวุธปืนเข้าไปในเมือง หมู่บ้านทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร ส่วนนายพรวัฒน์ถูกแจ้งข้อหาเพิ่มคือ มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พกพาอาวุธปืนเข้าไปในเมือง หมู่บ้านทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร
หลังถูกตลบหลังจับกุมเคทองอย่างง่ายดายแล้ว เสธ.แดงยังถูกตั้งข้อหาช่วยเหลือผู้ต้องหาอีกคดี เขาให้สัมภาษณ์ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวว่า "ผมจะนำเคทองมามอบตัว แต่ถูกตำรวจปฏิเสธ แถมยังมาทำกับผมอย่างนี้อีก รู้สึกเสียใจมากที่ถูกทำเหมือนหมา" ซึ่งแย้งกับที่ รอง ศานิตย์ บอกว่า ที่ เสธ.แดงอ้างว่าพาเคทองเข้ามอบตัวนั้น ที่จริงเสธ.แดงมากองปราบปรามเนื่องจากมีคดีที่นี่หลายคดี ซึ่งได้พูดคุยซักถามถึงคดีต่างๆ โดยมี 1 คดีที่มีการนัดหมายมอบตัว โดยคดีเสร็จแล้วและกำลังจะส่งอัยการ จึงต้องมีการส่งตัวผู้ต้องหาด้วยจึงสามารถส่งชั้นศาลได้ ที่คุยกันนานกว่า 1 ชั่วโมงก็คุยกันดีไม่มีปัญหาอะไร แต่ขณะที่เสธ.แดงจะกลับก็มีสายลับแจ้งว่า เคทองอาจหลบอยู่ในรถตู้ของเสธ.แดง จึงขอตรวจค้น ซึ่งเสธ.แดงก็บอกว่าไม่มี แต่ตรวจสอบพบว่าเคทองหลบอยู่ที่เบาะด้านหลัง ลักษณะใช้หนังสือพิมพ์บังตัวเองอยู่ โดยนายเคทองมีความผิด 2 หมาย เกี่ยวกับ พรบ.อาวุธปืน และ พรบ.คอมพิวเตอร์ ซึ่งเมื่อผู้ต้องหามีหมายจับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่ว่าจะเป็นใครก็สามารถจับกุมได้ทันทีหากพบตัว
นี่คือจุดจบของ เคทอง ผู้ต้องหาด้านความมั่นคงคนสำคัญอันดับต้นๆของประเทศ ขณะที่เจ้าหน้าที่หลายหน่วยงานกำลังไล่ล่าเขาแทบพลิกแผ่นดิน แต่เขากลับมาตายน้ำตื้น ถูกจับง่ายดายภายในกองปราบปรามนี่เอง นอกจากนี้ ยังทำให้ลูกพี่อย่างเสธ.แดงพลอยซวยโดนข้อพาผู้ต้องหลบหนีเพิ่มอีกคดี