ทันทีที่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช มีมติสั่งฟันอาญาและวินัยร้ายแรงต่อ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ แม่ทัพใหญ่สีกากี และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีตแม่ทัพนครบาล กรณีใช้กำลังสลายกลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในเหตุการณ์ 7 ตุลาเลือด ที่มีผู้เสียชีวิต และพิการทุพพลภาพหลายราย จนทำให้ พล.ต.อ.พัชรวาท พ้นจากตำแหน่ง ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.สุชาติ ถูกเด้งมาช่วยราชการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สร้างความเดือดดาลให้แก่พลพรรคสีกากีน้อยใหญ่ที่ดาหน้าออกมารุมสับแหลกถึงมติดังกล่าวของ ป.ป.ช.
นำโดย บิ๊กป๊อด “พล.ต.อ.พัชรวาท” ที่สะท้อนแรงกระเพื่อมหนักกว่าใคร รีบส่งทนายฟ้อง 8 ป.ป.ช.เสียงข้างมากในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และโดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
ตามด้วยสองคู่หูหัวหมู่ทะลวงไส้ “พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน” รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ควงคู่ “พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง” รองผู้บัญชาการสอบสวนกลาง เปิดแถลงข่าวดิสเครดิตถึงการทำหน้าที่ของ ป.ป.ช.แถมย้อนกลับไปว่า หากมีกลุ่มผู้ชุมนุมมาชุมนุมปิดล้อมสถานที่ราชการ ปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลหรือไปปิดล้อม ป.ป.ช.เอง แล้วมีท่าทีจะก่อความวุ่นวาย ใช้รั้วลวดหนาม ใช้ยางรถยนต์ ใช้น้ำมันราดพื้น ใช้กุญแจไปปิดคล้องประตูสถานที่ราชการ ขู่ว่า “ฆ่ามัน ฆ่ามัน” ถามว่า ป.ป.ช.จะให้ตำรวจทำได้แค่ไหน
ท้าชนแทนนายจนนาทีสุดท้าย
จากนั้นได้เวลาสองคู่หูอดีต นรต.รุ่น 14 ที่เกษียณราชการไปนมนานกาเล แต่ไม่ยอมกลับบ้านไปเลี้ยงหลาน “พล.ต.อ.วิสุทธิ์ กิตติวัฒน์” นายกสมาคมตำรวจ และ “พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค” ประธานชมรมข้าราชการตำรวจนอกราชการ ควง “พล.ต.อ.วิรุฬ ฟื้นแสน” ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย ที่สวมหมวกนายกสมาคมโรงเรียนนายร้อยตำรวจ พร้อมอดีตข้าราชการตำรวจหลายรายสับ ป.ป.ช.เสียเละเทะ ราวกับว่าเป็นองค์กรเถื่อนที่ไม่มีกฎหมายรับรอง
“การพิจารณาของ ป.ป.ช.ไม่มีความเป็นกลาง เพราะก่อนจะมีการวินิจฉัย มีการระบุว่าการสลายการชุมนุมเป็นความผิด ทำให้เห็นได้ว่าเป็นอคติตั้งแต่แรกและสมาคมจะเข้าไปช่วยเหลือด้านกฎหมายกับผู้ที่ถูกกล่าวหา” นายกสมาคมตำรวจ กล่าวโจมตี
ส่วนคู่หู พล.ต.อ.สล้าง กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีจงใจกลั่นแกล้งตำรวจ ทำให้การชี้มูลเป็นไปอย่างไม่ยุติธรรม และขอความเห็นจากนายกรัฐมนตรี และ ป.ป.ช.ว่า การชุมนุมในวันที่ 19 กันยายนนี้จะให้ตำรวจปฏิบัติหน้าที่ดูแลกลุ่มคนเสื้อแดงอย่างไรจะไม่มีความผิด ส่วนการย้าย พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ เป็นการสนองผลประโยชน์ทางการเมืองของนายกรัฐมนตรี ที่จะเลือกตำรวจเข้าไปดูแลเรื่องการเลือกตั้งครั้งต่อไป
บิ๊กหล้างเล่นเอาเลยเอาเถิดไปถึงนายกรัฐมนตรี
อย่างไรก็ตาม หากย้อนเส้นทางความเคลื่อนไหวของเหล่า “นายตำรวจแก่” ไม่ยอมเกษียณเหล่านี้ พบว่า ก๊วนเขาเคยรวมตัวค้านปรับโครงสร้างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่หลายฝ่ายเห็นว่าโครงสร้างตำรวจสมัยรัฐบาลทักษิณให้อำนาจตำรวจจนล้นฟ้า ถึงกับมีคำกล่าวกันว่าเป็นการสร้างรัฐตำรวจโดยจำลองโมเดลมาจาก พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ เจ้าของวลีอมตะ “ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้” โดยให้ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร เป็นประธานคณะกรรมการพัฒนาระบบงานตำรวจ กระทั่ง พล.ต.อ.วสิษฐ ได้เสนอร่างกฎหมาย 2 ฉบับ ซึ่งมีการให้อำนาจ ผู้บัญชาการต่างๆมากขึ้น ถึงกับเสนอให้เป็นตำแหน่งอธิบดีตำรวจนครบาลและอธิบดีตำรวจภาค ในขณะเดียวกัน เสนอให้ลดอำนาจ ผบ.ตร.เพื่อทำหน้าที่ประสานงานและบังคับบัญชา นอกจากนั้นยังเสนอให้ยุบยศชั้นประทวนให้เหลือเพียงดาบตำรวจเพียงอย่างเดียวเพื่อให้การเลื่อนยศได้เร็วขึ้น รวมทั้งเสนอตั้งคณะกรรมการพิจารณาเรื่องราวร้องทุกข์เกี่ยวกับตำรวจซึ่งเป็นคณะกรรมการอิสระและทำงานเต็มเวลาเพราะต้องการให้การพิจารณาดำเนินการอย่างเป็นธรรมแท้จริง
แต่ถูกดาหน้าค้านจาก “นายตำรวจแก่” จนนายกฯขิงแก่ถอดใจ และการได้มาซึ่งร่างกฎหมาย 2 ฉบับนั้นทำให้รัฐบาลเสียงบไปเปล่าๆ ปลี้ๆ กว่า 30 ล้านบาท เพื่อแลกกับเศษกระดาษเปื้อนหมึกเท่านั้น
นอกจากนี้ พวกเขาเคยสุมหัวกันที่โรงแรมฟลอริด้า ถนนพญาไท โจมตีว่าฝ่ายการเมืองเข้าแทรกแซงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจ ขณะที่กระแสข่าวเด้ง พล.ต.อ.พัชรวาท เข้ากรุกำลังหนาหูและถี่ขึ้นเรื่อยๆ หลัง “บิ๊กป๊อด” ไม่สามารถควบคุมม็อบแดงป่วนชาติ ทั้งเหตุการณ์ล้มการประชุมสุดยอดอาเซียนที่โรงแรมรอยัล คลิฟบีช พัทยา ปิดล้อมจะเข้าทำร้ายนายกฯ ที่พัทยา และกระทรวงมหาดไทย และคดียิงถล่ม “นายสนธิ ลิ้มทองกุล”
อย่างไรก็ตาม เมื่อย้อนกลับไปพลิกดูประวัติของแต่ละคนแล้วก็ถึงบางอ้อ เข้าทำนองฝนตกขี้หมูไหล... คนอย่าง “พล.ต.อ.สล้าง” คือฆาตกรมือเปื้อนเลือดดีๆ นี่เอง เพราะเขาเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเข่นฆ่านิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 แถมยังก่อวีรเวรบุกสนามบินดอนเมือง ตบบ้องหู ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ผู้มีคุณูปการด้านเศรษศาสตร์กับประเทศไทยมากมายมหาศาล จนเส้นประสาทพิการ แถมพ่วงด้วยพัวพันคดีวิสามัญฆาตกรรม “โจ ด่านช้าง” และพวกรวม 6 ศพ นอกจากนี้ยังทำตัวเหนือกฎหมายระดมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกราชการ โดยอ้างว่ามีกำลังเรือนหมื่นพร้อมอาวุธครบมือ จะเข้าสลายกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ชุมนุมขับไล่รัฐบาลทรราชภายในทำเนียบรัฐบาล แต่ก็ไม่มีใครบ้าจี้ไปกับเขาด้วย
ส่วน “พล.ต.อ.วิสุทธิ์” ก็ไม่ธรรมดามีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับขั้วอำนาจเก่าเพราะ เคยส่งหนังสือเวียนขอความร่วมมือข้าราชการตำรวจและครอบครัวตำรวจทั่วประเทศ ให้ร่วมกันส่งไปรษณียบัตรให้กำลังใจ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ ที่ถูกมรสุมการเมืองรุมเร้าขณะนั้น โดยมีใจความว่า
“กระผมและคณะได้พิจารณาแล้วเห็นว่า จากผลงานการบริหารประเทศในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาของ ฯพณฯ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เป็นไปตามกรอบกติกาของกฏหมายรัฐธรรมนูญ จนสามารถนำไปสู่ความมั่นคงในเกือบทุกๆด้าน ทำให้ประเทศไทยมีศักดิ์ศรี ได้รับการยอมรับนับถือในประชาคมโลกเป็นอย่างมาก ในยามนี้ หากพวกเรายอมปล่อยให้ฯพณฯนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตำรวจ ที่มีแต่ความรัก ความปรารถนาดีและทุ่มเทเพื่อพัฒนาองค์กรและดูแลทุกข์สุขของข้าราชการตำรวจมาโดยตลอด ต้องต่อสู้กับเหตุการณ์ และอุปสรรคต่างๆ โดยพวกเราจะนิ่งเฉยเสีย อย่างนั้นหรือ”
อยากถามกลับไปว่าสมัยที่แม้วครองอำนาจ สร้างรัฐตำรวจมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองรับใช้อำนาจตัวเอง สั่งฆ่าตัดตอนผู้ค้ายาเสพติด 2 พันกว่าศพ พัวพันการสังหารหมู่ชาวมุสลิมที่หน้า สภ.ตากใบ และในมัสยิดกรือเซะ แถมล้วงลูกโผแต่งตั้งตำรวจ ให้วงศ์วานว่านเครือเพื่อนร่วมรุ่น ได้ดิบได้ดีข้ามหัวคนอื่นเป็นใหญ่เป็นโตเต็มกรมปทุมวัน ณ ห้วงช่วงเวลานั้น “พล.ต.อ.สล้าง พล.ต.อ.วิสุทธิ์ และชาวคณะ” มัวไปทำอะไรอยู่ในนาในไร่ และขอถามอีกว่า การปฏิบัติหน้าที่ของ ป.ป.ช.เป็นไปตามที่กฏหมายรัฐธรรมนูญกำหนดใช่หรือไม่ การที่พวกท่านเป็นถึงอดีตนายตำรวจระดับสูง กลับออกมาวิพากษ์วิจารณ์องค์กรที่เป็นกลไกหนึ่งของกระบวนการยุติธรรมจนยับเยินแทบไม่มีชิ้นดีเยี่ยงนี้ ไม่เกรงว่าประชาชนเขาจะสับสนกับบทบาทพวกท่านหรอกหรือ?
นำโดย บิ๊กป๊อด “พล.ต.อ.พัชรวาท” ที่สะท้อนแรงกระเพื่อมหนักกว่าใคร รีบส่งทนายฟ้อง 8 ป.ป.ช.เสียงข้างมากในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และโดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
ตามด้วยสองคู่หูหัวหมู่ทะลวงไส้ “พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน” รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ควงคู่ “พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง” รองผู้บัญชาการสอบสวนกลาง เปิดแถลงข่าวดิสเครดิตถึงการทำหน้าที่ของ ป.ป.ช.แถมย้อนกลับไปว่า หากมีกลุ่มผู้ชุมนุมมาชุมนุมปิดล้อมสถานที่ราชการ ปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลหรือไปปิดล้อม ป.ป.ช.เอง แล้วมีท่าทีจะก่อความวุ่นวาย ใช้รั้วลวดหนาม ใช้ยางรถยนต์ ใช้น้ำมันราดพื้น ใช้กุญแจไปปิดคล้องประตูสถานที่ราชการ ขู่ว่า “ฆ่ามัน ฆ่ามัน” ถามว่า ป.ป.ช.จะให้ตำรวจทำได้แค่ไหน
ท้าชนแทนนายจนนาทีสุดท้าย
จากนั้นได้เวลาสองคู่หูอดีต นรต.รุ่น 14 ที่เกษียณราชการไปนมนานกาเล แต่ไม่ยอมกลับบ้านไปเลี้ยงหลาน “พล.ต.อ.วิสุทธิ์ กิตติวัฒน์” นายกสมาคมตำรวจ และ “พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค” ประธานชมรมข้าราชการตำรวจนอกราชการ ควง “พล.ต.อ.วิรุฬ ฟื้นแสน” ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย ที่สวมหมวกนายกสมาคมโรงเรียนนายร้อยตำรวจ พร้อมอดีตข้าราชการตำรวจหลายรายสับ ป.ป.ช.เสียเละเทะ ราวกับว่าเป็นองค์กรเถื่อนที่ไม่มีกฎหมายรับรอง
“การพิจารณาของ ป.ป.ช.ไม่มีความเป็นกลาง เพราะก่อนจะมีการวินิจฉัย มีการระบุว่าการสลายการชุมนุมเป็นความผิด ทำให้เห็นได้ว่าเป็นอคติตั้งแต่แรกและสมาคมจะเข้าไปช่วยเหลือด้านกฎหมายกับผู้ที่ถูกกล่าวหา” นายกสมาคมตำรวจ กล่าวโจมตี
ส่วนคู่หู พล.ต.อ.สล้าง กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีจงใจกลั่นแกล้งตำรวจ ทำให้การชี้มูลเป็นไปอย่างไม่ยุติธรรม และขอความเห็นจากนายกรัฐมนตรี และ ป.ป.ช.ว่า การชุมนุมในวันที่ 19 กันยายนนี้จะให้ตำรวจปฏิบัติหน้าที่ดูแลกลุ่มคนเสื้อแดงอย่างไรจะไม่มีความผิด ส่วนการย้าย พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ เป็นการสนองผลประโยชน์ทางการเมืองของนายกรัฐมนตรี ที่จะเลือกตำรวจเข้าไปดูแลเรื่องการเลือกตั้งครั้งต่อไป
บิ๊กหล้างเล่นเอาเลยเอาเถิดไปถึงนายกรัฐมนตรี
อย่างไรก็ตาม หากย้อนเส้นทางความเคลื่อนไหวของเหล่า “นายตำรวจแก่” ไม่ยอมเกษียณเหล่านี้ พบว่า ก๊วนเขาเคยรวมตัวค้านปรับโครงสร้างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่หลายฝ่ายเห็นว่าโครงสร้างตำรวจสมัยรัฐบาลทักษิณให้อำนาจตำรวจจนล้นฟ้า ถึงกับมีคำกล่าวกันว่าเป็นการสร้างรัฐตำรวจโดยจำลองโมเดลมาจาก พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ เจ้าของวลีอมตะ “ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้” โดยให้ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร เป็นประธานคณะกรรมการพัฒนาระบบงานตำรวจ กระทั่ง พล.ต.อ.วสิษฐ ได้เสนอร่างกฎหมาย 2 ฉบับ ซึ่งมีการให้อำนาจ ผู้บัญชาการต่างๆมากขึ้น ถึงกับเสนอให้เป็นตำแหน่งอธิบดีตำรวจนครบาลและอธิบดีตำรวจภาค ในขณะเดียวกัน เสนอให้ลดอำนาจ ผบ.ตร.เพื่อทำหน้าที่ประสานงานและบังคับบัญชา นอกจากนั้นยังเสนอให้ยุบยศชั้นประทวนให้เหลือเพียงดาบตำรวจเพียงอย่างเดียวเพื่อให้การเลื่อนยศได้เร็วขึ้น รวมทั้งเสนอตั้งคณะกรรมการพิจารณาเรื่องราวร้องทุกข์เกี่ยวกับตำรวจซึ่งเป็นคณะกรรมการอิสระและทำงานเต็มเวลาเพราะต้องการให้การพิจารณาดำเนินการอย่างเป็นธรรมแท้จริง
แต่ถูกดาหน้าค้านจาก “นายตำรวจแก่” จนนายกฯขิงแก่ถอดใจ และการได้มาซึ่งร่างกฎหมาย 2 ฉบับนั้นทำให้รัฐบาลเสียงบไปเปล่าๆ ปลี้ๆ กว่า 30 ล้านบาท เพื่อแลกกับเศษกระดาษเปื้อนหมึกเท่านั้น
นอกจากนี้ พวกเขาเคยสุมหัวกันที่โรงแรมฟลอริด้า ถนนพญาไท โจมตีว่าฝ่ายการเมืองเข้าแทรกแซงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจ ขณะที่กระแสข่าวเด้ง พล.ต.อ.พัชรวาท เข้ากรุกำลังหนาหูและถี่ขึ้นเรื่อยๆ หลัง “บิ๊กป๊อด” ไม่สามารถควบคุมม็อบแดงป่วนชาติ ทั้งเหตุการณ์ล้มการประชุมสุดยอดอาเซียนที่โรงแรมรอยัล คลิฟบีช พัทยา ปิดล้อมจะเข้าทำร้ายนายกฯ ที่พัทยา และกระทรวงมหาดไทย และคดียิงถล่ม “นายสนธิ ลิ้มทองกุล”
อย่างไรก็ตาม เมื่อย้อนกลับไปพลิกดูประวัติของแต่ละคนแล้วก็ถึงบางอ้อ เข้าทำนองฝนตกขี้หมูไหล... คนอย่าง “พล.ต.อ.สล้าง” คือฆาตกรมือเปื้อนเลือดดีๆ นี่เอง เพราะเขาเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเข่นฆ่านิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 แถมยังก่อวีรเวรบุกสนามบินดอนเมือง ตบบ้องหู ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ผู้มีคุณูปการด้านเศรษศาสตร์กับประเทศไทยมากมายมหาศาล จนเส้นประสาทพิการ แถมพ่วงด้วยพัวพันคดีวิสามัญฆาตกรรม “โจ ด่านช้าง” และพวกรวม 6 ศพ นอกจากนี้ยังทำตัวเหนือกฎหมายระดมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกราชการ โดยอ้างว่ามีกำลังเรือนหมื่นพร้อมอาวุธครบมือ จะเข้าสลายกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ชุมนุมขับไล่รัฐบาลทรราชภายในทำเนียบรัฐบาล แต่ก็ไม่มีใครบ้าจี้ไปกับเขาด้วย
ส่วน “พล.ต.อ.วิสุทธิ์” ก็ไม่ธรรมดามีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับขั้วอำนาจเก่าเพราะ เคยส่งหนังสือเวียนขอความร่วมมือข้าราชการตำรวจและครอบครัวตำรวจทั่วประเทศ ให้ร่วมกันส่งไปรษณียบัตรให้กำลังใจ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ ที่ถูกมรสุมการเมืองรุมเร้าขณะนั้น โดยมีใจความว่า
“กระผมและคณะได้พิจารณาแล้วเห็นว่า จากผลงานการบริหารประเทศในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาของ ฯพณฯ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เป็นไปตามกรอบกติกาของกฏหมายรัฐธรรมนูญ จนสามารถนำไปสู่ความมั่นคงในเกือบทุกๆด้าน ทำให้ประเทศไทยมีศักดิ์ศรี ได้รับการยอมรับนับถือในประชาคมโลกเป็นอย่างมาก ในยามนี้ หากพวกเรายอมปล่อยให้ฯพณฯนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตำรวจ ที่มีแต่ความรัก ความปรารถนาดีและทุ่มเทเพื่อพัฒนาองค์กรและดูแลทุกข์สุขของข้าราชการตำรวจมาโดยตลอด ต้องต่อสู้กับเหตุการณ์ และอุปสรรคต่างๆ โดยพวกเราจะนิ่งเฉยเสีย อย่างนั้นหรือ”
อยากถามกลับไปว่าสมัยที่แม้วครองอำนาจ สร้างรัฐตำรวจมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองรับใช้อำนาจตัวเอง สั่งฆ่าตัดตอนผู้ค้ายาเสพติด 2 พันกว่าศพ พัวพันการสังหารหมู่ชาวมุสลิมที่หน้า สภ.ตากใบ และในมัสยิดกรือเซะ แถมล้วงลูกโผแต่งตั้งตำรวจ ให้วงศ์วานว่านเครือเพื่อนร่วมรุ่น ได้ดิบได้ดีข้ามหัวคนอื่นเป็นใหญ่เป็นโตเต็มกรมปทุมวัน ณ ห้วงช่วงเวลานั้น “พล.ต.อ.สล้าง พล.ต.อ.วิสุทธิ์ และชาวคณะ” มัวไปทำอะไรอยู่ในนาในไร่ และขอถามอีกว่า การปฏิบัติหน้าที่ของ ป.ป.ช.เป็นไปตามที่กฏหมายรัฐธรรมนูญกำหนดใช่หรือไม่ การที่พวกท่านเป็นถึงอดีตนายตำรวจระดับสูง กลับออกมาวิพากษ์วิจารณ์องค์กรที่เป็นกลไกหนึ่งของกระบวนการยุติธรรมจนยับเยินแทบไม่มีชิ้นดีเยี่ยงนี้ ไม่เกรงว่าประชาชนเขาจะสับสนกับบทบาทพวกท่านหรอกหรือ?
