จารบุรุษ
ใจหายไม่น้อย เมื่อรู้ว่า “พี่วิดยา” พล.ต.ต.วิทยา โกสิยะสถิต รอง ผบช.น.ได้ยื่นหนังสือลาออกจากการรับราชการตำรวจ ซึ่งจะมีผลในวันที่ 1 พฤษภาคม ศกนี้ แม้ “พี่วิดยา” ไม่ได้จบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ แต่จากที่ได้เคยสัมผัสผลงานนายตำรวจผู้นี้มา รู้ดีว่า “พี่วิดยา” ถือเป็นนายตำรวจอาชีพ และมีอาชีพผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างแท้จริง ไม่เชื่อไปสอบถามจากผู้ใต้บังคับบัญชาดูได้ ว่าพี่แก“เฮี้ยบ”มากน้อยแค่ไหน แม้แต่บรรดาเหยี่ยวข่าวเอง ยังกระเจิงกันมาแล้ว....
“พี่วิดยา” ให้เหตุผลการลาออกครั้งนี้ว่า ต้องการไปประกอบอาชีพทำมาค้าขาย ไม่ได้มีนัยแอบแฝง หรือถูกกดดันจากฝ่ายไหน อีกทั้งเพื่อเปิดทางให้กับรุ่นน้องที่จะก้าวขึ้นมาในภายภาคหน้า รวมทั้งจะมีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งกันในเดือน เม.ย.นี้ และตนเองก็จะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 ก.ย.นี้แล้ว การแต่งตั้งจะได้ไม่ต้องมาติดขัดเกรงอกเกรงใจอะไรกัน ทุกฝ่ายจะได้สะดวกโยธินว่างั้นเถอะ...
“พี่วิดยา” บอกว่า หลังจากลาออกไปจะไปสานต่อการดำเนินธุรกิจเล็กๆ เป็นร้านขายอาหารแมว ชื่อร้าน “ลาชาต์ลาเชียง” ตรงข้ามเจเจมอลล์ สวนจตุจักร ที่เปิดมาได้ราว 3 เดือนแล้ว อยากถาม “พี่วิดยา” จริงๆ ถ้าพี่ไปประจำอยู่ที่ร้านขายอาหารแมวแล้ว มีชายสูงอายุ ร่างใหญ่ จมูกบาน ปาก......(โปรดเติมคำในช่องว่างเอง) เดินเข้ามาสอบถามซื้ออาหารแมวเหมียวในร้านของพี่ พี่จะบริการชายคนดังกล่าวอย่างไรครับ ตอบให้“จารบุรุษ”ชื่นใจหน่อยคับพ้ม....
ขอเล่าเรื่องความ “เฮี้ยบ” ของ “พี่วิดยา” ไว้เป็นสะเก็ตข่าวเล็กๆ น้อยๆ เผื่อใครจะนำไปใช้เป็นเยี่ยงอย่างได้ ครั้งหนึ่งเกิดเหตุคดีจี้ชิงทรัพย์ร้านทองในพื้นที่ สน.ลาดพร้าว ซึ่งสังกัด บก.น.4 ที่ “พี่วิดยา” เป็นผู้การอยู่ หลังจากตำรวจตามจับกุมคนร้ายได้แล้วได้ควบคุมตัวคนร้ายไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพที่ร้านทองดังกล่าว ระหว่างนั้น พี่วิดยาสอบถามผู้ต้องหาว่าใช้ปืนจี้อย่างไร พูดข่มขู่คนในร้านทองอย่างไร ผู้ต้องหาก็ทำให้ดู แต่ขณะนั้นพนักงานสอบสวนเจ้าของคดี น่าจะยศ พ.ต.ต.ดันไปยืนเฉยๆ อยู่ด้านหลังกลุ่มช่างภาพผู้สื่อข่าว “ผู้การวิทยา” หันซ้ายหันขวาไม่เห็นเจ้าของคดีซึ่งปกติจะต้องเป็นผู้บันทึกรายละเอียด และภาพถ่ายการทำแผน เลยตะโกนถามว่า อ้าว เจ้าของคดีหายไปไหน จะให้ผู้การถ่ายภาพเองหรือไง แล้วอย่างนี้สำนวนการสอบสวนจะสมบูรณ์ได้อย่างไร เล่นเอา พ.ต.ต.เจ้าของคดีในขณะนั้นสะท้านไปชั่ววูบ...
อีกคดี ใช่แต่ตำรวจผู้ใต้บังคับบัญชา แม้แต่ช่างภาพผู้สื่อข่าวยังโดนกันมาแล้ว กับความ “เฮี้ยบ” โดยมีคดีระเบิดรถมินิบัสในพื้นที่ ปรากฏว่า “พี่วิดยา” ไปถึงที่เกิดเหตุก่อนเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน หรือ พฐ. โดยอยู่ระหว่างรอเจ้าหน้าที่ พฐ. จึงสั่งการห้ามมิให้ใครเข้าไปใกล้รถที่เกิดเหตุ แต่ขณะนั้นมีช่างภาพคนหนึ่งอยากได้ภาพตามมุมกล้องในจินตนาการของเขา แต่ไปเผลอจับกระจกมองข้างของรถเข้า ให้เผอิญ “พี่วิดยา” หันไปเห็นพอดี เลยว้ากใส่ “คุณทำอะไร ทำอย่างนี้ หลักฐานผมหายหมด...” จากนั้นรัวใส่อีกหนึ่งชุดย่อมๆ เล่นเอาช่างภาพหน้าเจื่อนไปเลยคราวนั้น...
อีกเรื่อง บรรดาเหยี่ยวข่าวที่สนิทสนมกับ “พี่วิดยา” บอกว่าพอเกิดเหตุอะไรในพื้นที่ปุ๊บจะโทรศัพท์สายตรงสอบถามกับพี่แกทันที แต่หากคดีไหน “พี่วิดยา” ยังไม่ได้รับรายงาน ความซวยจะไปตกที่ “นายเวร” ทันที ฐานให้นักข่าวรู้ก่อนตำรวจ นอกจากนี้ สมัยที่ “พี่วิดยา” ดำรงตำแหน่ง ผบก.น.4 นั้น ไม่ว่าจะดึกดื่นแค่ไหน เมื่อเกิดเหตุในพื้นที่รับผิดชอบ จะต้องเห็น “พล.ต.ต.วิทยา โกสิยะสถิต” ในชุดตำรวจเต็มยศทุกครั้ง ทุกคดี ยังสงสัยกันอยู่ว่า พี่เขาใส่กางเกงสีกากี สวมถุงเท้านอนหรือเปล่า โดยแขวนเสื้อเครื่องแบบไว้แถวๆหัวเตียง เหมือนอย่างพระเอกหนังไทยที่รับบทเป็นตำรวจสมัยก่อนเปี๊ยบ...
มีอีกหลายเรื่องที่ถือเป็นสะเก็ตข่าวของ พล.ต.ต.วิทยา โกสิยะสถิต ได้ เมื่อสมัยเป็น ผกก. ทั่น ผกก.วิทยา เรียกประชุมแถวผู้ใต้บังคับบัญชา ปรากฏว่ามีตำรวจผู้หนึ่ง สวมเครื่องแบบเต็มยศ แต่รองเท้าดูหมองหม่น ทำนองว่าขี้เกียจขัดรองเท้านั่นแหละ ทั่น ผกก.วิทยาเห็นเข้า จึงให้ตำรวจอีกนาย ไปนำอุปกรณ์เช็ดรองเท้ามา จากนั้น ลงมือเช็ดรองเท้าให้นายตำรวจผู้ใต้บังคับบัญชาคนนั้นด้วยตนเอง จนมันวาววับ ชนิดใช้ส่องหน้าแทนกระจกได้ แล้วสั่งกำชับว่า “รองเท้าคู่นี้ผู้กำกับเป็นคนขัดให้จนเงาวับ ดังนั้น จึงต้องให้มันเงาวับอยู่อย่างนี้เสมอ” และตั้งแต่นั้น รองเท้าของนายตำรวจคนนั้น ก็เงาวับเสมอมา...
เจอะเจอ “พี่วิดยา” ครั้งล่าสุด เมื่อไม่นานที่ผ่านมา โดยพอรู้มาแล้วว่าพี่จะเกษียณอายุราชการในปีนี้ แต่นึกไม่ถึงว่าจะมาด่วนลาออกในเร็ววัน เมื่อถามหาเหตุผลว่าจะรีบไปไหน ไปทำอะไร จะลงเล่นการเมืองหรือเปล่า พี่แกไม่ตอบ ได้แต่อมยิ้ม แล้วพูดก่อนจะลุกขึ้นจากไปว่า “ถ้าจะโทษ ต้องโทษพ่อพี่ว่ะ เพราะเมื่อ 40 กว่าปีที่แล้ว พ่อพี่ดันไปฝากเรียนหนังสือในห้องเดียวกับคนชื่อ สนธิ ลิ้มทองกุล ว่ะ”....
ถามว่า เสียดายไหม เมื่อ พล.ต.ต.วิทยา ลาออก ตอบตามตรงว่า เสียดาย เพราะไม่บ่อยครั้งนัก ที่เราจะได้เจอะเจอ “ตำรวจ” ที่ตั้งใจทำงานเพื่อความสงบสุขของประชาชน รวมทั้งการดูแลเอาใจใส่ต่อผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการปฏิบัติหน้าที่ และเมื่อถามว่า เสียใจไหม ตอบได้ทันทีเลยว่า ไม่รู้สึกเสียใจเลย เพราะที่ผ่านมา “พล.ต.ต.วิทยา โกสิยะสถิต” ได้ทำหน้าที่ความเป็น “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์” อย่างสมบูรณ์แล้ว...
ใจหายไม่น้อย เมื่อรู้ว่า “พี่วิดยา” พล.ต.ต.วิทยา โกสิยะสถิต รอง ผบช.น.ได้ยื่นหนังสือลาออกจากการรับราชการตำรวจ ซึ่งจะมีผลในวันที่ 1 พฤษภาคม ศกนี้ แม้ “พี่วิดยา” ไม่ได้จบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ แต่จากที่ได้เคยสัมผัสผลงานนายตำรวจผู้นี้มา รู้ดีว่า “พี่วิดยา” ถือเป็นนายตำรวจอาชีพ และมีอาชีพผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างแท้จริง ไม่เชื่อไปสอบถามจากผู้ใต้บังคับบัญชาดูได้ ว่าพี่แก“เฮี้ยบ”มากน้อยแค่ไหน แม้แต่บรรดาเหยี่ยวข่าวเอง ยังกระเจิงกันมาแล้ว....
“พี่วิดยา” ให้เหตุผลการลาออกครั้งนี้ว่า ต้องการไปประกอบอาชีพทำมาค้าขาย ไม่ได้มีนัยแอบแฝง หรือถูกกดดันจากฝ่ายไหน อีกทั้งเพื่อเปิดทางให้กับรุ่นน้องที่จะก้าวขึ้นมาในภายภาคหน้า รวมทั้งจะมีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งกันในเดือน เม.ย.นี้ และตนเองก็จะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 ก.ย.นี้แล้ว การแต่งตั้งจะได้ไม่ต้องมาติดขัดเกรงอกเกรงใจอะไรกัน ทุกฝ่ายจะได้สะดวกโยธินว่างั้นเถอะ...
“พี่วิดยา” บอกว่า หลังจากลาออกไปจะไปสานต่อการดำเนินธุรกิจเล็กๆ เป็นร้านขายอาหารแมว ชื่อร้าน “ลาชาต์ลาเชียง” ตรงข้ามเจเจมอลล์ สวนจตุจักร ที่เปิดมาได้ราว 3 เดือนแล้ว อยากถาม “พี่วิดยา” จริงๆ ถ้าพี่ไปประจำอยู่ที่ร้านขายอาหารแมวแล้ว มีชายสูงอายุ ร่างใหญ่ จมูกบาน ปาก......(โปรดเติมคำในช่องว่างเอง) เดินเข้ามาสอบถามซื้ออาหารแมวเหมียวในร้านของพี่ พี่จะบริการชายคนดังกล่าวอย่างไรครับ ตอบให้“จารบุรุษ”ชื่นใจหน่อยคับพ้ม....
ขอเล่าเรื่องความ “เฮี้ยบ” ของ “พี่วิดยา” ไว้เป็นสะเก็ตข่าวเล็กๆ น้อยๆ เผื่อใครจะนำไปใช้เป็นเยี่ยงอย่างได้ ครั้งหนึ่งเกิดเหตุคดีจี้ชิงทรัพย์ร้านทองในพื้นที่ สน.ลาดพร้าว ซึ่งสังกัด บก.น.4 ที่ “พี่วิดยา” เป็นผู้การอยู่ หลังจากตำรวจตามจับกุมคนร้ายได้แล้วได้ควบคุมตัวคนร้ายไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพที่ร้านทองดังกล่าว ระหว่างนั้น พี่วิดยาสอบถามผู้ต้องหาว่าใช้ปืนจี้อย่างไร พูดข่มขู่คนในร้านทองอย่างไร ผู้ต้องหาก็ทำให้ดู แต่ขณะนั้นพนักงานสอบสวนเจ้าของคดี น่าจะยศ พ.ต.ต.ดันไปยืนเฉยๆ อยู่ด้านหลังกลุ่มช่างภาพผู้สื่อข่าว “ผู้การวิทยา” หันซ้ายหันขวาไม่เห็นเจ้าของคดีซึ่งปกติจะต้องเป็นผู้บันทึกรายละเอียด และภาพถ่ายการทำแผน เลยตะโกนถามว่า อ้าว เจ้าของคดีหายไปไหน จะให้ผู้การถ่ายภาพเองหรือไง แล้วอย่างนี้สำนวนการสอบสวนจะสมบูรณ์ได้อย่างไร เล่นเอา พ.ต.ต.เจ้าของคดีในขณะนั้นสะท้านไปชั่ววูบ...
อีกคดี ใช่แต่ตำรวจผู้ใต้บังคับบัญชา แม้แต่ช่างภาพผู้สื่อข่าวยังโดนกันมาแล้ว กับความ “เฮี้ยบ” โดยมีคดีระเบิดรถมินิบัสในพื้นที่ ปรากฏว่า “พี่วิดยา” ไปถึงที่เกิดเหตุก่อนเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน หรือ พฐ. โดยอยู่ระหว่างรอเจ้าหน้าที่ พฐ. จึงสั่งการห้ามมิให้ใครเข้าไปใกล้รถที่เกิดเหตุ แต่ขณะนั้นมีช่างภาพคนหนึ่งอยากได้ภาพตามมุมกล้องในจินตนาการของเขา แต่ไปเผลอจับกระจกมองข้างของรถเข้า ให้เผอิญ “พี่วิดยา” หันไปเห็นพอดี เลยว้ากใส่ “คุณทำอะไร ทำอย่างนี้ หลักฐานผมหายหมด...” จากนั้นรัวใส่อีกหนึ่งชุดย่อมๆ เล่นเอาช่างภาพหน้าเจื่อนไปเลยคราวนั้น...
อีกเรื่อง บรรดาเหยี่ยวข่าวที่สนิทสนมกับ “พี่วิดยา” บอกว่าพอเกิดเหตุอะไรในพื้นที่ปุ๊บจะโทรศัพท์สายตรงสอบถามกับพี่แกทันที แต่หากคดีไหน “พี่วิดยา” ยังไม่ได้รับรายงาน ความซวยจะไปตกที่ “นายเวร” ทันที ฐานให้นักข่าวรู้ก่อนตำรวจ นอกจากนี้ สมัยที่ “พี่วิดยา” ดำรงตำแหน่ง ผบก.น.4 นั้น ไม่ว่าจะดึกดื่นแค่ไหน เมื่อเกิดเหตุในพื้นที่รับผิดชอบ จะต้องเห็น “พล.ต.ต.วิทยา โกสิยะสถิต” ในชุดตำรวจเต็มยศทุกครั้ง ทุกคดี ยังสงสัยกันอยู่ว่า พี่เขาใส่กางเกงสีกากี สวมถุงเท้านอนหรือเปล่า โดยแขวนเสื้อเครื่องแบบไว้แถวๆหัวเตียง เหมือนอย่างพระเอกหนังไทยที่รับบทเป็นตำรวจสมัยก่อนเปี๊ยบ...
มีอีกหลายเรื่องที่ถือเป็นสะเก็ตข่าวของ พล.ต.ต.วิทยา โกสิยะสถิต ได้ เมื่อสมัยเป็น ผกก. ทั่น ผกก.วิทยา เรียกประชุมแถวผู้ใต้บังคับบัญชา ปรากฏว่ามีตำรวจผู้หนึ่ง สวมเครื่องแบบเต็มยศ แต่รองเท้าดูหมองหม่น ทำนองว่าขี้เกียจขัดรองเท้านั่นแหละ ทั่น ผกก.วิทยาเห็นเข้า จึงให้ตำรวจอีกนาย ไปนำอุปกรณ์เช็ดรองเท้ามา จากนั้น ลงมือเช็ดรองเท้าให้นายตำรวจผู้ใต้บังคับบัญชาคนนั้นด้วยตนเอง จนมันวาววับ ชนิดใช้ส่องหน้าแทนกระจกได้ แล้วสั่งกำชับว่า “รองเท้าคู่นี้ผู้กำกับเป็นคนขัดให้จนเงาวับ ดังนั้น จึงต้องให้มันเงาวับอยู่อย่างนี้เสมอ” และตั้งแต่นั้น รองเท้าของนายตำรวจคนนั้น ก็เงาวับเสมอมา...
เจอะเจอ “พี่วิดยา” ครั้งล่าสุด เมื่อไม่นานที่ผ่านมา โดยพอรู้มาแล้วว่าพี่จะเกษียณอายุราชการในปีนี้ แต่นึกไม่ถึงว่าจะมาด่วนลาออกในเร็ววัน เมื่อถามหาเหตุผลว่าจะรีบไปไหน ไปทำอะไร จะลงเล่นการเมืองหรือเปล่า พี่แกไม่ตอบ ได้แต่อมยิ้ม แล้วพูดก่อนจะลุกขึ้นจากไปว่า “ถ้าจะโทษ ต้องโทษพ่อพี่ว่ะ เพราะเมื่อ 40 กว่าปีที่แล้ว พ่อพี่ดันไปฝากเรียนหนังสือในห้องเดียวกับคนชื่อ สนธิ ลิ้มทองกุล ว่ะ”....
ถามว่า เสียดายไหม เมื่อ พล.ต.ต.วิทยา ลาออก ตอบตามตรงว่า เสียดาย เพราะไม่บ่อยครั้งนัก ที่เราจะได้เจอะเจอ “ตำรวจ” ที่ตั้งใจทำงานเพื่อความสงบสุขของประชาชน รวมทั้งการดูแลเอาใจใส่ต่อผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการปฏิบัติหน้าที่ และเมื่อถามว่า เสียใจไหม ตอบได้ทันทีเลยว่า ไม่รู้สึกเสียใจเลย เพราะที่ผ่านมา “พล.ต.ต.วิทยา โกสิยะสถิต” ได้ทำหน้าที่ความเป็น “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์” อย่างสมบูรณ์แล้ว...