ความเป็นไปได้ต่ออายุ"ธานี"คุม คดี"สนธิ"

หลังมีกระแสข่าวว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี อาจจะมีการพิจารณา ต่ออายุให้กับ “บิ๊กล้าน” พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร.ดูแลคดีลอบยิง นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และ ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เอเอสทีวี-ผู้จัดการต่อไปอีก

โดยมีเหตุผลว่า หาก พล.ต.อ.ธานี ซึ่งกำลังจะเกษียณอายุราชการใน วันที่ 30 ก.ย.2552 หรืออีกกว่า 2 เดือนข้างหน้า แต่คดียังไม่เสร็จสิ้น ใครจะเข้ามารับผิดชอบทำคดีต่อไป และจะทำให้รูปคดีเสียหายไปหรือไม่ เพราะขาดความต่อเนื่องของผู้ที่รับผิดชอบ โดยเฉพาะคดีนี้นับว่าไม่ธรรมดา เชื่อมโยงกับคนใหญ่คนโตในบ้านเมือง รวมถึงคนมีสี ซึ่งที่ผ่านมาปรากฏว่ามีตำรวจที่ทำคดีถูกข่มขู่ ให้หยุดทำคดี ทำให้เสียขวัญกำลังใจในการทำงาน จึงเป็นเหตุให้คดีเดินหน้าไปได้อย่างเนินช้ากว่าที่ควรจะเป็น

เหตุผลอีกประการหนึ่งที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน นั่นคือ “บิ๊ก” ตำรวจที่ยังเหลืออยู่ หากไล่เรียงกันไปตั้งแต่ระดับใหญ่ไปหาเล็ก หรือเล็กไปหาใหญ่ จะพบว่าล้วนแล้วแต่เป็นคนของ “บิ๊กแม้ว” พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หรือคนคุ้นเคยด้วยกันทั้งสิ้น ส่วนที่เหลืออยู่แม้จะมีความสามารถแต่ถูก “สกัด” ไม่ให้มีโอกาสเข้ามาทำงาน

ซึ่งคนที่กล้าชนกับอิทธิพลมืดและความไม่ถูกต้องอย่าง พล.ต.อ.ธานี นับวันนี้หายากเต็มที หาก “นายพลไม้บรรทัด” ผู้นี้ต้องอำลาชีวิตราชการไปโดยปล่อยงานใหญ่ค้างคา ขณะที่ คนที่จะมารับช่วงต่อนั้นเป็นคนในระบอบทักษิณแล้วละก็ ย่อมจะทำให้เกิดความเคลือบแคลง และไม่มั่นใจ ในการทำคดีนี้ว่าจะเดินหน้าต่อไป จนสามารถลากคอ “ไอ้โม่ง” ผู้บงการมาลงโทษตามกระบวนการยุติธรรม

สำหรับแนวคิดนี้ ได้รับเสียงตอบรับ จากบรรดา ส.ว.หลายคน รวมถึงประชาชนที่มีห่วงใย นายสนธิ เพราะเกรงจะไม่ได้รับความเป็นธรรมในการทำคดี ซึ่งทุกคนต่างต้องการให้ พล.ต.อ.ธานี รับผิดชอบดูแลคดีต่อไป โดยบางคนคิดไปไกลถึงว่า ต่ออายุให้ พล.ต.อ.ธานี นั่งรักษาการ ผบ.ตร.ต่อไปอีกด้วย

อย่างไรก็ตามการจะต่ออายุราชการให้กับ พล.ต.อ.ธานี ได้หรือไม่นั้น จะต้องพิจารณาถึงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง อันได้แก่ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 ซึ่งจากการศึกษาพบว่ากฎหมายไม่ได้บัญญัติครอบคลุมถึงเรื่องการต่ออายุราชการให้กับข้าราชการตำรวจ ประกอบกับในอดีตที่ผ่านมา ไม่เคยมีตำรวจนายใดได้รับการต่ออายุราชการ แม้แต่สมัยที่ยังใช้ พ.ร.บ.ตำรวจฉบับเดิมอยู่ก็ตามที

เรื่องการต่ออายุราชการนี้ ในระบบราชการไทย มีเพียง ผู้พิพากษาและพนักอัยการ ซึ่งรัฐธรรมนูญมาตรา 306 บัญญัติให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ผู้พิพากษาอาวุโส และอัยการอาวุโส จนถึงอายุ 70 ปี ในส่วนของข้าราชการพลเรือนสามัญตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ได้บัญญัติให้สามารถต่ออายุราชการให้กับข้าราชการได้ แต่เป็นกรณีของข้าราชการพลเรือนสามัญ ประเภทวิชาการ ระดับเชี่ยวชาญ และผู้ทรงคุณวุฒิ ประเภททั่วไป ระดับอาวุโส และระดับทักษะพิเศษ อย่างไรก็ตามหากรัฐบาลมีความจริงใจ ควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาว่าการจะเทียบเคียงมาใช้กับตำรวจ หรือการใช้อำนาจของนายกรัฐมนตรี จะสามารถทำได้หรือไม่เพียงใด

แม้กฎหมายของตำรวจไม่เปิดช่องให้มีการต่ออายุราชการได้ แต่กระนั้นใช่ว่าจะเป็นการปิดประตูตายสำหรับ พล.ต.อ.ธานี เสียทีเดียว เพราะสำนักงานตำรวจแห่งชาติอาจจะดำเนินการจ้าง พล.ต.อ.ธานี เป็นที่ปรึกษาพิเศษด้านการสอบสวน ตามระเบียบกระทรวงการคลังในการจัดจ้างข้าราชการที่เกษียณอายุราชการ ซึ่งหากเป็นกรณีนี้ พล.ต.อ.ธานี จะมีสถานะเป็นเพียงลูกจ้างของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยได้รับอัตราเงินเดือนเท่าเดิม แต่ไม่มีอำนาจสอบสวนคดีอาญา หรือสั่งการใดๆ

ส่วนเรื่อง การตั้ง พล.ต.อ.ธานี รักษาการราชการแทน ผบ.ตร.นั้น หากกรณีที่ พล.ต.อ.พัชรวาท มีอันต้องกระเด็นตกเก้าอี้อันเป็นเพราะกรรมเก่า จากเหตุการณ์ 7 ตุลาเลือด จนถูก ป.ป.ช.ชี้มูล ว่ามีความผิด หากกรณีเป็นที่ว่า จึงมีความเป็นไปได้สูงที่ พล.ต.อ.ธานี จะก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่ง ในฐานะรักษาราชการแทน ผบ.ตร. เพื่อเดินหน้าลุยคดีนายสนธิ ได้อย่าเต็มตัว โดยไร้คนมาปัดแข้งปัดขา เหมือนที่ผ่านมา แม้จะเหลือเวลาเพียง 2 เดือนกว่า แต่เชื่อว่าคดีจะเดินหน้าไปไม่มากก็น้อย ขณะเดียวกันยังจะถือโอกาสนี้เตรียมส่งไม้ต่อให้กับ ผบ.ตร.คนต่อไป ได้ด้วย

แต่หากเหตุการณ์ไม่เป็นอย่างที่กล่าวมาข้างต้น ก็ต้องฝากความหวังทั้งหมดทั้งมวลในการทำคดีนี้ไว้กับว่าที่ ผบ.ตร.คนต่อไป ในการที่จะวางคนเข้ามารับผิดชอบสืบทอดงานต่อจาก พล.ต.อ.ธานี จะต้องเป็นบุคคลที่มีความสามารถ ได้รับการยอมรับเรื่องความเป็นกลาง และที่สำคัญต้องไม่ใช่คนในของ “ทักษิณ” ซึ่งเป็นปฏิปักษ์กับผู้เสียหายในคดีนี้ นั่นคือ นายสนธิ ผู้ซึ่งโค่นล้มและยืนอยู่ตรงข้ามกับระบอบทักษิณมาโดยตลอด

หากลองส่องกล้องมองสำนักงานตำรวจแห่งชาติในขณะนี้แคนดิเดต ผบ.ตร.คนต่อไป ซึ่งจะเป็นการขับเคี่ยวระหว่าง “บิ๊กทีป” พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ จเรตำรวจแห่งชาติ (นรต.25) และ “บิ๊กจุ๋ม” พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย รองผบ.ตร.(นรต.26) เพื่อนซี้ร่วมรุ่นของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเคยถูกโยกให้นั่งเก้าอี้ ผอ.สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ในสมัยรัฐบาลทักษิณ 1

โดยรายแรกแม้จะมีภาษีดีกว่า ในเรื่องความรู้ความสามารถด้านการบริหาร การได้รับการยอมรับจากฝ่ายการเมือง แม้แต่กองทัพ แต่จะประมาทฝ่ายหลังไม่ได้ เพราะนอกจากมีดีกรีมีเพื่อนเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีแล้ว แต่มีกำลังภายในที่สูงอย่างยากที่จะหาตัวจับ ขณะเดียวกันยังมี พล.ต.อ.พัชรวาท เป็นผู้คอยผลักดันอย่างเต็มตัว ด้วยหวังว่าหาก พล.ต.อ.จุมพล เข้าวิน จะช่วยดึง เพื่อนซี้คนคุ้นเคยอย่าง “บิ๊กเรือง”พล.ต.ท.บุญเรือง ผลพาณิชย์ ผู้ช่วยผบ.ตร.ได้ติดยศ “พล.ต.อ.”สมใจ

ว่ากันว่ามือทำคดีที่ได้รับการยอมรับเรื่องฝีมือหากจะว่ากันแล้วในยามนี้ น่าจะมีเพียง พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต ที่ปรึกษา(สบ 10) และ พล.ต.ท.เอก อังสนานนท์ ผู้ช่วยผบ.ตร. ที่จะมีความเหมาะสมที่สุด ซึ่งแว่วว่าหาก พล.ต.อ.ปทีป ก้าวขึ้นมาเป็นผบ.ตร.อาจจะมีการโยก พล.ต.อ.ปานศิริ สไลด์มานั่งรองผบ.ตร.ตำแหน่งหลัก ที่ว่างลงถึง 3 ตำแหน่ง

แต่หากเป็นอีกคนแล้วล่ะก็ ที่นั่งรองผบ.ตร.ดังกล่าวอาจจะถูกเตรียมไว้ให้กับ พล.ต.ท.บุญเรือง ตามสัญญาใจที่ให้ไว้กับ พล.ต.อ.พัชรวาท ขณะเดียวกันอีกเหตุผลสำคัญ คือ หากจะให้ พล.ต.อ.ปานศิริ มานั่งในตำแหน่งหลัก จะเป็นก้างชิ้นโตที่จะขัดขวาง พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ รองผบ.ตร. ผู้ซึ่ง พล.ต.อ.พัชรวาท หมายมั่นปั้นมือจะให้เป็น ผบ.ตร.ต่อจาก พล.ต.อ.จุมพล เพราะพล.ต.อ.ปานศิริ นั้นครองยศ พล.ต.อ.นานกว่า พล.ต.อ.วัชรพล ซึ่งเมื่อจัดเรียงลำดับอาวุโสแล้วฝ่ายหลังจะได้เปรียบ

จริงๆ แล้วใครก็ตามล้วนแล้วแต่สามารถก้าวขึ้นเป็น ผบ.ตร.ได้ หากคนผู้นั้นมีความเป็นข้าราชตำรวจอย่างเต็มตัว มีจิตใจเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ อย่างเต็มเปี่ยม ซึ่งการสางคดีลอบสังหารนายสนธิ จึงเป็นเรื่องที่ผู้นำองค์กรตำรวจจะต้องให้ความสำคัญ นั่นเพราะคดีลอบสังหารนายสนธินั้น ไม่ใช่คดีอาชญากรรมปกติธรรมดา เหมือนอย่างที่ พล.ต.อ.พัชรวาท เคยพูดไว้ในการประชุมเมื่อวันที่ 17 เม.ย.ที่ผ่านมา

ที่ว่าไม่ธรรมดานั่นเพราะว่าคดีนี้คนที่ถูกลอบสังหารนั้นเป็นแกนนำของคนนับแสนนับล้าน ในการลุกขึ้นปลดแอกจากรัฐบาลทุจริตคอร์รัปชั่นขณะที่คนลงมือลอบสังหารแม้จะเป็นเพียงไพร่ราบทหารเลว ที่ทำกันเป็นขบวนการ แต่คนที่บงการนั้นเชื่อได้ว่าไม่ธรรมดา เชื่อมโยงถึงผู้มีอำนาจในบ้านเมือง คนมีสี

ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิด เปรียบเหมือนเป็นการตบหน้ารัฐบาล รวมถึงตำรวจ โดยที่หัวหน้ารัฐบาลอย่างนายกฯอภิสิทธิ์ และพล.ต.อ.พัชรวาท จะรู้สึกได้หรือไม่ก็ตาม เพราะกระทำการกันอย่างโจ่งแจ้ง อุกอาจ ราวกับว่าบ้านนี้เมืองนี้ไม่มีกฎหมาย ไม่มีตำรวจ แต่การที่จะเรียกศรัทธาคืนมาได้นั้น มีทางเดียวก็คือ จะต้องฉีกหน้ากากจอมบงการ และลากคอมันมาลงโทษตามกระบินทร์เมืองให้ได้ ...นั่นคือคำตอบสุดท้าย