ปลัดยุติธรรมยังไม่ให้เจาะรู-ยกตู้คอนเทนเนอร์เพื่อตรวจสภาพภายใน แต่จะสำรวจเพียงกายภาพใต้น้ำบริเวณที่ตู้จมอยู่ หวั่นมีสารพิษรั่วไหล กำชับเก็บตัวอย่างน้ำทะเลก่อนลงสำรวจ “หมอพรทิพย์” ให้ญาติวีรชนพฤษภาทมิฬเข้าให้ข้อมูลบุคคลสูญหาย
วันนี้ (19 พ.ค.) ที่กระทรวงยุติธรรม นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมกำหนดแนวทางการตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์ที่จมอยู่ใต้ทะเลช่องแสมสาร อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี โดยมีผู้แทนจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กรมศุลกากร กรมควบคุมมลพิษ กรมศิลปากร กองทัพเรือ นายธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการด้านการประมงจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และบริษัทเอกชน 2 แห่ง เข้าร่วมหารือ
นายกิตติพงษ์กล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลยังไม่ตั้งคณะกรรมการชุดพิเศษขึ้นมาดูแลการตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์ จึงต้องอาศัยอำนาจสืบสวนของดีเอสไอเข้าไปดำเนินการ เพื่อไม่ให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยในทุกประเด็น โดยการตรวจสอบจะไม่ตัดประเด็นใดทิ้ง ไม่ว่าจะเป็นสารพิษ วัตถุระเบิด หรือผู้สูญหายจากเหตุการณ์ต่างๆทั้งแรงงานข้ามชาติหรือเหตุพฤษภาทมิฬ
เบื้องต้นจะยังไม่มีการยกตู้คอนเทนเนอร์ หรือเจาะรูเพื่อสำรวจสภาพภายใน แต่จะสำรวจเพียงสภาพกายภาพใต้น้ำบริเวณที่ตู้คอนเทนเนอร์จมอยู่ และจะตรวจสอบว่ามีตู้คอนเทนเนอร์ใต้น้ำในจุดอื่นอีกหรือไม่ เพื่อให้มีข้อมูลเปรียบเทียบ นอกจากนี้จะเก็บตัวอย่างน้ำทะเลรอบตู้คอนเทนเนอร์มาให้กรมควบคุมมลพิษตรวจสอบ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อทีมงานตรวจพิสูจน์
ด้าน พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบสภาพภายนอกของตู้คอนเทนเนอร์พบว่า ตู้ดังกล่าวมีขนาด 20 ฟุต จมอยู่ในทรายทำมุม 25 องศา มีหอย เพรียง และปะการัง เกาะอยู่โดยรอบ การพิสูจน์ทราบอายุของตู้คอนเทนเนอร์จะวิเคราะห์จากอายุของปะการังและหอย
ส่วนกรณีที่อาจเป็นสารพิษ วัตถุระเบิด หรือกัมมันตภาพรังสีนั้น ในประเทศไทยยังไม่มีเครื่องมือตรวจสอบ จึงจำเป็นต้องหารือกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อรวบรวมข้อมูลที่เป็นส่วนประกอบทั้งหมดที่จะเชื่อมโยงถึงบริษัทที่เป็นเจ้าของตู้คอนเทนเนอร์ หลังจากนี้จะสรุปหน่วยงานเชี่ยวชาญในแต่ละด้านเพื่อเชิญเข้าร่วมเป็นคณะทำงาน เพื่อกำหนดแผนการทำงานก่อนลงสำรวจใต้น้ำอีกครั้ง เพราะการตรวจสอบแต่ละครั้งต้องใช้งบประมาณค่าน้ำมันเรือถึง 500,000 บาท และต้องเช่าอุปกรณ์ทุ่นลอยจากภาคเอกชนในราคาชั่วโมงละ 20,000 บาท
อย่างไรก็ตาม ขอให้ญาติผู้สูญหายจากเหตุพฤษภาทมิฬนำข้อมูลและภาพถ่ายของผู้สูญหายมาให้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เพื่อนำไปใช้ในการค้นหาผู้สูญหายต่อไป ส่วนกะโหลกศีรษะที่พบจะทำการปั้นใบหน้าและสร้างภาพเชิงซ้อนและเก็บข้อมูลไว้ในฐานข้อมูลบุคคลสูญหาย
พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ รองอธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า จากข้อมูลทั้งหมดที่ดีเอสไอประมวลจากหลักสืบสวนสอบสวนในเชิงคดี ยังไม่พบความสัมพันธ์ระหว่างโครงกระดูกที่พบกับตู้คอนเทนเนอร์ จึงอยากให้คณะทำงานคำนึงถึงประเด็นดังกล่าวเพื่อลดความกดดันและขอให้มีการวางแผนการทำงานที่รอบเพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน
ผู้แทนกรมศุลกากร กล่าวว่า ตามปกติหน่วยงานราชการจะเก็บข้อมูลย้อนหลังเพียง 5 ปีเท่านั้น อีกทั้งไม่มีการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการเคลมประกันจากบริษัทประกันภัยในกรณีที่ตู้คอนเทนเนอร์ตกหายกลางทะเล ที่พ้นอำนาจรับผิดชอบของกรมศุลกากรไปแล้ว จึงค่อนข้างเป็นเรื่องยากที่จะตรวจพิสูจน์ย้อนหลังไปกว่า 20 ปี ทั้งนี้ ขอให้ผู้แทนการท่าเรือแห่งประเทศไทย และกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี การท่าเรือฯ เข้าร่วมการตรวจสอบเพื่อให้มีข้อมูลย้อนหลังเกี่ยวกับเส้นทางการเดินเรือ อย่างไรก็ตาม สำหรับจุดที่พบตู้คอนเทนเนอร์ใกล้แนวท่อก๊าซตามโครงการอีสเทิร์นซีบอร์ด ซึ่ง ปตท.ดำเนินโครงการตั้งแต่ปี 2540 จึงอยากให้สอบถามไปยัง ปตท.ว่ามีอุบัติเหตุตู้คอนเทนเนอร์ตกน้ำหรือไม่
วันนี้ (19 พ.ค.) ที่กระทรวงยุติธรรม นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมกำหนดแนวทางการตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์ที่จมอยู่ใต้ทะเลช่องแสมสาร อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี โดยมีผู้แทนจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กรมศุลกากร กรมควบคุมมลพิษ กรมศิลปากร กองทัพเรือ นายธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการด้านการประมงจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และบริษัทเอกชน 2 แห่ง เข้าร่วมหารือ
นายกิตติพงษ์กล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลยังไม่ตั้งคณะกรรมการชุดพิเศษขึ้นมาดูแลการตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์ จึงต้องอาศัยอำนาจสืบสวนของดีเอสไอเข้าไปดำเนินการ เพื่อไม่ให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยในทุกประเด็น โดยการตรวจสอบจะไม่ตัดประเด็นใดทิ้ง ไม่ว่าจะเป็นสารพิษ วัตถุระเบิด หรือผู้สูญหายจากเหตุการณ์ต่างๆทั้งแรงงานข้ามชาติหรือเหตุพฤษภาทมิฬ
เบื้องต้นจะยังไม่มีการยกตู้คอนเทนเนอร์ หรือเจาะรูเพื่อสำรวจสภาพภายใน แต่จะสำรวจเพียงสภาพกายภาพใต้น้ำบริเวณที่ตู้คอนเทนเนอร์จมอยู่ และจะตรวจสอบว่ามีตู้คอนเทนเนอร์ใต้น้ำในจุดอื่นอีกหรือไม่ เพื่อให้มีข้อมูลเปรียบเทียบ นอกจากนี้จะเก็บตัวอย่างน้ำทะเลรอบตู้คอนเทนเนอร์มาให้กรมควบคุมมลพิษตรวจสอบ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อทีมงานตรวจพิสูจน์
ด้าน พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบสภาพภายนอกของตู้คอนเทนเนอร์พบว่า ตู้ดังกล่าวมีขนาด 20 ฟุต จมอยู่ในทรายทำมุม 25 องศา มีหอย เพรียง และปะการัง เกาะอยู่โดยรอบ การพิสูจน์ทราบอายุของตู้คอนเทนเนอร์จะวิเคราะห์จากอายุของปะการังและหอย
ส่วนกรณีที่อาจเป็นสารพิษ วัตถุระเบิด หรือกัมมันตภาพรังสีนั้น ในประเทศไทยยังไม่มีเครื่องมือตรวจสอบ จึงจำเป็นต้องหารือกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อรวบรวมข้อมูลที่เป็นส่วนประกอบทั้งหมดที่จะเชื่อมโยงถึงบริษัทที่เป็นเจ้าของตู้คอนเทนเนอร์ หลังจากนี้จะสรุปหน่วยงานเชี่ยวชาญในแต่ละด้านเพื่อเชิญเข้าร่วมเป็นคณะทำงาน เพื่อกำหนดแผนการทำงานก่อนลงสำรวจใต้น้ำอีกครั้ง เพราะการตรวจสอบแต่ละครั้งต้องใช้งบประมาณค่าน้ำมันเรือถึง 500,000 บาท และต้องเช่าอุปกรณ์ทุ่นลอยจากภาคเอกชนในราคาชั่วโมงละ 20,000 บาท
อย่างไรก็ตาม ขอให้ญาติผู้สูญหายจากเหตุพฤษภาทมิฬนำข้อมูลและภาพถ่ายของผู้สูญหายมาให้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เพื่อนำไปใช้ในการค้นหาผู้สูญหายต่อไป ส่วนกะโหลกศีรษะที่พบจะทำการปั้นใบหน้าและสร้างภาพเชิงซ้อนและเก็บข้อมูลไว้ในฐานข้อมูลบุคคลสูญหาย
พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ รองอธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า จากข้อมูลทั้งหมดที่ดีเอสไอประมวลจากหลักสืบสวนสอบสวนในเชิงคดี ยังไม่พบความสัมพันธ์ระหว่างโครงกระดูกที่พบกับตู้คอนเทนเนอร์ จึงอยากให้คณะทำงานคำนึงถึงประเด็นดังกล่าวเพื่อลดความกดดันและขอให้มีการวางแผนการทำงานที่รอบเพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน
ผู้แทนกรมศุลกากร กล่าวว่า ตามปกติหน่วยงานราชการจะเก็บข้อมูลย้อนหลังเพียง 5 ปีเท่านั้น อีกทั้งไม่มีการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการเคลมประกันจากบริษัทประกันภัยในกรณีที่ตู้คอนเทนเนอร์ตกหายกลางทะเล ที่พ้นอำนาจรับผิดชอบของกรมศุลกากรไปแล้ว จึงค่อนข้างเป็นเรื่องยากที่จะตรวจพิสูจน์ย้อนหลังไปกว่า 20 ปี ทั้งนี้ ขอให้ผู้แทนการท่าเรือแห่งประเทศไทย และกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี การท่าเรือฯ เข้าร่วมการตรวจสอบเพื่อให้มีข้อมูลย้อนหลังเกี่ยวกับเส้นทางการเดินเรือ อย่างไรก็ตาม สำหรับจุดที่พบตู้คอนเทนเนอร์ใกล้แนวท่อก๊าซตามโครงการอีสเทิร์นซีบอร์ด ซึ่ง ปตท.ดำเนินโครงการตั้งแต่ปี 2540 จึงอยากให้สอบถามไปยัง ปตท.ว่ามีอุบัติเหตุตู้คอนเทนเนอร์ตกน้ำหรือไม่
