หากนับย้อนเวลาของเช้าตรู่วันที่ 17 เม.ย.2552 ถึงปันจุบัน เป็นเวลาถึง 9 เดือนเต็มที่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ถูกคนร้ายใช้อาวุธปืนสงครามถล่มใส่รถนับ 100 นัด บริเวณถนนสามเสน หน้าวัดเอี่ยมวรนุช สี่แยกบางขุนพรม
โดยชุดคลี่คลายคดี ที่มี พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ อดีตรองผบ.ตร. เป็นหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวนเข้ามารับผิดชอบ ได้ออกหมายจับผู้ต้องหาไปแล้ว 3 คน ประกอบด้วย “ส.ต.ท.วรวุฒิ มุ่งสันติ” สังกัด บช.ปส.ช่วยราชการดีเอสไอ “จ.ส.อ.ปัญญา ศรีเหรา” สังกัดศูนย์สงครามพิเศษลพบุรี และ “ส.อ.สมชาย บุนนาค” สังกัดกองร้อยกองบังคับการกรมรบพิเศษที่ 3 ค่ายเอราวัณ จ.ลพบุรี
แต่กระนั้นก็ตาม ยังไม่มีใครได้เห็น“เงา” ของ 3 ผู้ต้องหาแม้แต่น้อย ทั้งที่ พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ช่วย ผบ.ตร.ได้ออกมากาารันตีว่า “ผู้ต้องหา” ยังอยู่ในเมืองไทย แต่อยู่ในเขตหวงห้าม ที่พนักงานสืบสวนสอบสวนหรือตำรวจไม่สามารถเข้าไปถึง!
หลังจากที่ พล.ต.อ.ธานี เกษียณอายุราชการลงไปพร้อมกับ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร.แล้ว หลายฝ่ายเชื่อว่า พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ช่วยผบ.ตร. จะเข้ามารับผิดชอบคดีนี้อย่างต่อเนื่องจากพล.ต.อ.ธานี แต่แล้ว กลับมี “สุญญากาศ” มาเป็นอุปสรรคในการดำเนินคดี นั่นคือตัว ผบ.ตร. ที่ ณ ปัจจุบันรัฐบาลยังไม่สามารถดำเนินการแต่งตั้งใครคนใดคนหนึ่งขึ้นมาดำรงตำแหน่งได้ คดีจึงหยุดชะงักลงตั้งแต่วันที่ 30 ก.ย. 2552 อันเป็นวันที่พล.ต.อ.ธานี เกษียณอายุราชการ
ทั้งนี้ หลังจากเมื่อวันที่ 19 เมษายนที่ พล.ต.อ.ธานี เข้ามารับผิดชอบคดี ในแทบทุกครั้งที่ พล.ต.อ.ธานี ได้เข้ารายงานความคืบหน้าของคดีต่อ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.ธานี จะออกมาให้คำมั่นสัญญาเหมือนกันแทบทุกครั้งว่า “สามารถปิดคดีนี้ได้ทันก่อนเกษียณอายุราชการแน่นอน”... “หมายจับที่ออกไปมีหลักฐานชัดเจน เชื่อมโยงถึงผู้ร่วมขบวนการที่จะออกหมายจับเพิ่มอีกประมาณ 10 คน” ... “คดีนี้เจอตอ ชุดพนักงานสืบสวนสอบสวนถูกข่มขู่คุกคาม”... “มีตำรวจที่ทำตัวเป็นไส้ศึก ไม่มีจิตวิญญาณของความเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์”...
ขณะที่ภาพของ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี พบว่าแทบทุกครั้งเช่นกันที่ได้รับ
รายงานคดีโดยตรงจาก พล.ต.อ.ธานี ก็ได้ออกมายืนยันหนักแน่นที่จะทำคดีนี้ได้สำเร็จ จับผู้ร่วมขบวนการให้ได้ โดยที่นายกรัฐมนตรียืนยันว่าจะให้ความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย ไม่มีการแบ่งสี แบ่งฝ่าย และไม่สนว่าผู้ต้องหาจะเกี่ยวโยงกับใคร หรือเป็นญาติกับใคร โดยได้สนับสนุนคำพูดของ พล.ต.อ.ธานี ว่าจะต้องปิดคดีได้ก่อนเกษียณอายุราชการ และจะไม่มีการต่ออายุ พล.ต.อ.ธานี เพื่อมาดูแลคดีนี้อีก
ถ้าย้อนกลับไปดูการสืบสวนของชุดคลี่คลายคดี ก็มีพยานหลักฐานชิ้นสำคัญหลายชิ้นเริ่มปรากฏภาพที่ชัดเจนมากขึ้นตามลำดับที่ทีมสืบสวนจะทำการแกะร่องรอยขยายผลเพื่อตามล่าหาความจริง ซึ่งคล้อยหลังเพียงวันเดียวที่ออกหมายจับผู้ต้องหา 2 คนแรก ทีมชุดสืบสวนก็ได้พบรถต้องสงสัยของคนร้ายเป็นรถกระบะโตโยต้า วีโก้ สีเปลือกมังคุด หมายเลขทะเบียน บธ 1474 ลพบุรี ซึ่งได้หลักฐานภาพวงจรปิดจากบริเวณที่เกิดเหตุและบริเวณใกล้เคียง และได้ส่งให้กองพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบต่อไป แต่ก็ยังไม่ปรากฏความคืบหน้าแต่อย่างใดกับรถต้องสงสัยคันดังกล่าวซึ่งรถคันดังกล่าวว่ากันว่า พ.อ.(ส) ได้โทรศัพท์ไปขอยืมรถเพื่อนก่อนเกิดเหตุยิงนายสนธินั้น มีหลักฐานการใช้โทรศัพท์มือถือของเขา พบว่าเชื่อมโยงเกี่ยวข้องบุคคลและสถานที่ ซึ่งรวมไปถึง ส.ต.ท.วรวุฒิ มุ่งสันติ
โดยตำรวจสอบสวนพบว่า เบอร์โทร.หลักที่มีการโทร.เข้า-โทร.ออกกับทีมฆ่า ล้วนมาจากเบอร์ของ พ.อ.(ส) ทั้งสิ้น และ พ.อ.(ส) คือบุคคลที่เป็นกุญแจดอกสำคัญนำไปสู่การไขปริศนาสาวถึง “ตอ” ตัวการใหญ่ได้
นอกเหนือจากรถของกลางต้องสงสัยแล้ว ปลอกกระสุนปืน RTA ก็ยังไม่ได้รับความกระจ่าง รวมทั้งการแกะรอยการใช้โทรศัพท์ของกลุ่มผู้ต้องหา ที่ถือว่า เป็นพยานหลักฐานชิ้นสำคัญ ในการนำไปสู่การออกหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 3 คน แต่จนถึงบัดนี้ ทุกอย่าง หยุดนิ่งคงที่
3 เดือนเต็มนับตั้งแต่ย่างเข้าเดือน ต.ค.ไม่มีความเคลื่อนไหวของคดี ชุดพนักงานสอบสวนที่ได้รับการแต่งตั้งจาก พล.ต.อ.ธานี ต่างก็แยกย้ายกันเติบโตไปตามสายงานต่างๆ บ้างก็เกษียณอายุราชการไปพร้อมผู้เป็นนาย แต่ที่เหลือ ก็ไม่มีหลักให้ยึด และหลังจากที่ “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาราชการแทน ผบ.ตร. เข้ามารับตำแหน่ง ก็ไม่ได้มีการเอ่ยถึงเรื่องคดีหลุดออกมาจากปาก “บิ๊กอ๊อด” แม้แต่น้อย รวมทั้งตัวผู้บัญชาการตำรวจนครบาลอย่างพล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ก็มิได้ปริปากพูดถึง ทั้งที่เป็นคดีที่อยู่ในความรับผิดชอบโดยตรง
แหล่งข่าวระดับสูงในสำนักงานตำรวจแห่งชาติระบุถึงเหตุผล ที่คดีมีอันต้องชะงัก และหยุดลงว่า เนื่องจากคดีนี้ ไม่ได้มีการสั่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนขึ้นมาเป็นการเฉพาะ แต่เป็นลักษณะของการให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ ได้แก่ ตำรวจ สน.ชนะสงคราม กก.สส.น.1 กองบังคับการสืบสวนตำรวจนครบาล โดยมี พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รรท.ผบ.ตร. ในสมัยนั้น กำกับดูแลอย่างใกล้ชิด โดยได้มีการดึงตำรวจกองปราบปรามเข้ามาช่วยในการสืบสวนติดตามคนร้าย ดังนั้น เมื่อ พล.ต.อ.ธานี เกษียณอายุราชการ ทำให้การทำคดีขาดความต่อเนื่อง
“ขณะเดียวกัน ปัญหาการแต่งตั้งโยกย้ายภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ก็ได้ส่งผลกระทบต่อคดีนี้เช่นเดียวกัน เพราะนายตำรวจที่ร่วมทำคดีบางคนเกษียณอายุราชการ บางคนได้รับการแต่งตั้งโยกย้ายให้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น พ้นจากหน้าที่เดิม อาทิ พล.ต.ท.พงษ์สันต์ เจียมอ่อน อดีตรอง ผบช.น.ฝ่ายสืบสวน ที่ขยับขึ้นเป็น ผบช.ภ.7”แหล่งข่าวระบุ
แหล่งข่าวคนเดิมกล่าวต่อว่า สำหรับผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับจำนวน 3 คนนั้น ตำรวจยังคงใช้ความพยายามในการติดตามตัวมาโดยตลอด แต่จนถึงขณะนี้ ยังไม่สามารถจับกุมได้ เนื่องจากผู้ต้องหาที่ร่วมก่อเหตุเป็นคนมีสี รู้ช่องทางในการหลบหนีเป็นอย่างดี ซึ่งขณะนี้ตำรวจพอรู้เบาะแสแหล่งหลบซ่อนตัวของผู้ต้องหาแล้ว แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้
อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ต้องรอความชัดเจนจาก พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา ที่ปรึกษา (สบ 10) ฝ่ายป้องกันและปราบปราม 5 ซึ่งรับผิดชอบกำกับดูแล บช.น.ว่าจะมีการวางแนวทางในการทำคดีนี้อย่างไร ทั้งนี้ ทราบว่าสัปดาห์หน้าจะมีการเรียกประชุมพนักงานสอบสวนคดีนี้ แต่ยังไม่ได้กำหนดวัน
ขณะที่ พล.ต.ต.สุเมธ เรืองสวัสดิ์ รอง ผบช.น. อดีต ผบก.ประจำสำนักงาน พล.ต.อ.ธานี กล่าวว่า คดีนี้ ในตอนแรกนั้น พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น.เป็นผู้รับผิดชอบและมีการเปลี่ยนตัวเป็น พล.ต.ท.พงษ์สันต์ เจียมอ่อน อดีต รอง ผบช.น. ที่ขึ้นไปเป็น ผบช.ภ.7 หลังจากนั้นก็มีการโยกย้าย บางคนก็เกษียณราชการ และตนเพิ่งได้รับมอบหมายให้มารับผิดชอบ แม้จะเคยเป็น ผบก.ประจำ สนง.พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ แต่สำนวนคดีก็เป็นความลับ จึงไม่ทราบรายละเอียดอะไร
พล.ต.ต.สุเมธ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม เมื่อได้รับมอบหมายให้ทำคดีก็จะมีการขอสำนวนการสืบสวนสอบสวนของคดีมาศึกษาก่อน และจะตั้งพนักงานสืบสวนสอบสวนในคดีใหม่ พร้อมทั้งประชุมหาแนวทางในการทำคดีต่อ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มทำคดีได้ภายในสัปดาห์หน้า
จากนี้ต่อไปคงต้องจับตาการขับเคลื่อนในการทำคดีนี้ ไม่ว่าจะเป็น พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ช่วย ผบ.ตร.ที่จะได้รับการมอบหมายให้มากำกับดูแลคดีนี้อย่างต่อเนื่องต่อไปหรือไม่ หรือว่า พล.ต.ท.ภาณุพงษ์ สิงหรา ณ อยุธยา ผู้ช่วย ผบ.ตร. ที่กำกับดูแล บช.น. อันมีหน้าที่ในการสั่งการโดยตรงกับคดีนี้ จะเริ่มต้นทำการสืบสวนสอบสวนอย่างไร หรือต้องมาเริ่มต้นนับ 1 ใหม่กันอีกหน
แม้ว่า “นายสนธิ ลิ้มทองกุล” จะรอดชีวิตมาได้ราวปฏิหาริย์ และยังคงดำเนินชีวิตอยู่ตามปกติ แต่จนถึงขณะนี้ผู้ต้องหาทั้ง 3 คนก็ยังคงดำเนินชีวิตอยู่เยี่ยงคนปกติทั่วไปเช่นกัน เสมือนหนึ่งไม่เคยได้ก่อเหตุอะไรขึ้น
ถึงเวลาแล้วหรือยังที่รัฐบาลภายใต้การนำของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” จะสั่งให้เปิดเกมรุก จี้ให้ตรงจุดกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ปัดฝุ่นคดียิง “สนธิ” เพื่อให้เกิดความกระจ่างชัด หรือยังจะต้องรอให้ ผบ.ตร.คนใหม่เข้ามาจัดการกับคดีนี้ แล้วจะให้รอถึง พ.ศ.ไหน ถึงจะจับกุมคนร้ายและปิดคดีนี้ลงได้ หรือว่าจะให้รอไปอีก 20 ปี เพื่อให้อายุความแห่งคดีสิ้นสุดลงไปเองตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย