ศาลอุทธรณ์เพิ่มโทษรอลงอาญาเพิ่มอีก 1 ปี น.ต.ประสงค์ สุ่นสิริ-อดีต บก.แนวหน้า เขียนบทความวิจารณ์ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก คดีซุกหุ้น 1
วันนี้ (9 ก.ย.) เมื่อเวลา 09.30 น. ที่ห้องพิจารณาคดี 905 ศาลอาญา ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 โจทก์, นายกระมล ทองธรรมชาติ, นายผัน จันทรปาน, นายศักดิ์ เตชาชาญ, นายปรีชา เฉลิมวณิชย์, นายอนันต์ เกตุวงศ์, นายสุจินดา ยงสุนทร และนายจุมพล ณ สงขลา เป็นโจทก์ร่วมที่ 1-7 ซึ่งเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญฝ่ายเสียงข้างมาก ยื่นฟ้อง น.ต.ประสงค์ สุ่นสิริ อดีตคอลัมน์นิสต์หนังสือพิมพ์แนวหน้า จำเลยที่ 1, นายจีระพงศ์ เต็มเปี่ยม บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นสพ.แนวหน้า ที่ 2, บริษัท หนังสือพิมพ์แนวหน้า จำกัด ที่ 3, นางผานิต พูนศิริวงศ์ ที่ 4 และนายวารินทร์ พูนศิริวงศ์ ที่ 5 ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจในบริษัท ในความผิดร่วมกันฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณาด้วยเอกสาร, ร่วมกันดูหมิ่นศาลหรือผู้พิพากษาในการพิจารณาพิพากษาคดี
ฟ้องโจทก์เมื่อวันที่ 16 ส.ค.45 ระบุความผิดจำเลยสรุปว่า เมื่อวันที่ 28 ส.ค. 44 เวลากลางวันกลางคืนต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งห้า ร่วมกันดูหมิ่นและหมิ่นประมาทใส่ความผู้เสียหายซึ่งเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก 8 ต่อ 7 เสียงที่วินิจฉัยชี้ขาดคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขณะดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบว่าไม่มีความผิดตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 295 โดยการลงโฆษณาพิมพ์บทความใน นสพ.แนวหน้า ฉบับลงวันที่ 28 ส.ค.44 หน้า 3 คอลัมน์ของจำเลยที่ 1 มีการลงบทความวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งข้อความดังกล่าวทำให้โจทก์ร่วมทั้งเจ็ดได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง
ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 2 ธ.ค.47 พิพากษาจำคุก จำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐาน ร่วมกันดูหมิ่นศาลหรือผู้พิพากษาในการพิจารณาพิพากษาคดี เป็นเวลา 1 ปี ปรับ 7,000 บาท แต่โทษจำคุกให้รอการลงโทษเป็นเวลา 1 ปี ส่วนจำเลยที่ 3-5 ให้ยกฟ้อง ต่อมาโจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ประชุมปรึกษาหารือแล้วเห็นว่า ตามที่จำเลยที่ 1-2 ยื่นอุทธรณ์ว่า จำเลยไม่ได้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 198 เพราะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไม่ใช่ผู้พิพากษาตามเจตนารมณ์นั้น ศาลอุทธรณ์เห็นว่า แม้ที่มาของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะมีความแตกต่างในการสรรหาแต่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ทำหน้าที่ชี้ขาดในคดีของศาลรัฐธรรมนูญ และมีผลผูกพันศาลยุติธรรมจึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมิใช่ผู้พิพากษา ดังนั้นจึงถือว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้พิพากษาตามเจตนารมณ์ มาตรา 198 อุทธรณ์ข้อแรกของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ว่ามิได้กระทำการหมิ่นประมาทเห็นว่าจำเลยร่วมกันเสนอบทความซึ่งมีถ้อยคำที่ถือว่าเป็นการกล่าวหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมากให้ได้รับความเสียหายเสื่อมเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นเกลียดชัง และเผยแพร่ทางเอกสารจึงครบองค์ประกอบความผิดฐานหมิ่นประมาทแล้ว ข้ออ้างว่าจำเลยติชมด้วยความเป็นธรรมเห็นว่า บทความดังกล่าว ระบุถ้อยคำกล่าวหาตุลาการเสียงข้างมาก ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการตัดสินช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง คดีมีโทษจำคุกสูงสุดไม่เกิน 10 ปี การกล่าวหาของจำเลยจึงเป็นการกล่าวหาเกินกว่าติชมด้วยความเป็นธรรม หรือโดยสุจริต ที่จะเข้าข้อยกเว้นไม่ถือเป็นความผิด
พิพากษาว่า จำเลยทั้ง 2 ทำความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ในการดูหมิ่นผู้พิพากษา และหมิ่นประมาท จึงให้ลงโทษบทหนักฐานร่วมกันดูหมิ่นผู้พิพากษา โดยกำหนดโทษจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 1 ปี และปรับ 7,000 บาท ตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษามาชอบแล้ว แต่กรณีที่ศาลให้รอการลงโทษจำเลยคนละ1 ปี เห็นว่าจำเลยยังประกอบอาชีพสื่อมวลชนอยู่ จึงควรปรามไม่ให้กระทำซ้ำอีก จึงให้เพิ่มระยะเวลารอการลงโทษจากเดิม 1 ปี เป็น 2 ปี