“สมัคร สุนทรเวช” เดินทางฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ โดยไม่มีกองเชียร์มาให้กำลังใจแม้แต่คนเดียว ขณะที่ “สามารถ” ยอมรับเคยมีผู้ใหญ่ในบ้านเมือง พยายามเจรจาให้ตนยอมความ แต่ก็ได้ปฎิเสธไป พร้อมยืนยันจะต่อสู้คดีให้ถึงที่สุด
วันนี้ (25 ก.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศจากศาลอาญากรุงเทพใต้ ก่อนศาลอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในคดีที่ นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี และนายดุสิต ศิริวรรณ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ขณะที่ทั้งสองเป็นผู้ดำเนินรายการ “สมัคร-ดุสิต คิดตามวัน” ทางสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ทีวี และรายการ “เช้าวันนี้ที่ช่อง 5” สถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 เมื่อปี 2549 เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา กรณีระหว่างวันที่ 12-19 มกราคม 2549 ได้มีการกล่าวพาดพิงนายสามารถ ในการล็อกสเปกผู้รับเหมาโครงการประมูลของกรุงเทพมหานคร 10 โครงการ
โดยเมื่อเวลา 08.30 น.นายสมัคร สุนทรเวช จำเลยได้เดินทางมาถึงศาล ด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย และไม่ยอมให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่มารอทำข่าวอยู่บริเวณด้านหน้า เป็นจำนวนมาก จากนั้นนายสมัคร ได้เดินแหวกสื่อเข้าไปภายในศาล และหันมายิ้ม เมื่อเห็นช่างภาพลื่นล้ม ขณะทำการถ่ายภาพ โดยศาลได้จัดห้องพิจารณาคดี 301 ซึ่งเป็นห้องพิจารณาคดีขนาดใหญ่ ไว้รองรับ ประชาชนที่คาดว่าจะเดินทางมาร่วมฟังคำพิพากษาจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตุวา จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่เห็นกลุ่มบุคคลที่ให้กำลังใจนายสมัคร เดินทางมาศาล เหมือนกับตอนที่ นายสมัคร ยังเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่
ด้าน นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ โจทก์ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษาในวันนี้ด้วย พร้อมกับเปิดเผยว่าคดีนี้ ตนได้ใช้สิทธิตามกระบวนการยุติธรรม ในการปกป้องสิทธิของตนเอง และเชื่อมั่นว่า จะได้รับความเป็นธรรม แม้ก่อนหน้านี้ จะมีผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ซึ่งไม่สามารถเปิดเผยชื่อได้ พยายามเข้ามาติดต่อ ขอให้ตนเจรจาไกล่เกลี่ยยอมความกันนายสมัคร แต่ตนก็ปฎิเสธไปและยืนยันว่าจะต่อสู้คดีให้ถึงที่สุด
นายสามารถ กล่าวต่อว่า นอกจากได้ฟ้องร้องเรื่องหมิ่นประมาทในคดีนี้แล้ว ตนยังได้ฟ้องเรียกค่าเสียหาย ฐานละเมิดต่อนายสมัคร และนายดุสิต ต่อศาลแพ่ง ถนนรัชดาฯ โดยเรียกทุนทรัพย์จากการละเมิดคนละ 100 ล้านบาท ซึ่งศาลแพ่งให้หยุดกระบวนการพิจารณาไว้ชั่วคราว เพื่อรอฟังผลคำพิพากษาในคดีอาญา คดีนี้ก่อน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีนี้ศาลอาญากรุงเทพใต้ มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 12 เม.ย.50 เห็นว่า การกระทำของนายสมัคร และนายดุสิต เป็นการเสนอข่าวให้ประชาชนเชื่อว่าการก่อสร้างของกรุงเทพมหานครมีเงื่อนงำ ทุจริต ซึ่งเป็นการหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ให้ได้รับความเสียหาย ซึ่งนายสมัครจำเลยที่ 1 ได้เคยกระทำผิดฐานหมิ่นประมาทมาแล้วหลายครั้งโดยศาลปรานีให้รอการลงโทษไว้เพื่อให้ปรับตัวเป็นคนดี แต่จำเลยที่ 1 กลับกระทำผิดซ้ำในความผิดเดิมอีก จึงพิพากษาให้จำคุกจำเลยทั้งสอง 4 กระทงๆ ละ 6 เดือน รวมจำคุกคนละ 2 ปีโดยไม่รอลงอาญา
และหากปรากฏว่าคดีนี้ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นแล้ว จำเลยยังมีสิทธิ์ยื่นฎีกาได้ในปัญหาข้อกฎหมาย แต่ประเด็นข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น จำเลยต้องขออนุญาตฎีกาโดยให้ผู้พิพากษาหรืออัยการสูงสุดลงนามรับรอง
สำหรับผลคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จะเสนอให้ทราบต่อไป
วันนี้ (25 ก.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศจากศาลอาญากรุงเทพใต้ ก่อนศาลอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในคดีที่ นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี และนายดุสิต ศิริวรรณ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ขณะที่ทั้งสองเป็นผู้ดำเนินรายการ “สมัคร-ดุสิต คิดตามวัน” ทางสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ทีวี และรายการ “เช้าวันนี้ที่ช่อง 5” สถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 เมื่อปี 2549 เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา กรณีระหว่างวันที่ 12-19 มกราคม 2549 ได้มีการกล่าวพาดพิงนายสามารถ ในการล็อกสเปกผู้รับเหมาโครงการประมูลของกรุงเทพมหานคร 10 โครงการ
โดยเมื่อเวลา 08.30 น.นายสมัคร สุนทรเวช จำเลยได้เดินทางมาถึงศาล ด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย และไม่ยอมให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่มารอทำข่าวอยู่บริเวณด้านหน้า เป็นจำนวนมาก จากนั้นนายสมัคร ได้เดินแหวกสื่อเข้าไปภายในศาล และหันมายิ้ม เมื่อเห็นช่างภาพลื่นล้ม ขณะทำการถ่ายภาพ โดยศาลได้จัดห้องพิจารณาคดี 301 ซึ่งเป็นห้องพิจารณาคดีขนาดใหญ่ ไว้รองรับ ประชาชนที่คาดว่าจะเดินทางมาร่วมฟังคำพิพากษาจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตุวา จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่เห็นกลุ่มบุคคลที่ให้กำลังใจนายสมัคร เดินทางมาศาล เหมือนกับตอนที่ นายสมัคร ยังเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่
ด้าน นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ โจทก์ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษาในวันนี้ด้วย พร้อมกับเปิดเผยว่าคดีนี้ ตนได้ใช้สิทธิตามกระบวนการยุติธรรม ในการปกป้องสิทธิของตนเอง และเชื่อมั่นว่า จะได้รับความเป็นธรรม แม้ก่อนหน้านี้ จะมีผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ซึ่งไม่สามารถเปิดเผยชื่อได้ พยายามเข้ามาติดต่อ ขอให้ตนเจรจาไกล่เกลี่ยยอมความกันนายสมัคร แต่ตนก็ปฎิเสธไปและยืนยันว่าจะต่อสู้คดีให้ถึงที่สุด
นายสามารถ กล่าวต่อว่า นอกจากได้ฟ้องร้องเรื่องหมิ่นประมาทในคดีนี้แล้ว ตนยังได้ฟ้องเรียกค่าเสียหาย ฐานละเมิดต่อนายสมัคร และนายดุสิต ต่อศาลแพ่ง ถนนรัชดาฯ โดยเรียกทุนทรัพย์จากการละเมิดคนละ 100 ล้านบาท ซึ่งศาลแพ่งให้หยุดกระบวนการพิจารณาไว้ชั่วคราว เพื่อรอฟังผลคำพิพากษาในคดีอาญา คดีนี้ก่อน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีนี้ศาลอาญากรุงเทพใต้ มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 12 เม.ย.50 เห็นว่า การกระทำของนายสมัคร และนายดุสิต เป็นการเสนอข่าวให้ประชาชนเชื่อว่าการก่อสร้างของกรุงเทพมหานครมีเงื่อนงำ ทุจริต ซึ่งเป็นการหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ให้ได้รับความเสียหาย ซึ่งนายสมัครจำเลยที่ 1 ได้เคยกระทำผิดฐานหมิ่นประมาทมาแล้วหลายครั้งโดยศาลปรานีให้รอการลงโทษไว้เพื่อให้ปรับตัวเป็นคนดี แต่จำเลยที่ 1 กลับกระทำผิดซ้ำในความผิดเดิมอีก จึงพิพากษาให้จำคุกจำเลยทั้งสอง 4 กระทงๆ ละ 6 เดือน รวมจำคุกคนละ 2 ปีโดยไม่รอลงอาญา
และหากปรากฏว่าคดีนี้ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นแล้ว จำเลยยังมีสิทธิ์ยื่นฎีกาได้ในปัญหาข้อกฎหมาย แต่ประเด็นข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น จำเลยต้องขออนุญาตฎีกาโดยให้ผู้พิพากษาหรืออัยการสูงสุดลงนามรับรอง
สำหรับผลคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จะเสนอให้ทราบต่อไป
