ศาลฎีกาแผนกเลือกตั้ง มีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิ "นพดล พลซื่อ" ส.ส.ร้อยเอ็ด เขต 3 พรรคเพื่อแผ่นดิน เป็นเวลา 5 ปี พร้อมให้จัดเลือกตั้งใหม่ กรณีแจกเงินและขนคนฟังปราศรัย ด้านเจ้าตัว บอกถูกเพิกถอนสิทธิไม่ส่งผลกระทบไปถึงการยุบพรรค-ไม่ทำให้รัฐบาลสั่นคลอน
วันนี้(20 มี.ค.) ที่ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง สนามหลวง ศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง นายนพดล พลซื่อ ส.ส.ร้อยเอ็ด เขต 3 พรรคเพื่อแผ่นดิน และรองเลขาธิการพรรค เป็นเวลา 5 ปี และให้มีการจัดการเลือกตั้ง ส.ส.ร้อยเอ็ด เขต 3 ใหม่ 1 ตำแหน่ง ตามที่คณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) ยื่นคำร้อง คดีนี้ กกต.ผู้ร้อง ยื่นคำร้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2550 มีการประกาศพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง พ.ศ.2550 ในวันที่ 23 ธันวาคม นายนพดล และนายกิตติพงษ์ พรหมช่วยอนันต์ ผู้คัดค้านที่ 1-2 เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง กับส.ส.ร้อยเอ็ด เขต 3 สังกัดพรรคเพื่อแผ่นดิน ผลปรากฎว่าผู้คัดค้านที่ 1 ได้รับการเลือกตั้ง และผู้ร้องได้ประกาศรับรองให้เป็น ส.ส.
ต่อมา นายนิรันดร์ นาเมืองรักษ์ ผู้สมัคร ส.ส.ร้อยเอ็ด เขต 3 พรรคพลังประชาชน ร้องคัดค้านการเลือกตั้งว่าการเลือกตั้งไม่สุจริต ผู้ร้องสืบสวนแล้วพบประเด็นใหม่ว่า ผู้คัดค้านทั้งสองร่วมกับ นายเอกภาพ พลซื่อ ซึ่งเป็นผู้แทนหรือหัวคะแนน ใช้รถกระบะรับประชาชนไปฟังการปราศรัยที่บ้านของนายเอกภาพ วันที่ 20 และ 28 ตุลาคม 2551 ภายหลังเสร็จสิ้นการปราศรัยแล้วมีการให้เงินกับเจ้าของรถและผู้ฟังปราศรัย อันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และการมา ซึ่ง ส.ว. พ.ศ. 2550 ให้ทรัพย์สิน จูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้ลงคะแนนให้กับตนเอง ทำให้การเลือกตั้งไม่สุจริต ซึ่งมีความผิดตามรัฐธรรมนูญ 2550 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง
ผู้คัดค้านทั้งสองยื่นค้านอ้างว่า ผู้ร้องไม่มีอำนาจร้อง การตั้งกรรมการสืบสวนสอบสวนใหม่ ไม่ชอบด้วย พ.ร.บ.ว่าด้วย กกต. ผู้คัดค้านไม่มีพฤติการณ์เป็นผู้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจชักจูงประชาชนให้มาฟังการปราศรัย และไม่มีการจ่ายเงิน
ศาลพิเคราะห์แล้วฝ่ายผู้ร้องมีชาวบ้านใน จ.ร้อยเอ็ด หลายปากเป็นพยานเบิกความสอดคล้องกันว่า มีผู้แทนชักจูงให้เจ้าของรถนำประชาชนในหมู่บ้านต่างๆ ไปฟังการปราศรัยที่บ้านของนายเอกภาพ ซึ่งนายเอกภาพได้ขึ้นเวทีปราศรัยและแนะนำผู้คัดค้านที่ 1 ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลาน และผู้คัดค้านที่ 2 ในการลงสมัครรับเลือกตั้ง หลังเสร็จสิ้นการปราศรัย นายเอกภาพ ยังได้พูดคุยและจ่ายเงินให้ค่ารถ และค่าฟังให้กับพยาน เห็นว่าพยานหลายปากเบิกความสอดคล้องต้องกันในสาระสำคัญตั้งแต่ ตัวแทนนายเอกภาพ ชักชวนไปฟังปราศรัย เหตุการณ์ ขณะปราศรัยและหลังปราศรัยเสร็จสิ้น อีกทั้งยังให้การหลังเกิดเหตุไม่นาน ยังไม่น่าจะถูกชักจูง อีกทั้งพยานเป็นเพียงชาวบ้าน ไม่มีเหตุโกรธเคืองที่จะต้องปรักปรำผู้คัดค้านซึ่งเป็นถึงผู้สมัคร ส.ส. เชื่อว่าให้การไปตามความจริงที่ได้พบ แม้ภายหลังพยานบางปากจะกลับคำให้การและเข้าให้การใหม่ต่อพนักงานสอบสวน สภ.เมืองร้อยเอ็ด และเป็นเวลานานหลังเกิดเหตุนานเกือบ 1 ปี เชื่อว่าคำให้การพยานชั้น กกต.เป็นจริงยิ่งกว่าภายหลัง ที่ผู้คัดค้านนำพยานหลักฐานมาหักล้าง ยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟัง
มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าการกระทำของผู้คัดค้านทั้งสอง เป็นผู้ก่อ รู้เห็นเป็นใจหรือสนับสนุนให้มีการเลือกตั้งไม่สุจริตหรือไม่ เห็นว่า การเลือกตั้ง ส.ส. จะต้องมีทีมงานตระเตรียมการด้านต่างๆ โดยการปราศรัยจัดขึ้นที่บ้านของนายเอกภาพ ซึ่งเป็นอดีต ส.ส.หลายสมัย เป็นผู้ปราศรัยช่วยเหลือเปิดตัว ผู้คัดค้านที่ 1 ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลาน และผู้คัดค้านที่ 2 ซึ่งเป็นนักการเมืองใหม่ ให้ประชาชนรู้จัก โดยขอให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้การสนับสนุนผู้คัดค้านทั้งสองเพื่อปูทางสู่การเป็น ส.ส. เห็นว่า ผู้คัดค้านทั้งสองเป็นผู้ก่อ รู้เห็นเป็นใจหรือสนับสนุน พาประชาชนไปฟังปราศรัย และจ่ายเงินจูงใจให้ผู้มีสิทธิลงคะแนนให้แก่ตนเอง ทำให้การเลือกตั้งไม่สุจริต จึงมีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธเลือกตั้งดังกล่าวเป็นเวลา 5 ปี
ภายหลังนายนพดล กล่าวว่า การถูกเพิกถอนสิทธิคงไม่ส่งผลกระทบไปถึงการยุบพรรค และไม่ทำให้รัฐบาลสั่นคลอน ส่วนตัวยังคิดไม่ออกว่าจะกลับไปรับราชการเหมือนเดิมได้หรือไม่ หรือจะอยู่เบื้อองหลังการเมือง อย่างไรก็ตามในการเลือกตั้งครั้งใหม่ขอให้ประชาชนให้การสนับสนุนตระกูลพลซื่อต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 3 ก.ค. 51 คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ได้มีการพิจารณาสำนวนคำร้องคัดค้านการเลือกตั้ง โดยมีมติให้ส่งเรื่องให้ศาลฎีกาเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งนายนพดล พลซื่อ ส.ส.ร้อยเอ็ด เขต 3 พรรคเพื่อแผ่นดิน และนายกิตติพงษ์ พรหมชัยนันท์ ผู้สมัครจากพรรคเพื่อแผ่นดิน เนื่องจากมีการทำผิดกฎหมายเลือกตั้งมาตรา 53 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และ ส.ว. กรณีขนคนไปฟังการปราศรัยหาเสียงเลือกตั้ง และให้เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ตามมาตรา 236 (5) (6) ของรัฐธรรมนูญ 2550 และมาตรา 10 (10) (12) ของ พ.ร.บ. ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้งและความผิดตามมาตรา 11 ของ พ.ร.บ.การเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มา ซึ่ง ส.ว. พร้อมทั้งให้นายนพดลชดใช้เงินและค่าเสียหายในการจัดการเลือกตั้งใหม่ ตามมาตรา 113 ของ พ.ร.บ.การเลือกตั้ง และให้ดำเนินคดีอาญาแก่นายนพดลและนายกิตติพงษ์ รวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้อง