ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ยกฟ้อง “สันต์ ศรุตานนท์” ฟ้อง “เสธ.แดง-สื่อ-เครือข่ายผู้หญิง กับ รธน.” หมิ่นเป็นบิ๊กขี้หลี ศาลระบุ อดีต ผบ.ตร. ควรวางตัวให้เหมาะสม
วันนี้ (10 มิ.ย.) เมื่อเวลา 09.30 น.ที่ห้องพิจารณาคดี 711 ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ถ.เจริญกรุง ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ในคดีที่ พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ อดีตผบ.ตร.เป็นโจทก์ฟ้อง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก, นางยุวดี ธัญญสิริ, บริษัท ข่าวสด จำกัด, นายฐากูร อุทัยวงศ์, บริษัท มติชน จำกัด, นายสุชาติ ศรีสุวรรณ, นายอุดมศักดิ์ เสาวนะ, นายสมชาย จิระศิริโสภณ, บริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด, นายตุลย์ ศิริกุลพิพัฒน์, บริษัท ไทยเจอร์นัล กรุ๊ป จำกัด, นายทวีสิน สถิตย์รัตนชีวิน, นางทิชา ณ นคร ผู้ประสานงานเครือข่ายผู้หญิงกับรัฐธรรมนูญ, บริษัท บางกอกเอ็กซ์เพรส พับบลิสซิ่ง จำกัด, นายอากาศ วสิกชาติ, บริษัท นวกิจบ้านเมือง จำกัด และนายอำนวย ไทรใหญ่ ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-17 เรื่องละเมิด เรียกค่าเสียหายรวม 2,500 ล้านบาท
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 26 และ 31 พ.ค.2546 ระหว่างที่โจทก์ ขณะเป็น ผบ.ตร.ไปปฏิบัติหน้าที่หัวหน้ารักษาความปลอดภัยในการประชุม ครม.ที่ จ.ภูเก็ต และ จ.อุบลราชธานี พวกจำเลยได้ไขข่าวแพร่หลายอันเป็นเท็จ ว่า โจทก์มีพฤติการณ์พูดจาลวนลามนักข่าวสาว เป็นนายพลหื่นกามเป็นเฒ่าหัวงู สตช.จะสร้างความเชื่อถือให้ประชาชนได้อย่างไร และข้อความทำนองเดียวกัน ทั้งที่ความจริงโจทก์เพียงเรียกนักข่าวสาวคนหนึ่งไปสอบถามกรณีไม่ติดบัตรประจำตัว
การกระทำของพวกจำเลยทำให้โจทก์เสียหายขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงินรวม 2,500 ล้านบาทด้วย
คดีนี้ศาลชั้นต้นมีพิพากษาให้ยกฟ้อง โจทก์ยื่นอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ประชุมปรึกษาแล้วเห็นว่า คำให้สัมภาษณ์ของ พล.ต.ขัตติยะ นั้น ฟังไม่ได้ว่าเป็นละเมิดโจทก์ เช่นเดียวกับคำให้สัมภาษณ์รวมถึงข้อความของ นางทิชา จำเลยที่ 13 ซึ่งไม่ได้มีข้อความใดระบุถึงตัวโจทก์ จึงไม่เกิดความเสียหายต่อโจทก์ ประกอบคำเบิกความของ น.ส.เกวลิน กังวานธนวัติ ผู้สื่อข่าวช่องโมเดิร์นไนน์ทีวี เบิกความเป็นพยานจำเลย ว่า เมื่อไปพบโจทก์ ก็ได้สอบถามเรื่องส่วนตัว เช่น ทำไม่ตัดผมสั้น เรียนจบอะไรมา สูงเท่าไหร่ และชักชวนให้เดินทางกลับเครื่องบินของตำรวจ โดยไม่ได้ถามเรื่องการไม่ติดบัตรประจำตัวเลย ตนรู้สึกอึดอัด และเล่าให้เพื่อนผู้สื่อข่าวฟัง ตอนกลางคืนได้มีจดหมายสอดเข้ามาทางด้านล่างของประตูห้องพัก ระบุว่า “พรุ่งนี้ 08.30 น. ให้ไปขึ้นเครื่องบินตำรวจ” ลงชื่อ พล.ต.ต. สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ ตนจึงนำเรื่องร้องเรียนต่อสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และคณะกรรมาธิการกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ วุฒิสภา
เห็นว่า พยานจำเลยเบิกความมีน้ำหนักรับฟังได้ เชื่อว่า ที่โจทก์เรียกให้ น.ส.เกวลิน ไปพบนั้นต้องการพูดคุยเท่านั้น แต่พฤติการณ์ของโจทก์ทำให้ น.ส.เกวลิน รู้สึกและรับรู้ได้ว่าโจทก์พูดคุยไปในทางชู้สาวกับตน ขณะที่โจทก์มีตำแหน่งเป็น ผบ.ตร.สมควรวางตัวให้เหมาะสม ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องกับการพิจารณาของศาลชั้นต้น อุทธรณ์โจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายกฟ้อง
ภายหลัง นางทิชา กล่าวด้วยความดีใจว่า 2-3 ปี ที่ผ่านมา ต้องเข้ามายุ่งกับคดีนี้ เพื่อพยายามให้เห็นว่าการคุกคามเพศหญิงนั้นมีอยู่จริง ความอึดอัดของผู้หญิงคนหนึ่งที่หลายคนมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อเพศหญิงถูกรบกวนต้องได้รับการปกป้อง ส่วนเรื่องการจะฟ้องกลับหรือไม่นั้นตนไม่ได้คิดถึง เพราะมุ่งไปที่เนื้อหามากกว่าตัวบุคคล ซึ่งตนไม่ได้เป็นศัตรูกับทางโจทก์ เชื่อว่าคำพิพากษานี้จะได้เป็นการรับรองสิทธิของผู้หญิงในสังคมต่อไป
ด้าน นายนคร ชมพูชาติ ทนายความจากสภาทนายความ ที่แก้ต่างให้กับจำเลยในคดีนี้ กล่าวว่า คำพิพากษาคดีนี้จะเป็นแนวทางให้เห็นว่าการวางตัวลักษณะใดเหมาะสม หรือไม่เหมาะสม ทำให้ผู้ต้องระมัดระวังมากขึ้น และคงมีความยับยั้งชั่งใจบ้าง ส่วนเรื่องการฟ้องกลับนั้น ต้องรอดูในส่วนของคดีอาญาให้เสร็จสิ้นเสียก่อน เพราะขณะนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้อง นางทิชา ไปแล้ว คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาคดีของศาลอุทธรณ์
วันนี้ (10 มิ.ย.) เมื่อเวลา 09.30 น.ที่ห้องพิจารณาคดี 711 ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ถ.เจริญกรุง ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ในคดีที่ พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ อดีตผบ.ตร.เป็นโจทก์ฟ้อง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก, นางยุวดี ธัญญสิริ, บริษัท ข่าวสด จำกัด, นายฐากูร อุทัยวงศ์, บริษัท มติชน จำกัด, นายสุชาติ ศรีสุวรรณ, นายอุดมศักดิ์ เสาวนะ, นายสมชาย จิระศิริโสภณ, บริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด, นายตุลย์ ศิริกุลพิพัฒน์, บริษัท ไทยเจอร์นัล กรุ๊ป จำกัด, นายทวีสิน สถิตย์รัตนชีวิน, นางทิชา ณ นคร ผู้ประสานงานเครือข่ายผู้หญิงกับรัฐธรรมนูญ, บริษัท บางกอกเอ็กซ์เพรส พับบลิสซิ่ง จำกัด, นายอากาศ วสิกชาติ, บริษัท นวกิจบ้านเมือง จำกัด และนายอำนวย ไทรใหญ่ ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-17 เรื่องละเมิด เรียกค่าเสียหายรวม 2,500 ล้านบาท
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 26 และ 31 พ.ค.2546 ระหว่างที่โจทก์ ขณะเป็น ผบ.ตร.ไปปฏิบัติหน้าที่หัวหน้ารักษาความปลอดภัยในการประชุม ครม.ที่ จ.ภูเก็ต และ จ.อุบลราชธานี พวกจำเลยได้ไขข่าวแพร่หลายอันเป็นเท็จ ว่า โจทก์มีพฤติการณ์พูดจาลวนลามนักข่าวสาว เป็นนายพลหื่นกามเป็นเฒ่าหัวงู สตช.จะสร้างความเชื่อถือให้ประชาชนได้อย่างไร และข้อความทำนองเดียวกัน ทั้งที่ความจริงโจทก์เพียงเรียกนักข่าวสาวคนหนึ่งไปสอบถามกรณีไม่ติดบัตรประจำตัว
การกระทำของพวกจำเลยทำให้โจทก์เสียหายขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงินรวม 2,500 ล้านบาทด้วย
คดีนี้ศาลชั้นต้นมีพิพากษาให้ยกฟ้อง โจทก์ยื่นอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ประชุมปรึกษาแล้วเห็นว่า คำให้สัมภาษณ์ของ พล.ต.ขัตติยะ นั้น ฟังไม่ได้ว่าเป็นละเมิดโจทก์ เช่นเดียวกับคำให้สัมภาษณ์รวมถึงข้อความของ นางทิชา จำเลยที่ 13 ซึ่งไม่ได้มีข้อความใดระบุถึงตัวโจทก์ จึงไม่เกิดความเสียหายต่อโจทก์ ประกอบคำเบิกความของ น.ส.เกวลิน กังวานธนวัติ ผู้สื่อข่าวช่องโมเดิร์นไนน์ทีวี เบิกความเป็นพยานจำเลย ว่า เมื่อไปพบโจทก์ ก็ได้สอบถามเรื่องส่วนตัว เช่น ทำไม่ตัดผมสั้น เรียนจบอะไรมา สูงเท่าไหร่ และชักชวนให้เดินทางกลับเครื่องบินของตำรวจ โดยไม่ได้ถามเรื่องการไม่ติดบัตรประจำตัวเลย ตนรู้สึกอึดอัด และเล่าให้เพื่อนผู้สื่อข่าวฟัง ตอนกลางคืนได้มีจดหมายสอดเข้ามาทางด้านล่างของประตูห้องพัก ระบุว่า “พรุ่งนี้ 08.30 น. ให้ไปขึ้นเครื่องบินตำรวจ” ลงชื่อ พล.ต.ต. สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ ตนจึงนำเรื่องร้องเรียนต่อสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และคณะกรรมาธิการกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ วุฒิสภา
เห็นว่า พยานจำเลยเบิกความมีน้ำหนักรับฟังได้ เชื่อว่า ที่โจทก์เรียกให้ น.ส.เกวลิน ไปพบนั้นต้องการพูดคุยเท่านั้น แต่พฤติการณ์ของโจทก์ทำให้ น.ส.เกวลิน รู้สึกและรับรู้ได้ว่าโจทก์พูดคุยไปในทางชู้สาวกับตน ขณะที่โจทก์มีตำแหน่งเป็น ผบ.ตร.สมควรวางตัวให้เหมาะสม ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องกับการพิจารณาของศาลชั้นต้น อุทธรณ์โจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายกฟ้อง
ภายหลัง นางทิชา กล่าวด้วยความดีใจว่า 2-3 ปี ที่ผ่านมา ต้องเข้ามายุ่งกับคดีนี้ เพื่อพยายามให้เห็นว่าการคุกคามเพศหญิงนั้นมีอยู่จริง ความอึดอัดของผู้หญิงคนหนึ่งที่หลายคนมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อเพศหญิงถูกรบกวนต้องได้รับการปกป้อง ส่วนเรื่องการจะฟ้องกลับหรือไม่นั้นตนไม่ได้คิดถึง เพราะมุ่งไปที่เนื้อหามากกว่าตัวบุคคล ซึ่งตนไม่ได้เป็นศัตรูกับทางโจทก์ เชื่อว่าคำพิพากษานี้จะได้เป็นการรับรองสิทธิของผู้หญิงในสังคมต่อไป
ด้าน นายนคร ชมพูชาติ ทนายความจากสภาทนายความ ที่แก้ต่างให้กับจำเลยในคดีนี้ กล่าวว่า คำพิพากษาคดีนี้จะเป็นแนวทางให้เห็นว่าการวางตัวลักษณะใดเหมาะสม หรือไม่เหมาะสม ทำให้ผู้ต้องระมัดระวังมากขึ้น และคงมีความยับยั้งชั่งใจบ้าง ส่วนเรื่องการฟ้องกลับนั้น ต้องรอดูในส่วนของคดีอาญาให้เสร็จสิ้นเสียก่อน เพราะขณะนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้อง นางทิชา ไปแล้ว คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาคดีของศาลอุทธรณ์