“ยุติธรรม” รับเป็นเจ้าภาพยกร่างกฎหมายควบคุมธุรกิจบัตรเครดิต ล้อมกรอบแก๊งทวงหนี้โหด ขูดรีดดอกเบี้ย ขณะที่ ธปท.เตือนภัยแก๊งไต้หวันตั้งคอลเซ็นเตอร์โทรตุ๋นเงินเหยื่อข้ามชาติ
วันนี้ (29 ก.ค.) ที่ศูนย์ประชุมสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวเปิดการสัมมนาเพื่อรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจบัตรเครดิตว่า การใช้บัตรเครดิตทำให้เกิดการใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือย เพราะสร้างค่านิยมให้ผู้บริโภคใช้จ่ายเกินความจำเป็น เมื่อนำยอดหนี้คงค้างของลูกค้าบัตรเครดิตมารวมกัน จะพบว่ามียอดหนี้คงค้างสูงกว่าแสนล้านบาท ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือกฎหมายไม่สามารถควบคุมธุรกิจบัตรเครดิต ในส่วนของผู้บริโภคจะได้รับผลกระทบจากการเรียกเก็บดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม ค่าติดตามทวงหนี้ ซึ่งบางรายต้องเสียดอกเบี้ยสูงถึงร้อยละ 60 ต่อปี อย่างไรก็ตาม บัตรเครดิตไม่ใช่ธุรกิจของธนาคารที่ผ่านมาเราเข้าใจผิดกันมาโดยตลอดว่าบัตรเครดิตเป็นของธนาคารทำให้ไม่มีกฎหมายบังคับจริงจัง มีเพียงประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยควบคุมซึ่งโทษของฝ่าฝืนน้อยมาก แม้แต่แก๊งอาชญากรรมที่จารกรรมข้อมูลบัตรเครดิตไปทำปลอมก็ไม่มีบทลงโทษที่สาสม จึงอยากให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาช่วยกันเสนอความเห็นเพื่อนำร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจบัตรเครดิตเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรโดยเร็ว
“ก่อนหน้านี้เคยมีความพยายามผลักดันให้มีกฎหมายควบคุมบัตรเครดิตแต่ก็ถูกหน่วยราชการบางหน่วยคัดค้านแบบหัวชนฝา ทำให้เราไม่สามารถควบคุมผลกระทบที่เกิดจากการใช้บัตรเครดิตได้ นอกจากนี้การออกกฎหมายของไทยส่วนใหญ่จะยกร่างต่อเมื่อหน่วยบังคับใช้กฎหมายไม่มีอำนาจทำงาน แต่ไม่เคยคิดออกกฎหมายเพื่อแก้ปัญหาให้สังคม เช่น การออกกฎหมายข้อมูลข่าวสารทางราชการ ซึ่งเป็นช่องทางเพื่อให้เป็นช่องทางในการขอข้อมูลส่วนบุคคลที่หน่วยราชการเก็บไว้ได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ในภาวะที่ยังไม่มีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไป ทำให้มีการนำข้อมูลส่วนบุคคลจากการสมัครงานหรือสมัครบัตรเครดิตที่อยู่ในความรับผิดชอบของเอกชนไปขาย” นายพีระพันธุ์ กล่าว
ด้าน นายวีระชาติ ศรีบุญมา ผอ.สำนักคดีฝ่ายกฎหมายและคดี ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ขณะนี้มีปัญหาร้องเรียนเรื่องการทวงหนี้โหด ดอกเบี้ยแพง มากที่สุด โดยเฉพาะการข่มขู่ด้วยวาจา รวมทั้งการโทรศัพท์เปิดเผยข้อมูลไปยังผู้บริหารบริษัทที่ลูกหนี้ทำงานอยู่ นอกจากนี้ยังมีปัญหาการปลอมแปลงบัตรเครดิตโดยแอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากธนาคารพาณิชย์หลอกลวงประชาชนว่าถูกรางวัลและให้บอกหมายเลขบัตรเครดิตเพื่อโอนเงินให้ ซึ่งขบวนการฉ้อโกงเงินจากบัตรเครดิตจะตั้งศูนย์ดำเนินการในไต้หวัน มีคนไทยและคนจีนร่วมในขบวนการดังกล่าว ซึ่งสมาคมธนาคารไทยได้ประสานกับสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.) เข้าไปติดตามความเคลื่อนไหวของขบวนการจัดตั้งคอลเซ็นเตอร์ในต่างประเทศแล้วโทรศัพท์เข้ามาฉ้อโกงเงินบัตรเครดิตของคนไทย
นายวีระชาติกล่าวอีกว่า ธปท.ได้ประสานกับเทศกิจของ กทม.ให้เก็บใบปลิวโฆษณาบริการเงินด่วนที่มาติดตามตู้โทรศัพท์สาธารณะ และเสาไฟฟ้า ออกจากที่สาธารณะทั้งหมด นอกจากนี้ยังพบว่า มีการส่งเอสเอ็มเอสเชิญชวนให้ประชาชนสมัครบัตรเครดิต ซึ่งหากพบจะประสานให้ตัดการส่งสัญญาณทันที
จากสถิติยอดค้างบัตรเครดิตสิ้นเดือน ก.ย.2551 พบว่า มียอดหนี้ค้างชำระทั้งสิ้น 181,384 .38 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.3 โดยมีหนี้เอ็นพีแอล หรือหนี้ที่เคยปรับปรุงโครงสร้างหนี้รวมอยู่ด้วย ถือเป็นการใช้บัตรเครดิตโดยไม่มีมาตรฐานการกำกับการดูแลทางการเงินที่เหมาะสมโดยไม่จำเป็น จากการสำรวจยังพบว่าพนักงานธนาคาร และข้าราชการมีการใช้จ่ายบัตรเครดิตเฉลี่ยมากกว่า 1 ใบ เพราะเป็นอาชีพที่มีรายได้น้อย ซึ่งจะใช้บัตรเครดิตกดเงินสดผ่อนชำระสินค้า และจะใช้บัตรเครดิตอีกใบจ่ายยอดค้างชำระ