ศาลฎีกาตรวจพยานหลักเพิ่ม “แม้ว-อ้อ” คดีโกงที่ดินรัชดาฯ นัดไต่สวนวันที่ 1, 5, 15, 19 และ 22 ส.ค. เวลา 09.30 น. รวม 5 นัด 22 ปาก ตามจำเลยร้องขอ ก่อนนัดพร้อมโจทก์และจำเลยแถลงประเด็นและข้อเท็จจริงที่ทำการไต่สวน วันที่ 1 ก.ค.นี้
วันนี้ (30 เม.ย.) เวลา 10.00 น. ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง นายทองหล่อ โฉมงาม ผู้พิพากษาอาวุโส เจ้าของสำนวนคดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษก พร้อมองค์คณะผู้พิพากษาทั้ง 9 คน ออกนั่งบัลลังก์ตรวจสอบพยานหลักฐาน คดีหมายดำที่ อม.1/2550 ที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และคุณหญิงพจมาน เป็นจำเลยที่ 1-2 กระทำผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พ.ศ.2542 ม.4, 100 และ 122 ประมวลกฎหมายอาญา ม.33, 83, 86, 91, 152 และ 157 ในการประมูลซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษกรวม 4 แปลงมูลค่ากว่า 772 ล้านบาท จากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
โดยโจทก์มีพยานเอกสารเสนอต่อศาลที่จะใช้ในการไต่สวนรวม 204 ลำดับ ขณะที่จำเลยทั้งสอง ยื่นพยานเอกสารที่ใช้ประกอบการไต่สวน 165 ลำดับ ซึ่งนายพิชิฎ ชื่นบาน ทนายความจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องโต้แย้งพยานเอกสารโจทก์ โดยโจทก์แถลงว่า โจทก์ไม่โต้แย้งพยานเอกสารที่จำเลยอ้างในส่วนที่เป็นระเบียบ คำสั่ง และกฎหมาย ส่วนเอกสารอื่นโจทก์ยังคงโต้แย้งโดยโจทก์ประสงค์ประสงค์ที่จะให้สืบพยานบุคคลประกอบพยานเอกสาร ซึ่งโจทก์ขอให้ศาลไต่สวนพยานรวม 22 ปาก ใช้เวลา 5 นัด ขณะที่ทนายจำเลยทั้งสอง แถลงว่าจำเลยทั้งสองติดใจขอให้ศาลไต่สวนพยานบางปากที่โจทก์ขอให้ศาลไต่สวนอยู่แล้ว โดยทนายจำเลยทั้งสองจะขออนุญาตศาลสอบถามพยานไปพร้อมกัน ส่วนพยานที่จำเลยทั้งสองยื่นบัญชีเมื่อวันที่ 11 มี.ค. และ 21 เม.ย.ที่ผ่านมา ลำดับที่ 22 , 29-36 ซึ่งเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยที่จำเลยทั้งสองจะนำมาไต่สวนประเด็นข้อกฎหมายนั้น จำเลยทั้งสองไม่ติดใจจะนำพยานมาไต่สวนต่อศาลโดยจะทำแถลงพยานยื่นเป็นหนังสือต่อศาลแทน จึงยังคงเหลือพยานจำเลยทั้งสองที่ติดใจขอให้ศาลไต่สวนในชั้นไต่สวนพยานจำเลยเพียง 22 ปาก ใช้เวลา 5 นัดเช่นกัน
ศาลพิเคราะห์แล้ว ให้นัดไต่สวนพยานโจทก์วันที่ 8 , 15 , 22 , 25 และ 29 ก.ค.นี้ เวลา 09.30 น. และนัดไต่สวนพยานจำเลยทั้งสอง วันที่ 1,5,15 ,19 และ 22 ส.ค.นี้ เวลา 09.30 น. โดยให้นัดไต่สวนพยานหลักฐานเพิ่มเติมไว้ในวันที่ 26 , 29 ส.ค. และ 2 ก.ย. เวลา 09.30 น. ซึ่งเหตุที่ศาลไม่ได้นัดไต่สวนพยานหลักฐานต่อเนื่องกันไปทุกวันทำการเพราะคู่ความและศาลมีกิจธุระจำเป็นที่มิอาจจะก้าวล่วงได้ ทั้งนี้ศาลให้โจทก์และทนายจำเลยทั้งสอง แถลงต่อศาลภายใน 7 วันนับแต่วันนี้ว่าจะขอให้ศาลไต่สวนพยานปากใดในวันใด หากพยานปากใดจำเป็นต้องขอให้ศาลออกหมายเรียกให้ยื่นคำร้องขอให้ออกหมายเรียกมาพร้อมกันด้วย แล้วให้รีบดำเนินการส่งหมายเรียกให้พยานและติดต่อประสานงานเพื่อให้พยานมาศาลตามนัด หากพยานไม่สามารถมาศาลในวัน – เวลานัดได้ ก็ให้ประสานงานให้พยานมาศาลในวันนัดไต่สวนพยานหลักฐานแต่ละฝ่ายในนัดอื่นซึ่งได้นัดไว้แล้ว หากจำเป็นต้องออกหมายเรียกพยานใหม่ก็ให้รีบดำเนินการ ทั้งนี้เพื่อให้การไต่สวนพยานหลักฐานเสร็จสิ้นภายในกรอบเวลาที่กำหนดไว้ และเพื่อให้การไต่สวนพยานหลักฐานเป็นไปโดยสะดวกและรวดเร็วให้นัดพร้อมอีกในวันที่ 1 ก.ค.นี้ เวลา 09.30 น. เพื่อให้โจทก์และทนายจำเลยทั้งสอง แถลงประเด็นและข้อเท็จจริงที่จะทำการไต่สวน รวมทั้งคำถามที่ประสงค์จะให้ศาลถามพยานแต่ละปากก่อนวันไต่สวนพยานหลักฐาน
ภายหลังนายเศกสรรค์ บางสมบุญ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ คณะทำงานรับผิดชอบคดี กล่าวว่า เดิมพยานที่อัยการโจทก์ยื่นบัญชีต่อศาล รวม 42 ปากตามที่ปรากฏในสำนวนสอบสวน คตส. ส่วนพยาน 22 ปากที่จะนำสืบนั้น ก็เป็นกลุ่ม คตส. , อดีตรัฐมนตรี , เจ้าหน้าที่กรมที่ดิน ,เจ้าหน้าที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟู ฯ และ เจ้าหน้าที่ ธปท. ซึ่งพยานที่อัยการโจทก์ ไม่ติดใจที่นำสืบประมาณ 20 ปากนั้น ก็เป็นพยานที่ซ้ำซ้อนกันเช่นใน กลุ่ม คตส. อย่างไรก็ดีสำหรับพยานโจทก์ปากแรกที่จะเบิกความนั้นอาจจะเป็น คตส. หรือนายวีระ สมความคิด ซึ่งเป็นผู้เข้าร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. ให้มีการตรวจสอบการซื้อขายที่ดิน ฯ ซึ่งคณะทำงานอัยการจะต้องหารือกันอีกครั้งก่อนที่จะต้องแถลงให้ศาลทราบในวันนัดพร้อม 1 ก.ค.นี้
นายพิชิฏ ชื่นบาน ทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน กล่าวว่า พยานจำเลยปากแรกที่เตรียมจะเบิกความจะเป็นตนเอง ในฐานะทนายความซึ่งได้รับมอบอำนาจจาก พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน ให้แก้ต่างคดีตั้งแต่ชั้นไต่สวนของ คตส. และเป็นผู้ที่รวบรวมข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย จึงเป็นต้องผู้ที่จะขึ้นเบิกความเปิดคดีในส่วนของจำเลย ตามแนวทางข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายว่าต้องสู้คดีอย่างไร ส่วน พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ก็ต้องขึ้นเบิกความแต่ทั้งนี้ยังไม่ได้ระบุวัน – เวลาว่าจะเบิกความวันใดและ โดยตนและคณะทำงานจะประชุมร่วมกันเพื่อกำหนดว่า หลังจากที่ตนเบิกความแล้ว จะนำพยานคนใดมาเบิกความเป็นลำดับต่อไป
“ยังไม่ทราบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน จะเดินทามาเบิกความพร้อมกันในวันเดียวหรือไม่ ซึ่งจะต้องหารือเรื่องความพร้อมกันก่อนว่าทั้งสองมีกำหนดเวลาอย่างไร ยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน จะเดินทางมาเบิกความด้วยตนเอง ท่านทั้งสองมั่นใจในความบริสุทธิ์ของท่าน” นายพิชิฏ ทนายความกล่าว
ส่วนการไต่สวนจะยื่นขอให้ศาลพิจารณาลับหรือจะปล่อยมีการพิจารณาโดยเปิดเผยนั้น นายพิชิฏ กล่าวว่า ก็ต้องการให้การไต่สวนเป็นไปโดยเปิดเผยตามกระบวนพิจารณาปกติ
ทั้งนี้ นายพิชิฏ กล่าวถึงประเด็นที่จะนำสืบต่อสู้คดีว่า ประเด็นหลักมี 2 ประเด็น คือการต่อสู้ว่านายกรัฐมนตรี มีหน้าที่กำกับ ดูแล ควบคุม กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินหรือไม่ และจะเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2542 มาตรา 100 หรือไม่ และประเด็นว่าการซื้อขายที่ดินดังกล่าว กองทุนเพื่อการฟื้นฟู ฯ ได้รับความเสียหายหรือไม่ ซึ่งฝ่ายจำเลยจะนำสืบพยานทั้ง 22 ปาก ที่แบ่งเป็นกลุ่มสำนักตรวจเงินแผ่นดิน ( สตง.) กรมบัญชีกลาง สำนักงบประมาณ และกระทรวงการคลังเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่กระจ่างชัดขึ้นเกี่ยวกับประเด็นที่ต่อสู้ โดยพยาน 22 ปากนั้น ยังมีกลุ่มที่เป็นพยานร่วมกับอัยการโจทก์ด้วย คือ คตส. จำนวน 4 ปาก เจ้าหน้าที่กรมที่ดิน 2 ปาก และเจ้าหน้าที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟู ฯ 3 ปาก
นายพิชิฏ ทนายความยังกล่าวด้วยว่า สำหรับพยานเอกสารของโจทก์ที่ฝ่ายจำเลยโต้แย้ง นั้น ถือเป็นแนวทางการต่อสู้คดีประการหนึ่ง ซึ่งฝ่ายจำเลยไม่ได้โต้แย้งพยานเอกสารของโจทก์ทั้งหมด 204 อันดับ แต่โต้แย้งในส่วนที่เป็นเอกสารราชการที่ฝ่ายจำเลยคิดว่ามีเนื้อหาคลาดเคลื่อนซึ่งจะให้โทษกับจำเลยทั้งสองในคดีนี้ โดยการโต้แย้งพยานเอกสารดังกล่าวจะทำให้ทนายความได้มีโอกาสนำพยานเอกสารที่ฝ่ายจำเลยจัดหามาได้ซึ่งเป็นเอกสารราชการมานำสืบในประเด็นที่โจทก์ยังไม่ได้นำมาพิจารณา