ตำรวจจัดกำลัง 7 กองร้อย หรือ 1,050 นาย ผนึกกำลังทหาร 4 กองร้อย สกัดกั้น 2 ม็อบปะทะตามจุดต่าง ๆ และหนุนกำลังเตรียมพร้อมในที่ตั้งพร้อมปฏิบัติการทันทีหากเกิดภาวะฉุกเฉิน ลั่นจะยึดด้ามธง-ไม้กอล์ฟทันทีถ้าทั้งสองฝ่าย นปช.-พันธมิตรฯ นำติดตัวออกนอกพื้นที่ชุมนุม ขณะที่ "จงรัก" บอก 2 แผนสกัดม็อบเน้นใช้โล่ป้องกันตัว หากรุนแรงจำเป็นต้องใช้แก๊สน้ำตา-กระบอง อ้างกลัวมีคนตายซ้ำสอง
วันนี้ (19 ก.ย.) ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล เมื่อเวลา 10.00 น. พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร. รักษาราชการแทน ผบช.น. พล.ต.ต.สุชาติ เหมือนแก้ว รอง ผบช.น. พร้อม นายตำรวจระดับรอง ผบช.น. ผบก.น.1-9 ร่วมประชุมประเมินสถานการณ์เตรียมความพร้อมรับมือการชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ที่ท้องสนามหลวง พร้อมวางแนวทางการดูแลความเรียบร้อยกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ทำเนียบรัฐบาล รวมถึงการสกัดกั้นการปะทะกันทั้งสองฝ่าย หากมีการเคลื่อนขบวนการชุมนุม รวมถึงการตรวจค้นอาวุธทุกชนิด
พล.ต.ต.สุชาติ กล่าวว่า ในส่วนนี้จะใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวน 7 กองร้อย หรือ 1,050 นาย ร่วมกับทหาร อีก 4 กองร้อย วางแนวสกัดตามจุด และมีกำลังสนับสนุนเตรียมพร้อม ณ ที่ตั้งอีกจำนวนหนึ่ง หากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินสามารถปฏิบัติการได้ทันที
พล.ต.ต.สุชาติ ยังกล่าวถึงการตรวจค้นอาวุธกลุ่มผู้ชุมนุมทั้งสองกลุ่มว่า ในส่วนนี้คงต้องตรวจสอบก่อนว่าสิ่งที่ใช้นั้นเป็นอาวุธหรือไม่ เช่น ด้ามธง หรือไม้กอล์ฟ หากออกนอกพื้นที่การชุมนุม และเจ้าหน้าที่ตรวจพบก็จะขอตรวจยึดไว้ก่อน ส่วนการจะเข้าเจรจากับแกนนำนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจในฐานะเจ้าพนักงานไม่สามารถทำได้ เนื่องจากขณะนี้แกนนำทั้งหมดมีหมายจับอยู่แล้ว หากอยู่ตรงหน้าจำเป็นต้องจับกุม อีกทั้งหากแกนนำเคลื่อขบวนออกมาตำรวจในฐานะเจ้าพนักงานก็จำเป็นต้องดำเนินการจับกุม
ส่วนกรณีที่ นายสุชาติ นาคบางไทร ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. และอดีตแกนนำกลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ ที่จะเข้าหาเสียงภายในทำเนียบรัฐบาลนั้น พล.ต.ต.สุชาติ กล่าวว่า ในฐานะผู้สมัครก็สามารถทำได้ และเจ้าตัวเองคงเข้าใจสถานการณ์ขณะนี้ดี หากเห็นว่าไม่ปลอดภัยก็คงไม่เข้าไปหาเสียงอย่างแน่นนอน
ในวันเดียวกัน พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รองผบ.ตร. รักษาการผบช.น. กล่าวถึงการดูแลการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช.ว่า ตำรวจจะใช้มาตรการป้องกันการปะทะของกลุ่มผู้ชุมนุม 2 ฝ่ายอย่างเข้มงวดมากขึ้นป้องกันมิให้เกิดเหตุซ้ำรอยจนมีผู้เสียชีวิต โดยมี 2 ขั้นตอนปฏิบัติคือ การป้องกันโดยใช้โล่เพียงอย่างเดียว แต่ถ้าหากเอาไม่อยู่ ก็จะใช้ขั้นตอน 2 คืออุปกรณ์ปราบจลาจลครบมือ มีทั้งกระบองและแก๊สน้ำตา ป้องกันมิให้กลุ่มผู้ชุมนุมปะทะกัน ที่ผ่านมาเมื่อมีการเคลื่อนตัวปะทะกัน ตำรวจไม่สามารถป้องกันหรือสกัดผู้ชุมนุมได้เพราะใช้โล่เพียงอย่างเดียว ขณะที่ผู้ชุมนุมมีอาวุธหลายชนิดทั้ง ไม้หน้าสาม หนังสติ๊ก ด้ามธงปลายแหลม รวมทั้งไม้กอล์ฟ มีดดาบ ฯ
“ อยากขอร้องพี่น้องประชาชนให้เห็นใจตำรวจด้วย หากไม่มีอุปกรณ์ปราบจลาจลก็ไม่สามารถระงับป้องกันเหตุรุนแรงได้ บางช่วงเวลามีความจำเป็นต้องใช้เพื่อมิให้มีใครต้องตายอีก แต่อย่างไรก็ตามหากกลุ่มผู้ชุมนุมต่างฝ่ายต่างชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธในสถานที่ของตนเอง ไม่มีการเคลื่อนไหวตัวมาปะทะกัน ตำรวจก็คงใช้โล่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ใช้เครื่องมืออย่างอื่น และจะใช้ความนุ่มนวลเป็นหลัก โดยจะไม่ใช้ความรุนแรงเป็นอันขาด แม้จะถูกยั่วยุจากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดก็ตาม “ พล.ต.อ.จงรัก กล่าว
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองผบช.ก.ในฐานะรองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงสถานการณ์การชุมนุมว่า การดูแลกลุ่มผู้ชุมนุมขณะนี้มีคณะกรรมการติดตามสถานการณ์ร่วมซึ่งมีพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.เป็นประธาน ก็ได้มีการประชุมการือถึงแนวทางต่างๆ สิ่งที่ต้องป้องกันคือเรื่องการประทบประทั่งของกลุ่มผู้ชุมนุมทั้งสองกลุ่มทั้งกลุ่มพันธมิตรและกลุ่มที่คัดค้านการชุมนุมของพันธมิตร วันนี้กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ(นปช.) มีการตั้งเวทีชุมนุมที่สนามหลวงซึ่งถ้ามาชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธก็เป็นสิทธิที่จะทำได้ ตำรวจต้องป้องกันไม่ให้เคลื่อนที่หรือแสดงอาการยั่วยุไปที่ทำเนียบ หรือถ้ามีการเคลื่อนย้ายก็ต้องมีการตรวจสอบอาวุธ หรือสิ่งที่สามารถใช้เป็นอาวุธได้ ไม่ว่าจะเป็นไม้เบสบอล หนังสติ๊ก ด้ามธง ท่อนเหล็ก เป็นต้น ไม่ให้ติดตัวระหว่างที่มีการเคลื่อนที่
พล.ต.ต.สุรพล กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้วางแนวสกัดกั้นไว้ 3 ชั้นหากมีการเคลื่อนที่ของกลุ่มผู้ชุมนุมเพื่อไม่ให้เกิดการปะทะกัน แนวที่ 1 บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ จุดนี้เจ้าหน้าที่ประมาณ 2 กองร้อย ไม่มีอาวุธ ไม่มีโลห์ เป็นจุดเจรจา โดยมีพล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผบช.น.เป็นผู้รับผิดชอบเจรจา แนวที่ 2 เป็นจุดหน้ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นแนวสกัดกั้น มีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจประมาณ 2 กองร้อยพร้อมโลห์ แนวที่ 3 เป็นจุดหน้ากองบัญชาการกองทัพบก เป็นจุดควบคุมขั้นเด็ดขาดไม่ให้กลุ่มผู้ชุมนุมมาปะทะกันได้ จุดนี้มีกำลำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ 5 ร้อย ร่วมกับกำละงทหารอีก 5 กองร้อย พร้อมอุปกรณ์ปราบจราจลเต็มจำนวน รถดับเพลิง ลวดหนาม สกัดไม่ให้กลุ่มผู้ชุมนุมเข้าปะทะกันโดยเด็ดขาด ส่วนจำนวนของกลุ่มนปช.ที่ประเมินไว้นั้นคงมีจำนวนประมาณเท่าเดิมกับครั้งที่ผ่านมา
พล.ต.ต.สุรพล กล่าวว่า จากการข่าวของตำรวจและจากการพูดคุยคาดว่าจะสามารถคุบกับกลุ่มผู้ชุมนุมไม่ให้มีการเคลื่อนที่ได้ แต่เพื่อความไม่ประมาทก็ได้มีการเตรียมพร้อมไว้ทั้ง 3 แนวไม่ให้มีการปะทะกันได้อย่างเด็ดขาด ซึ่งถ้ามีเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจเกิดการปะทะกับกลุ่มผู้ชุมนุมระหว่างที่ทำการสกัดกั้นประชาชนก็ต้องเข้าใจว่าที่ตำรวจทำไปเพื่อไม่ให้เกิดการปะทะ ให้เกิดความรุนแรงขึ้น จนทำให้การแก้ไขสถานการณ์ได้ยากขึ้นตำรวจทำเพราะไม่ให้คนไทยด้วยกันต่อสู้ทำร้ายกัน แกนนำของทั้งสองฝ่ายคงเข้าใจในความหวังดีของตำรวจ เชื่อว่ากำลังที่เตรียมไว้มากพอเหมาะสมที่จะสกัดกั้นได้ นอกจากนั้นเรายังเตรียมกำลังสำรองไว้เพื่อให้สามารถเคลื่อนกำลังได้ภายใน 10 นาที เพื่อไปสกัดกั้นกลุ่มผู้ชุมนุมหากให้เส้นทางอื่นในการเคลื่อนที่ และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดแต่เชื่อว่าแกนนำทั้งสองฝ่ายจะเข้าใจและไม่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายขึ้น
รองโฆษกตร.กล่าวยังกล่าวถึงการติดตามดูความเคลื่อนไหวของแกนนำพันธมิตรว่า ไม่ได้จัดเป็นชุดเฉพาะกิจคอยเฝ้าดู แต่มีการจัดเจ้าหน้าที่ตำรวจเฝ้ามองแกนนำที่ออกมานอกทำเนียบรัฐบาล เป็นแผนงานของคณะกรรมการติดตามสถานการณ์ร่วมอยู่แล้ว เพื่อที่จะแก้ปัญหาในทุกส่วน ไม่ได้มุ่งที่จะทำอย่างใดอย่างหนึ่งต้องทำทุกๆส่วนไปพร้อมกัน
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.ท.ธีระเดช รอดโพธิ์ทอง ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล(ผบช.ส.) กล่าวถึงการประเมินสถานการณ์ของกลุ่มผู้ชุมนุมว่า เชื่อมั่นว่าจะเกิดเหตุอะไรรุนแรงเพราะได้ให้ทางตำรวจสันติบาลเข้าไปพูดคุยกับทางแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ ขอให้ชุมนุมกันอยู่ที่ท้องสนามหลวงอย่าเคลื่อนขบวนไปไหน ซึ่งทางแกนนำก็ตกลงจะอภิปรายบนเวทีจนถึง 4 ทุ่มก็จะแยกย้ายกันกลับ ไม่เคลื่อนตัวไปไหน อีกอย่างทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้สั่งเลิกเตรียมพร้อมหน่วยปกติ เหลือแต่หน่วยปฏิบัติการทางผู้บังคับบัญชาระดับสูงก็ประเมินแล้วว่าเหตุการณ์จะทรงไม่รุก จึงเชื่อมั่นได้ว่าจะไม่มีอะไรรุนแรง ส่วนจะมีเหตุการณ์อะไรมาแทรกเล็กๆน้อยๆนั้นยังไม่ทราบต้องประเมินสถานการณ์ดูตลอด