ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ สนามหลวง เมื่อเวลา 09.30 น. วานนี้ (13 พ.ค.) ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีที่พนักงานอัยการ ฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 4 และ พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ อดีต ผบ.ตร.ร่วมกันเป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายสนธิ ลิ้มทองกุล ในฐานะผู้ดำเนินรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา กรณีเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2546 เวลา 21.00 น.นายสนธิ และ น.ส.สโรชา พรอุดมศักดิ์ ดำเนินรายการ เมืองไทยรายสัปดาห์ ทางสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ทีวี ได้กล่าวถ้อยคำพาดพิงถึง พล.ต.อ.สันต์ ว่า ไม่มีความรับผิดชอบ พูดจากลับไปกลับมา ในการรื้อฟื้นคดี การเสียชีวิตของ นายห้างทอง ธรรมวัฒนะ อดีต ส.ส.กทม.พรรคประชากรไทย
คดีนี้ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 9 พ.ค.2550 โดยพิเคราะห์พยานหลักฐานนำสืบหักล้างกันแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยได้กล่าวข้อความถึงตัวโจทก์ร่วมว่า พูดจากลับไปกลับมา มีลักษณะนิสัยโลเล ไม่มีความรับผิดชอบ จนกลายเป็นตัวตลกในสายตาประชาชน
แต่ในชั้นพิจารณาได้ความจากการนำสืบอีก ว่า ก่อนที่จำเลยจะกล่าวถึงโจทก์ ร่วมในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ในวันที่ 16-17 ก.ย.2546 เว็บไซต์ และหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ได้รายงานข่าวเกี่ยวกับการสอบสวนคดีนายห้างทอง โดยนำข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในการสอบสวนคดี จำเลยในฐานะสื่อมวลชน ที่ทำหน้าที่เป็นผู้วิเคราะห์ข่าว ก็นำข้อเท็จจริงจากการ รายงานข่าวของหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับการสอบสวนคดี
ซึ่งขณะนั้นโจทก์ร่วมเป็น ผบ.ตร.มีหน้าที่รับผิดชอบให้การสอบสวนคดี เป็นไปด้วยความโปร่งใส แต่ในการดำเนินคดีโจทก์ร่วมกลับไม่ได้เปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนรับทราบกันโดยทั่วไปด้วยความโปร่งใส เมื่อเห็นว่า จำเลยกระทำไปโดย นำข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่จากทุกมุมมองของสื่อหลายฉบับ มาเสนอเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของโจทก์ร่วม จึงฟังได้ว่าจำเลยแสดงความคิดเห็นต่อตัวโจทก์โดยสุจริต ตามวิสัยอันพึงกระทำได้ จำเลยจึงไม่มีความผิดตามฟ้อง พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ยื่นอุทธรณ์อ้างเหตุที่จำเลยออกมากล่าวพาดพิงให้ได้รับความเสียหาย เนื่องจากเคยมีข้อพิพาทกับโจทก์ร่วมมาก่อน ศาลอุทธรณ์ประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์ไม่สามารถนำสืบให้ศาลเห็นถึงข้อพิพาทดังกล่าว เห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นการแสดงความคิดเห็นต่อตัวโจทก์โดยสุจริตตามวิสัยอันพึงกระทำได้ในฐานะสื่อมวลชน อุทธรณ์โจทก์ฟังไม่ขึ้น คำพิพากษาศาลชั้นต้นชอบแล้ว พิพากษายืน
ภายหลัง นายสนธิ กล่าวให้สัมภาษณ์สั้นๆ ว่า รู้สึกพอใจกับผลของคำพิพากษา ส่วนคดีหมิ่นประมาทที่ยังอยู่ในศาล ขณะนี้เหลืออีก 3-4 คดี ซึ่งจะต้องสู้คดีกันต่อไปตามกระบวนการ
คดีนี้ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 9 พ.ค.2550 โดยพิเคราะห์พยานหลักฐานนำสืบหักล้างกันแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยได้กล่าวข้อความถึงตัวโจทก์ร่วมว่า พูดจากลับไปกลับมา มีลักษณะนิสัยโลเล ไม่มีความรับผิดชอบ จนกลายเป็นตัวตลกในสายตาประชาชน
แต่ในชั้นพิจารณาได้ความจากการนำสืบอีก ว่า ก่อนที่จำเลยจะกล่าวถึงโจทก์ ร่วมในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ในวันที่ 16-17 ก.ย.2546 เว็บไซต์ และหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ได้รายงานข่าวเกี่ยวกับการสอบสวนคดีนายห้างทอง โดยนำข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในการสอบสวนคดี จำเลยในฐานะสื่อมวลชน ที่ทำหน้าที่เป็นผู้วิเคราะห์ข่าว ก็นำข้อเท็จจริงจากการ รายงานข่าวของหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับการสอบสวนคดี
ซึ่งขณะนั้นโจทก์ร่วมเป็น ผบ.ตร.มีหน้าที่รับผิดชอบให้การสอบสวนคดี เป็นไปด้วยความโปร่งใส แต่ในการดำเนินคดีโจทก์ร่วมกลับไม่ได้เปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนรับทราบกันโดยทั่วไปด้วยความโปร่งใส เมื่อเห็นว่า จำเลยกระทำไปโดย นำข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่จากทุกมุมมองของสื่อหลายฉบับ มาเสนอเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของโจทก์ร่วม จึงฟังได้ว่าจำเลยแสดงความคิดเห็นต่อตัวโจทก์โดยสุจริต ตามวิสัยอันพึงกระทำได้ จำเลยจึงไม่มีความผิดตามฟ้อง พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ยื่นอุทธรณ์อ้างเหตุที่จำเลยออกมากล่าวพาดพิงให้ได้รับความเสียหาย เนื่องจากเคยมีข้อพิพาทกับโจทก์ร่วมมาก่อน ศาลอุทธรณ์ประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์ไม่สามารถนำสืบให้ศาลเห็นถึงข้อพิพาทดังกล่าว เห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นการแสดงความคิดเห็นต่อตัวโจทก์โดยสุจริตตามวิสัยอันพึงกระทำได้ในฐานะสื่อมวลชน อุทธรณ์โจทก์ฟังไม่ขึ้น คำพิพากษาศาลชั้นต้นชอบแล้ว พิพากษายืน
ภายหลัง นายสนธิ กล่าวให้สัมภาษณ์สั้นๆ ว่า รู้สึกพอใจกับผลของคำพิพากษา ส่วนคดีหมิ่นประมาทที่ยังอยู่ในศาล ขณะนี้เหลืออีก 3-4 คดี ซึ่งจะต้องสู้คดีกันต่อไปตามกระบวนการ