ข้าราชการสำนักนายกฯ ยื่นฟ้องขับไล่พันธมิตรขอศาลคุ้มครองชั่วคราวออกจากทำเนียบทำเนียบ ทนายพันธมิตรฯ ยื่นคัดค้านขอส่งศาล รธน.ตีความอำนาจคุ้มครองชั่วคราวขัดสิทธิในการชุมนุม
วันนี้ (27 ส.ค.) เมื่อเวลา 13.30 น. ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก ข้าราชการสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โดยนายลอยเลื่อน บุนนาค รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี มอบอำนาจให้ นายเมธี ใจสมุทร ทนายความ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายสมศักดิ์ โกศัยสุข นายพิภพ ธงไชย นายสุริยะใส กตะศิลา และนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-6 ฐานละเมิด และฟ้องขับไล่ ทั้งนี้โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราว และคำร้องขอไต่สวนฉุกเฉินรวมทั้งสิ้น 3 ฉบับ
คำฟ้องบรรยายว่า สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดิน มีที่ทำการอยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล ถนนพิษณุโลก เขตดุสิต กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 26 ส.ค.51 พวกจำเลยเรียกตนเองว่า กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งเดิมได้ทำการปิดถนนราชดำเนินที่สะพานมัฆวานฯ ตั้งเวทีเรียกร้องขับไล่ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ให้ออกจากตำแหน่งหน้าที่จนกว่าคณะรัฐมนตรีจะพ้นจากตำแหน่ง หรือเปลี่ยนแปลงรัฐบาล จากนั้นได้ย้ายการชุมนุมมาที่ทำเนียบรัฐบาล ปิดทางเข้าทางออกทุกด้าน จนนายกรัฐมนตรีและข้าราชการไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ตามปกติ
ต่อมากลุ่มพันธมิตรฯ ได้บุกเข้าไปในทำเนียบรัฐบาล แล้วกระจายกำลังกันบุกสถานีโทรทัศน์ NBT สำกัดกรมประชาสัมพันธ์ โดยใช้กำลังประทุษร้ายโดยมีอาวุธ โดยร่วมกันกระทำความผิดในเวลากลางคืน จนต้องหยุดถ่ายทอดข่าวตามปกติ แล้วเข้าทำการปิดกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรฯ กระคมนาคม และกรมประชาสัมพันธ์ เป็นการยั่วยุให้เกิดความปั่นป่วนในหม่าประชาชน แม้ว่ากลุ่มพันธมิตรฯ จะอ้างใช้สิทธิการชุมนุมตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 63 ก็ตาม แต่การกระทำดังกล่าว เป็นการไม่สุจริต ทำให้โจทก์ และข้าราชการในสังกัดของโจทก์ไม่สามารถเข้าปฏิบัติหน้าที่ได้ รวมทั้งประชาชนทั่วไปไม่สามารถประกอบกิจวัตรประจำวัน
การกระทำดังกล่าวทำให้ เสื่อมสิทธิเสื่อมความสะดวก คณะรัฐมนตรี ต้องย้ายไปทำงานที่อื่น ทำให้เสียเวลา เสียค่าใช้จ่าย จึงขอให้ศาลมีคำสั่งให้พวกจำเลย รื้อถอนเวทีปราศรัย และสิ่งกีดขวางอื่นๆ ออกจากทำเนียบรัฐบาล และเปิดถนนพิษณุโลก ถนนราชดำเนินทุกช่องการจราจร
สำหรับคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราว และคำร้องขอไต่สวนฉุกเฉินมีใจความสอดคล้องกันว่า พวกโจทก์ได้รับความเดือดร้อน จากการปิดถนน และบุกรุกเข้าไปในทำเนียบรัฐบาล เพื่อขับไล่รัฐบาล ซึ่งไม่ใช่การชุมนุมสาธารณะ และทำให้ข้าราชการทำเนียบรัฐบาลไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ และในวันที่ 27 ส.ค.51 เวลา 11.30 น. พวกจำเลยที่ 1-6 กับพวกได้เข้าประทุษร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ดูแลรักษาความปลอดภัยในทำเนียบรัฐบาลจนได้รับบาดเจ็บ นอกจากนี้ในวันที่ 30 ส.ค.50 ทำเนียบรัฐบาลมีกำหนดการสำคัญ ในงาน “จากวันแม่ถึงวันพ่อ 116 วัน สร้างสามัคคี ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล” การกระทำดังกล่าวมีผลกระทบสิทธิหน้าที่ และทรัพย์สินของบุคคลอื่น จึงมีเหตุฉุกเฉิน ให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว และไต่สวนฉุกเฉิน
นายศุภชัย ใจสมุทร รองเลขาธิการพรรคพลังประชาชน กล่าวว่า ได้รับมอบหมายให้มาฟ้องกลุ่มพันธมิตรฐานละเมิดและฟ้องขับไล่ โดยฟ้อง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง กับพวกรวม 9 คน พร้อมกับร้องขอคุ้มครองชั่วคราว กับร้องขอไต่สวนฉุกเฉิน ที่มาฟ้องเพราะเห็นว่า ทำเนียบรัฐบาลเป็นที่ตั้งของอำนาจฝ่ายบริหาร ที่ต้องบริหารบ้านเมืองและรับแขกต่างประเทศ มีทรัพย์สินเอกสารสำคัญมีค่า กลุ่มพันธมิตรบุกเข้ามา ไม่อาจจะอ้างว่าเป็นการชุมนุมโดยสงบตามรัฐธรรมนูญได้ เพราะการกระทำครั้งนี้มีผลกระทบต่อประชาชน รัฐบาลยืนยันว่าจะไม่ใช้ความรุนแรง แต่ขอใช้สิทธิทางศาล เพราะศาลเป็นที่พึ่งสุดท้าย โดยทีมทนายความเตรียมนำพยานเข้าสืบประกอบด้วย พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ นายพงษ์ศักดิ์ ศิริวงศ์ ผอ.สำนักสถานที่และรักษาความปลอดภัยทำเนียบรัฐบาล นายสมาน เลิศวงศ์รัฐ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โดยมีหลักฐานเป็นภาพถ่าย วิซีดี บันทึกภาพการชุมนุม และแผนผังการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ พร้อมทั้งกำหนดการเสด็จพระราชดำเนิน สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร
ต่อมา นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความจำเลยที่ 1-6 ได้ยื่นคำร้องคัดค้านคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวของโจทก์ โดยนายสุวัตร เปิดเผยว่า ในวันนี้ยื่นคำร้องคัดค้านขอให้ศาลแพ่ง ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ว่าการนำ ประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 254 เรื่องการคุ้มครองชั่วคราว มาบังคับขับไล่ให้ผู้ชุมนุมออกจากทำเนียบรัฐบาล ขัดแย้งกับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 63 เรื่องสิทธิในการชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธหรือไม่ เนื่องจากการเข้าไปชุมนุมในทำเนียบรัฐบาล แม้จะเป็นสถานที่ราชการ แต่กลุ่มผู้ชุมนุมก็ไม่ได้บุกเข้าไปภายในอาคาร สำนักงานของทำเนียบรัฐบาล เพียงแต่นั่งชุมนุมกันที่สนามหญ้า ซึ่งเป็นการยกระดับการแสดงอารยะขัดขืน ของกลุ่มผู้ชุมนุมที่ต่อต้านรัฐบาลที่หมดความชอบธรรมเท่านั้น