“ม.ล.ฤทธิเทพ เทวกุล ”รองประธานศาลฎีกา องค์คณะคดียึดทรัพย์ ปัดข่าววิ่งเต้นเสนอสินบน ยันไม่เคยมีใครเสนอ ชี้ กุข่าวสร้างสถานการณ์ “ เลขาฯศาลยุติธรรม ” ท้าหากมีหลักฐานผู้พิพากษาทำผิด ร้อง ป.ป.ช. พร้อมเตือน ถ้าแค่ระแวงสงสัย ไม่มีหลักฐานต้องรับผิดชอบคำพูดด้วย ทนายทักษิณ จวก คนปล่อยข่าว สร้างความเสียหายกระบวนการยุติธรรมไทย
วันนี้(23 ก.พ.)ม.ล.ฤทธิเทพ เทวกุล รองประธานศาลฎีกา หนึ่งในองค์คณะผู้พิพากษาคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้าน อันได้มาจากการร่ำรวยผิดปกติของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายสำราญ รอดเพชร โฆษกพรรคการเมืองใหม่ กล่าวย้ำข่าวลือการเสนอสินบนผู้พิพากษาองค์คณะคดียึดทรัพย์ว่าขณะนี้ได้เสียงผู้พิพากษาแล้ว 4 คน และก่อนหน้านี้เคยวิ่งเต้นเสนอเงิน 200 ล้านบาท แต่ไม่ได้ผลจนต้องเพิ่มวงเงินว่า “ เรื่องนี้ไม่มีอะไร ไม่เคยมีใครมาเสนอ เป็นเรื่องกุข่าว เพื่อสร้างสถานการณ์”
เมื่อถามว่าการปล่อยข่าวดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อการพิพากษาคดีและตัวผู้พิพากษาหรือไม่ ม.ล.ฤทธิเทพ กล่าวปฏิเสธว่า ไม่มีองค์คณะท่านใดให้ความสนใจกับข่าวที่ออกมา เพราะเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง
ด้าน นายวิรัช ชินวินิจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง ที่ผ่านมาก่อนการพิพากษาคดีมักจะมีการปล่อยข่าวในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งการคาดเดาผลคำพิพากษา
เมื่อถามว่าหากมีการร้องขอให้เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินของผู้พิพากษาเพื่อตรวจสอบ นายวิรัช กล่าวว่า ตามรัฐธรรมนูญบัญญัติเรื่องการยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช.) อยู่แล้ว และเรื่องนี้หากมีหลักฐานชัดเจนว่าผู้พิพากษามีการกระทำส่อไปในทางที่ผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ก็สามารถยื่น ป.ป.ช. ได้ และถ้าเรื่องดังกล่าวเป็นจริงคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม ( ก.ต.) ไม่ละเว้นแน่นอน เพียงแต่การยื่นนั้นต้องมีสิทธิ์และความรับผิดชอบด้วยว่าหากไม่มีหลักฐานแล้วอาศัยเพียงแค่ความระแวงสงสัยมากล่าวหาจะรับผิดชอบเรื่องที่เกิดความเสียหายนั้นอย่างไรหากข้อกล่าวไม่เป็นความจริง การจะกล่าวหาอะไรไม่ใช่ว่าแค่มีสิทธิ์แต่ต้องมีความรับผิดชอบด้วย
ส่วนมีความจำเป็นต้องเรียกนายสำราญ มาสอบถามหรือไม่ เพราะการพูดดังกล่าวอาจจะเป็นการดูหมิ่นศาล ทั้งที่คดียังไม่ได้ตัดสิน นายวิรัช กล่าวปฏิเสธว่า ยังไม่มีการดำเนินการใด ๆ ซึ่งการจะดำเนินการต้องพิจารณาว่าผู้พูดมีเจตนาอย่างไร
“องค์คณะผู้พิพากษาไม่ได้หวั่นไหว ขณะที่ข่าวการวิ่งเต้นเสนอสินบนไม่เป็นจริง ทางกลับกันมองว่าเมื่อมีข่าวออกมาแรง ยิ่งทำให้ผู้พิพากษาต้องระมัดระวังการพิพากษาคดีให้รัดกุมมากยิ่งขึ้น ”นายวิรัชกล่าว
ด้าน นายฉัตรทิพย์ ตัณฑประสาสน์ ทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า การปล่อยข่าวดังกล่าว เป็นเรื่องที่สังคมรู้อยู่แล้วว่าไม่เป็นจริง ซึ่งประชาชนก็มีวิจารณญาณ การปล่อยข่าวเช่นนี้ไม่ได้กระทบต่อศาลเท่านั้น แต่ยังเป็นการให้ร้าย พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วย เพราะจะทำให้เข้าใจได้ว่าหากผลการตัดสินของศาลเป็นไปในทางที่เป็นประโยชน์ต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็จะมองว่ามีการเสนอและรับเงินสินบนจริง
“ผู้ที่ออกมาพูดปล่อยข่าวอย่างนี้ เหมือนตีปลาหน้าไซ เป็นการพูดออกมาโดยไม่สุจริต น่าละอาย กะทบกระเทือนต่อสถาบันยุติธรรมของไทย ซึ่งประชาชนน่าจะเข้าใจได้ว่าเป็นเรื่องไม่จริง เป็นการปล่อยข่าวของผู้ไม่หวังดี และการออกมาพูดเช่นนี้เท่ากับเป็นการฟ้องตัวเองอยู่แล้ว ” นายฉัตรทิพย์ ทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวย้ำ
เมื่อถามว่าได้หารือกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าจะมีการฟ้องกลับหรือไม่ นายฉัตรทิพย์ กล่าวปฏิเสธว่ายังไม่ได้คุย ซึ่งทีมกฎหมายไม่ทราบรายละเอียดการทั้งหมด ทราบจากการปล่อยข่าว
เมื่อถามถึงแนวทางภายหลังฟังคำพิพากษาหากศาลมีคำสั่งยึดทรัพย์ทั้งหมด หรือบางส่วน นายฉัตรทิพย์ กล่าวว่า ต้องรอให้ศาลมีคำพิพากษาเสียก่อน จึงจะพิจารณาแนวทางอีกครั้งว่าจะทำอย่างไรต่อไป
วันเดียวกันที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล(บช.น.) พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 5 ( ผบก.น.5 ) กล่าวถึงการดูแลความปลอดภัยบุคคลสำคัญและบ้านพักองค์คณะผู้พิพากษาตัดสินคดี ยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ว่า ในพื้นที่ บก.น. 5 ประกอบด้วย สน. ท่าเรือ สน.ทองหล่อ สน.ทุ่งมหาเมฆ สน.บางโพงพาง สน.พระโขนง สน.คลองตัน สน.บางนา สน.ลุมพินี และ สน. วัดพระยาไกร มีบ้านพักองค์คณะผู้พิพากษาที่ตัดสินคดีเพียง 1 รายใน 9 รายของทั้งหมด แต่ไม่ขอเปิดเผยว่า เป็นใครอยู่ในท้องทีใด ที่ผ่านมามีการจัดกำลังตำรวจท้องที่และเจ้าหน้าที่สายตรวจไปดูแลความสงบ เรียบร้อยรักษาความปลอดภัยอย่างเต็มที่ตลอด 24 ชั่วโมง ยังไม่มีรายงานเหตุผิดปกติหรือมีสิ่งพิรุธต้องสงสัยแต่อย่างใด สถานการณ์ในภาพรวมยังอยู่ในความสงบ สามารถดูแลได้ ไม่ต้องวิตกกังวล รวมถึงกำลังตำรวจที่ดูแลความปลอดภัยบ้านพักนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ในย่านสุขุมวิทด้วย นอกจากกำลังตำรวจท้องที่แล้วยังมีหน่วยอื่นที่เกี่ยวข้องเข้าเสริมการ ปฏิบัติดูแลความปลอดภัยอย่างแน่นหนาสถานการณ์ภาพรวมอยู่ในภาวะปกติไม่มีสิ่ง บอกเหตุหรือสิ่งพิรุธต้องสงสัยแต่อย่างใด
วันนี้(23 ก.พ.)ม.ล.ฤทธิเทพ เทวกุล รองประธานศาลฎีกา หนึ่งในองค์คณะผู้พิพากษาคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้าน อันได้มาจากการร่ำรวยผิดปกติของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายสำราญ รอดเพชร โฆษกพรรคการเมืองใหม่ กล่าวย้ำข่าวลือการเสนอสินบนผู้พิพากษาองค์คณะคดียึดทรัพย์ว่าขณะนี้ได้เสียงผู้พิพากษาแล้ว 4 คน และก่อนหน้านี้เคยวิ่งเต้นเสนอเงิน 200 ล้านบาท แต่ไม่ได้ผลจนต้องเพิ่มวงเงินว่า “ เรื่องนี้ไม่มีอะไร ไม่เคยมีใครมาเสนอ เป็นเรื่องกุข่าว เพื่อสร้างสถานการณ์”
เมื่อถามว่าการปล่อยข่าวดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อการพิพากษาคดีและตัวผู้พิพากษาหรือไม่ ม.ล.ฤทธิเทพ กล่าวปฏิเสธว่า ไม่มีองค์คณะท่านใดให้ความสนใจกับข่าวที่ออกมา เพราะเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง
ด้าน นายวิรัช ชินวินิจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง ที่ผ่านมาก่อนการพิพากษาคดีมักจะมีการปล่อยข่าวในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งการคาดเดาผลคำพิพากษา
เมื่อถามว่าหากมีการร้องขอให้เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินของผู้พิพากษาเพื่อตรวจสอบ นายวิรัช กล่าวว่า ตามรัฐธรรมนูญบัญญัติเรื่องการยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช.) อยู่แล้ว และเรื่องนี้หากมีหลักฐานชัดเจนว่าผู้พิพากษามีการกระทำส่อไปในทางที่ผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ก็สามารถยื่น ป.ป.ช. ได้ และถ้าเรื่องดังกล่าวเป็นจริงคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม ( ก.ต.) ไม่ละเว้นแน่นอน เพียงแต่การยื่นนั้นต้องมีสิทธิ์และความรับผิดชอบด้วยว่าหากไม่มีหลักฐานแล้วอาศัยเพียงแค่ความระแวงสงสัยมากล่าวหาจะรับผิดชอบเรื่องที่เกิดความเสียหายนั้นอย่างไรหากข้อกล่าวไม่เป็นความจริง การจะกล่าวหาอะไรไม่ใช่ว่าแค่มีสิทธิ์แต่ต้องมีความรับผิดชอบด้วย
ส่วนมีความจำเป็นต้องเรียกนายสำราญ มาสอบถามหรือไม่ เพราะการพูดดังกล่าวอาจจะเป็นการดูหมิ่นศาล ทั้งที่คดียังไม่ได้ตัดสิน นายวิรัช กล่าวปฏิเสธว่า ยังไม่มีการดำเนินการใด ๆ ซึ่งการจะดำเนินการต้องพิจารณาว่าผู้พูดมีเจตนาอย่างไร
“องค์คณะผู้พิพากษาไม่ได้หวั่นไหว ขณะที่ข่าวการวิ่งเต้นเสนอสินบนไม่เป็นจริง ทางกลับกันมองว่าเมื่อมีข่าวออกมาแรง ยิ่งทำให้ผู้พิพากษาต้องระมัดระวังการพิพากษาคดีให้รัดกุมมากยิ่งขึ้น ”นายวิรัชกล่าว
ด้าน นายฉัตรทิพย์ ตัณฑประสาสน์ ทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า การปล่อยข่าวดังกล่าว เป็นเรื่องที่สังคมรู้อยู่แล้วว่าไม่เป็นจริง ซึ่งประชาชนก็มีวิจารณญาณ การปล่อยข่าวเช่นนี้ไม่ได้กระทบต่อศาลเท่านั้น แต่ยังเป็นการให้ร้าย พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วย เพราะจะทำให้เข้าใจได้ว่าหากผลการตัดสินของศาลเป็นไปในทางที่เป็นประโยชน์ต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็จะมองว่ามีการเสนอและรับเงินสินบนจริง
“ผู้ที่ออกมาพูดปล่อยข่าวอย่างนี้ เหมือนตีปลาหน้าไซ เป็นการพูดออกมาโดยไม่สุจริต น่าละอาย กะทบกระเทือนต่อสถาบันยุติธรรมของไทย ซึ่งประชาชนน่าจะเข้าใจได้ว่าเป็นเรื่องไม่จริง เป็นการปล่อยข่าวของผู้ไม่หวังดี และการออกมาพูดเช่นนี้เท่ากับเป็นการฟ้องตัวเองอยู่แล้ว ” นายฉัตรทิพย์ ทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวย้ำ
เมื่อถามว่าได้หารือกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าจะมีการฟ้องกลับหรือไม่ นายฉัตรทิพย์ กล่าวปฏิเสธว่ายังไม่ได้คุย ซึ่งทีมกฎหมายไม่ทราบรายละเอียดการทั้งหมด ทราบจากการปล่อยข่าว
เมื่อถามถึงแนวทางภายหลังฟังคำพิพากษาหากศาลมีคำสั่งยึดทรัพย์ทั้งหมด หรือบางส่วน นายฉัตรทิพย์ กล่าวว่า ต้องรอให้ศาลมีคำพิพากษาเสียก่อน จึงจะพิจารณาแนวทางอีกครั้งว่าจะทำอย่างไรต่อไป
วันเดียวกันที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล(บช.น.) พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 5 ( ผบก.น.5 ) กล่าวถึงการดูแลความปลอดภัยบุคคลสำคัญและบ้านพักองค์คณะผู้พิพากษาตัดสินคดี ยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ว่า ในพื้นที่ บก.น. 5 ประกอบด้วย สน. ท่าเรือ สน.ทองหล่อ สน.ทุ่งมหาเมฆ สน.บางโพงพาง สน.พระโขนง สน.คลองตัน สน.บางนา สน.ลุมพินี และ สน. วัดพระยาไกร มีบ้านพักองค์คณะผู้พิพากษาที่ตัดสินคดีเพียง 1 รายใน 9 รายของทั้งหมด แต่ไม่ขอเปิดเผยว่า เป็นใครอยู่ในท้องทีใด ที่ผ่านมามีการจัดกำลังตำรวจท้องที่และเจ้าหน้าที่สายตรวจไปดูแลความสงบ เรียบร้อยรักษาความปลอดภัยอย่างเต็มที่ตลอด 24 ชั่วโมง ยังไม่มีรายงานเหตุผิดปกติหรือมีสิ่งพิรุธต้องสงสัยแต่อย่างใด สถานการณ์ในภาพรวมยังอยู่ในความสงบ สามารถดูแลได้ ไม่ต้องวิตกกังวล รวมถึงกำลังตำรวจที่ดูแลความปลอดภัยบ้านพักนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ในย่านสุขุมวิทด้วย นอกจากกำลังตำรวจท้องที่แล้วยังมีหน่วยอื่นที่เกี่ยวข้องเข้าเสริมการ ปฏิบัติดูแลความปลอดภัยอย่างแน่นหนาสถานการณ์ภาพรวมอยู่ในภาวะปกติไม่มีสิ่ง บอกเหตุหรือสิ่งพิรุธต้องสงสัยแต่อย่างใด