“บิ๊กเบื๊อก” สั่งกำลังตำรวจ 8 กองร้อยประจำจุดต่างๆ รอบรัฐสภา ทั้งภายในและภายนอก ในวันประชุมสภาวิสามัญเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรี หวั่นคนเสื้อแดงชุมนุมล้อมรัฐสภาขวางการเลือกนายกฯ ขณะที่การชุมนุมของ นปช.ที่สนามศุภฯ เสาร์นี้ สั่งตั้งจุดตรวจระเบิด 3 ชั้นซ้อน
วันนี้ (12 ธ.ค.) ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น.เรียกประชุมนายตำรวจที่เกี่ยวข้องผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์รายงานตรงถึงพล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รรท.ผบ.ตร. เพื่อร่วมประเมินสถานการณ์และเตรียมความพร้อม รับมือกลุ่มผู้ชุมนุมแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ที่นัดรวมพลมารายการความจริงวันนี้สัญจรที่สนามศุภชลาศัยวันพรุ่งนี้ (13 ธ.ค.) รวมทั้งวันเปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีในวันที่ 15 ธันวาคมนี้ด้วย
พล.ต.ท.สุชาติ กล่าวว่า ในวันที่ 15 ธ.ค.นี้ ตำรวจได้มีการเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจไว้พร้อมดูแลสถานการณ์จำนวน 8 กองร้อย 1,200 นายโดยปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่วันที่ 13 ธันวาคม เป็นต้นไปดูแลความเรียบร้อยบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า ถนนอู่ทองใน และถนนราชดำเนินนอก และใช้กำลังตำรวจจำนวน 2 กองร้อย 300 นายดูแลอาคารรัฐสภาและพื้นที่ชั้นใน
ผบช.น.กล่าวว่า หากการชุมนุมยืดเยื้อและมีเหตุการณ์รุนแรงจะประสานขอกำลังสนับสนุนจากกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1, 2, 7 และกองทัพเข้ามาเสริมการปฏิบัติในทันที พร้อมกันนี้ได้เน้นย้ำการปฏิบัติว่าต้องใช้ความละมุนละม่อมกับผู้ชุมนุมมากที่สุดและเพื่อให้เกิดความเรียบร้อยตำรวจจะใช้วิธีการปฏิบัติกับผู้ชุมนุมมลำดับขั้นตอนเบาไปหาหนักเพื่อมิให้เกิดเหตุความรุนแรงเหมือนเช่นเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา
“หากผู้ชุมนุมอยู่ข้างนอกปราศจากอาวุธ ไม่ทำลายสิ่งกีดขวางสถานที่ราชการตำรวจก็พอยอมรับได้ แต่หากทำผิดกฎหมายก็ต้องดำเนินการกันไป ทุกอย่างขึ้นอยู่กะบความถูกต้องเหมาะสม ตรงนี้ไม่ต้องห่วง เพราะตำรวจได้รับบทเรียนจากทฤษฎีที่เป็นจริง คงไม่ใช่เรื่องในตำราอย่างเดียว คงดูแลทุกอย่างให้เกิดความเรียบร้อยได้ไม่ต้องสูญเสียเลือดเนื้อ แต่ความอดทนก็ขึ้นอยู่ 2 ส่วน คือ เร็วและเรียบร้อย ซึ่งเราต้องเอาความเร็วและเรียบร้อยมาใส่ตาชั่ง ว่ายังไงจะเหมาะจะควร โดยครั้งวันที่ 7 ตุลาคม เราเร็วแต่ไม่เรียบร้อย แต่ครั้งที่ 2 ไม่ถึงกับช้าแต่ก็เรียบร้อย ซึ่งเป็นไปได้จะเลือกวิธีที่ 2 มากกว่า” ผบช.น.กล่าว
พล.ต.ท.สุชาติ ยังกล่าวถึงการดูแลความสงบเรียบร้อยรักษาความปลอดภัยการชุมนุมกลุ่มเสื้อแดงวันที่ 13 ธันวาคม ภายในสนามศุภชลาศัย ซึ่งมีการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผ่านรายการความจริงวันนี้ว่า จัดกำลังตำรวจจำนวน 23 กองร้อย 3,450 นาย แบ่งเป็นการปฏิบัติ 2 ส่วนดูแลความสงบเรียบร้อยรักษาความปลอดภัยบริเวณด้านในและด้านนอกรวมถึงประตูทางเข้า-ออกทุกจุด รวมถึงบริเวณสี่แยกปทุมวัน ถนนพระราม 4 มีการตั้งจุดตรวจจุดสกัดตรวจค้นรถยนต์ต้องสงสัย ตรวจค้นการพกพาอาวุธปืนอาวุธสงคราม บุคคลต้องสงสัยป้องกันเหตุความรุนแรงและมือที่ 3 เข้าแทรกแซงสถานการณ์ อีกทั้งพื้นที่สนามศุภชลาศัยเป็นพื้นที่กว้างสามารถจุคนได้กว่า 40,000 คนจึงต้องคุมเข้มเป็นพิเศษ
ผบช.น.กล่าวด้วยว่า ตำรวจนครบาลเตรียมมาตรการรองรับการปฏิบัติไว้แล้วหากมีเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นสามารถรองรับการปฏิบัติได้ทันที พร้อมประสานกำลังเสริมจากหน่วยสนับสนุนเข้าควบคุมสถานการณ์ได้ อย่างไรก็ตามอยากฝากเตือนผู้ชุมนุมให้ปฏิบัติตามกรอบกติกากฎหมายบ้านเมืองอย่างเคร่งครัดด้วย หากพบผู้กระทำความผิดตำรวจจะดำเนินการตามกฎหมายทันที
“ที่ผมเป็นห่วงคือที่สนามศุภฯ มากกว่า เพราะหากมีการชุมนุมกันมากๆ และหากมีบุคคลไม่หวังดี สร้างสถานการณ์ขึ้นมา เช่น เหตุระเบิด จะป้องกันกันอย่างไรแต่ส่วนอื่นๆ ที่คนพวกเดียวกัน ใส่เสื้อสีเดียวกันมารวมกันคงไม่มีปัญหา ห่วงก็เรื่องมือที่ 3 และเกรงการปิดกั้นขัดขวางการชุมนุมของรัฐสภา ซึ่งมาตรการก็คงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากเบาขึ้นไป หากพูดไม่รู้เรื่องก็คงต้องใช้น้ำ เรื่องที่จะประชุมเปิดสภาก็มีบทเรียนให้เห็นหลายๆ อย่าง แม้แต่ศาลเองก็เปลี่ยนสถานที่อ่านคำพิพากษา หากการเมืองจะเอาแบบนั้นเพื่อให้เกิดความเรียบร้อยและสำเร็จก็สามารถทำได้ แต่ผมคงบอกให้ทำคงไม่ได้ เพราะท่านเป็นผู้ใหญ่มีความรู้ ความสามารถมากกว่าผมเยอะแยะ” พล.ต.ท.สุชาติ กล่าว
ส่วนการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้น ผบช.น.ระบุว่า สามารถทำได้ทุกคนมีสิทธิในการสื่อสาร แต่ทำแล้วผิดกฎหมายหรือไม่อย่างไร มันเป็นหน้าที่ของเราอยู่แล้ว ในการบันทึกทั้งถ่ายภาพนิ่ง บันทึกเสียง ความเคลื่อนไหวทั้งหมดไม่เกี่ยวกับโฟนอินอย่างเดียว ในเว็บไซต์ไหน เราก็ต้องติดตามและมีคณะกรรมการดูว่ามีอะไรผิด หรือหมิ่นอย่างไร หากผิดตาม ป.วิอาญา มาตรา 112 ก็ต้องดำเนินการโดยเร่งด่วน แต่หากเป็นคนธรรมดามาแจ้งความก็ต้องเอามาเป็นหลักฐานในการดำเนินคดีเช่นกัน