เชียร เกียรติเมืองตรัง
สำนักงานป้องกันและปราบปราบการทุจริตในภาครัฐหรือ ป.ป.ท. เป็นหน่วยงานใหม่ สังกัดกระทรวงยุติธรรม ที่ตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ.มาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2551 เพื่อใช้ป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐตั้งแต่ระดับ 7 ลงไปหรือเทียบเท่า โดยประกาศใช้เมื่อวันที่ 24 ม.ค. และมีผลบังคับใช้ในวันที่ 25 ม.ค.ที่ผ่านมา
ปัจจุบันนายสุนัย มโนมัยอุดม นั่งเก้าอี้รักษาเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ โดยโอนย้ายจากตำแหน่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เมื่อวันที่ 22 ก.พ.ที่ผ่านมา จนถึงวันนี้ผ่านไปเพียง 20 กว่าวัน ที่เข้ามาประเดิมในตำแหน่งใหม่ ซึ่งนายสุนัยได้กำหนดแนวทางและช่วงเวลาทำงานไว้ดังนี้ คือ ช่วง 1 เดือนแรกที่เข้าทำงาน จะจัดวางระบบโครงสร้างและรายละเอียดการทำงาน ช่วงเดือนที่ 2 จะดำเนินการสรรหาคณะกรรมการป.ป.ท. และ ช่วงเดือนที่ 3 ต้องเร่งรับจัดหาบุคลากรใหม่
นายสุนัย กล่าวว่า ตอนแรกมีเพียงตนคนเดียว ที่ได้รับคำสั่งให้มารักษาการตำแหน่งเลขาฯ ป.ป.ท. จึงต้องเริ่มต้นด้วยการหาบุคลากรมาช่วยทำงาน จัดหาสถานที่ ศึกษากฎหมายระเบียบต่างๆ อีกทั้งยังต้องดำเนินการตามที่พ.ร.บ.กำหนดไว้ ซึ่งมีเยอะมาก เช่น ต้องสรรหาคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ ภายใน 60 วัน นับตั้งแต่พ.ร.บ.บังคับใช้ คือ มีคณะกรรมฯ ทั้งหมด 7 คน ประกอบด้วย ประธานจำนวน 1 คน กรรมการไม่เกิน 5 คน รวมทั้งตำแหน่งเลขาฯ ที่เป็นข้าราชการะดับ 10 อีก 1 ตำแหน่ง สำหรับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของคณะกรรมการที่จะมาดำรงตำแหน่งใกล้เคียงกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เช่น กำหนดไว้ว่าผู้ที่จะเข้ามาเป็นต้องเคยเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลปกครองสูงสุด ผู้พิพากษาศาลฎีกา ข้าราชการที่ตำแหน่งไม่ต่ำกว่าอธิบดี รองอัยการสูงสุด หรือตำแหน่งไม่ต่ำกว่าศาสตราจารย์ โดยคณะรัฐมนตรีจะเป็นผู้เสนอชื่อให้สภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภาให้ความเห็นชอบ ล่าสุดตนได้เสนอรายชื่อคณะกรรมการประมาณ 10 รายชื่อ ไปให้รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมพิจารณาผู้ที่เหมาะสม เพื่อให้คณะรัฐมนตรี( ค.ร.ม.) พิจารณาตามขั้นตอนต่อไป
สำหรับรูปแบบโครงสร้าง ป.ป.ท.มี 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนอำนวยการ ส่วนปฏิบัติการ และส่วนวิชาการ ซึ่งส่วนปฏิบัติการในภูมิภาค แบ่งเป็นสำนักปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ คือ ภาค 1- 7 คล้ายกับโครงสร้างของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) สำหรับขั้นตอนการทำงานของ ป.ป.ท. จะใช้หลักเกณฑ์เดียวกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ป.ป.ช.) โดยรับเรื่องเข้าสู่ระบบการตรวจสอบและรายงานผลจากส่วนภูมิภาคเข้ามายังส่วนกลาง หรือตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นไต่สวน
"ป.ป.ท.เป็นหน่วยงานขึ้นตรงต่อกระทรวงยุติธรรม ทำหน้าที่ตรวจสอบกรณีการทุจริตข้าราชการตั้งแต่ระดับ 7 หรือเทียบเท่าลงมา หากการทุจริตเรื่องใดมีส่วนเกี่ยวพันกับข้าราชการระดับสูง จะส่งเรื่องให้ ป.ป.ช.รับไปดำเนินการได้ทันที"นายสุนัยกล่าวถึงอำนาจหน้าที่ของป.ป.ท.
นายสุนัยยังกล่าวต่อว่า อำนาจหน้าที่สำคัญของ ป.ป.ท. คือ ไต่สวนข้อเท็จจริงและชี้มูลความผิดเกี่ยวกับการกระทำทุจริตในภาครัฐของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งครอบคลุมถึงตำรวจ ทหาร ยศตั้งแต่ พ.ต.ท.และ พ.ท. ลงมาด้วย รวมทั้งพนักงานรัฐวิสาหกิจทั้งหลาย หากเป็นความผิดทางอาญาก็จะสรุปสำนวนพร้อมทั้งความเห็นส่งพนักงานอัยการเพื่อให้ดำเนินคดีทางอาญา ส่วนกรณีความผิดทางวินัยจะส่งเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาลงโทษทางวินัยต่อไป ซึ่งขั้นตอนการไต่สวนข้อเท็จจริงนั้น คณะกรรมการชุดใหญ่ อาจตั้งคณะอนุกรรมการหรือมอบหมายให้พนักงาน หรือเจ้าหน้าที่ของป.ป.ท.ทำการไต่สวนก็ได้
ส่วนสถานที่ตั้งของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐหรือ ป.ป.ท.นั้น นายสุนัยกล่าวว่า ขณะนี้ได้เช่าพื้นที่ ชั้น 25 ของ อาคารสุขประพฤติ ถนนประชาชื่น (เลียบคลองประปา) ซึ่งเดิมเป็นที่ตั้งของกรมสอบสวนคดีพิเศษไปพลางก่อน และเมื่อทุกอย่างเข้าสู่ระบบและได้รับอนุมัติงบประมาณก็จะดำเนินการในส่วนนี้ต่อไป
"เบื้องต้นได้ขออนุมัติงบประมาณไว้ 700 ล้านบาท อัตรากำลังจำนวน 2,308 คน ช่วงปีแรกระหว่างรอการอนุมัติอัตรากำลังจาก ก.พ.นั้น จะรับโอนบุคลากรมาจากหน่วยงานราชการต่างๆ ประมาณ 500 คน รวมกับพนักงานราชการอีก150 คน ซึ่งมีคุณสมบัติจบเนติบัณฑิต และนิติศาสตร์ เบื้องต้นจะประสานไปยังคณะกรรมการข้าราชพลเรือน (ก.พ.) เพื่อขอรับ ผู้สมัครผู้ช่วยผู้พิพากษา ที่สอบไม่ได้ แต่มีคะแนนสูง มาเป็นข้าราชการ ป.ป.ท. เพราะมีคุณสมบัติตามที่ต้องการ จากนั้นจะสอบสัมภาษณ์ และฝึกอบรมการทำสำนวน ขั้นตอนต่างๆจะได้รวดเร็วขึ้น และดำเนินการได้ทันตามที่บทเฉพาะกาลในพ.ร.บ.ดังกล่าวกำหนดไว้ว่าภายใน 120 วัน ป.ป.ท.จะต้องเริ่มทำงานเกี่ยวกับคดีที่ทางหน่วยงานป.ป.ช.จะโอนคดีที่คั่งค้างอยู่ประมาณ 4,000 กว่าคดีมาให้ โดยจะพิจารณาคดีที่กำลังจะขาดอายุความมาดำเนินการก่อน และขณะนี้ได้ส่งเจ้าหน้าที่ป.ป.ท.ไปประสานงานกับป.ป.ช. เพื่อศึกษา ตรวจสอบสำนวนต่างๆ พร้อมทั้งศึกษาระเบียบ คำสั่งที่เห็นว่าป.ป.ช.บังคับใช้แล้วเกิดปัญหาหรืออุปสรรค เพื่อจะได้นำมาปรับใช้อย่างเหมาะสม"
นายสุนัย บอกต่อว่า ขณะนี้ ได้ทำหนังสือขออนุมัติบุคลากรเข้ามาช่วยราชการในหน่วยงานป.ป.ท.แล้วประมาณ 50 กว่าคน เป็นบุคลากรจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ จำนวน 31 คน ที่เหลือเป็นเจ้าหน้าที่จากสำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และ ป.ป.ส. เป็นต้น เพื่อให้มาช่วยกันทำงาน โดยประชุมเพื่อวางแผนการดำเนินงาน พร้อมทั้งแบ่งงานให้แต่ละคนไปรับผิดชอบตามภาระหน้าที่ และให้รายงานความคืบหน้าทุกสัปดาห์ เช่น ฝ่ายงานบุคคล อัตรากำลัง งานยุทธศาสตร์ งบประมาณ ฝึกอบรม พัสดุ อาคารสถานที่ งานข่าว และเทคโนโลยี เป็นต้น ทั้งนี้จะเร่งเสนอให้คณะกรรมการกฤษฎีกาให้ความเห็นชอบ เกี่ยวกับโครงสร้าง อัตรากำลังและงบประมาณต่อไป
เลขาธิการป.ป.ท.ยังกล่าวถึงนายธาริต เพ็งดิษฐ์ และนายพรชัย อัศววัฒนาพร รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่ได้ขอให้มาช่วยราชการที่ป.ป.ท.ด้วยว่า ขณะนี้ การแบ่งงานยังไม่ชัดเจน แต่ได้มอบหมายให้นายธาริต รับผิดชอบเกี่ยวกับการบริหารงานทั่วไป ส่วนนายพรชัยจะรับผิดชอบเกี่ยวกับการฝึกอบรมภายในองค์กรและที่เกี่ยวข้องต่างประเทศ ซึ่งขณะนี้ สำนักงานต้านยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ ( United Nations office on drugs And Crime)หรือ ยูเอ็นโอดีซี ประสงค์ที่จะให้ป.ป.ท.ส่งเจ้าหน้าที่ไปฝึกอบรมความรู้ต่างๆ ด้านการต่อต้านคอรัปชั่น เพื่อในอนาคตจะให้ป.ป.ท.เป็นองค์กรตัวอย่างด้านปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ ของภูมิภาคอาเซียน
"ส่วนกรณีที่ประเทศไทยติดอับดับคอรัปชั่นมากที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจากฟิลิปปินส์ จากรายงานการสำรวจของบริษัทที่ปรึกษาความเสี่ยงทางการเมือง และเศรษฐกิจ (เพิร์ค) นั้น แนวทางแก้ไขที่เป็นไปได้คือ หากมีการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการให้มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลก็จะช่วยให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยดีขึ้นและก็จะส่งผลไปถึงนักการเมืองด้วย เพราะว่า ถ้าเจ้าหน้าที่ข้าราชการไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งที่มิชอบของผู้บังคับบัญชาสูงสุด การทุจริตคอรัปชั่นก็จะทำไม่ได้ หรือถ้าทำเมื่อไหร่ก็จับได้ทุกครั้ง รวมทั้งสามารถขยายผลไปถึงผู้สั่งการได้ อันนี้เป็นแนวความคิดของต่างประเทศ ที่จะทำให้ประเทศไทยปลอดจากคอรัปชั่นได้"อดีตอธิบดีดีเอสไอกล่าวย้ำ
นายสุนัยกล่าวอีกว่า สำนักงานป.ป.ท.จะเปิดรับโอนเรื่องร้องเรียนอย่างเป็นทางการในวันที่ 24 พ.ค.นี้ เนื่องจากต้องเตรียมพร้อมเรื่องระเบียบองค์กร โครงสร้าง และอัตรากำลัง โดยระหว่างนี้ ประชาชนหรือผู้เสียหายสามารถร้องเรียนกับตามชอ่งทางหรือหน่วยงานปกติได้ เช่นหากเป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ ก็สามารถร้องเรียนกับพนักงานสอบสวนได้ ถ้าเป็นความประพฤติผิดทางวินัยก็สามารถร้องหน่วยงานต้นสังกัดให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยได้ ทั้งนี้ บุคลากรที่มาทำงานกับป.ป.ท.จะพยายามคัดเลือกเฉพาะบุคคลที่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ มีผลงานชัดเจน มีความรู้ความสามารถและตั้งใจที่จะมาทำงาน โดยอาจให้ผู้บังคับบัญชาหรือผู้ใกล้ชัดรับรองความประพฤติ
สุดท้ายนายสุนัยได้ตั้งความคาดหวังต่อหน่วยงานป.ป.ท.ไว้ว่า จะพยายามวางความสำคัญเรื่องของความซื่อสัตย์ สุจริตไว้เป็นอันดับแรก รวมทั้งความเป็นกลางไม่สามารถแทรกแซงได้ เพราะหากหน่วยงานถูกแทรกแซงก็จะไม่สามารถให้ความเป็นธรรมกับใครได้ ซึ่งป.ป.ท.ถือเป็นองค์กรหนึ่งในกระบวนการยุติธรรม ที่เป็นต้นน้ำของกระบวนการยุติธรรม หากปล่อยให้มีการแทรกแซงได้ ก็เปรียบเสมือน ต้นน้ำเมื่อไม่สะอาด สกปรกเสียแล้ว กระบวนการยุติธรรมก็ย่อมบิดเบือน เบี่ยงเบน บิดเบี้ยว ไม่มีวันสะอาดได้ ส่งผลให้กระบวนการยุติธรรมไม่เป็นไปตามที่ควรจะเป็น ดังนั้น จึงต้องพยายามสร้างกฎเกณฑ์ ระเบียบ วินัย ทั้งหลายทั้งปวงให้งานดำเนินไปโดยโปร่งใส ตรวจสอบได้ สำคัญที่สุดต้องคัดเลือกคนดีๆ ที่เสียสละ ทำงานเพื่อประชาชนและประเทศชาติ เข้ามาทำงาน
สำนักงานป้องกันและปราบปราบการทุจริตในภาครัฐหรือ ป.ป.ท. เป็นหน่วยงานใหม่ สังกัดกระทรวงยุติธรรม ที่ตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ.มาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2551 เพื่อใช้ป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐตั้งแต่ระดับ 7 ลงไปหรือเทียบเท่า โดยประกาศใช้เมื่อวันที่ 24 ม.ค. และมีผลบังคับใช้ในวันที่ 25 ม.ค.ที่ผ่านมา
ปัจจุบันนายสุนัย มโนมัยอุดม นั่งเก้าอี้รักษาเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ โดยโอนย้ายจากตำแหน่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เมื่อวันที่ 22 ก.พ.ที่ผ่านมา จนถึงวันนี้ผ่านไปเพียง 20 กว่าวัน ที่เข้ามาประเดิมในตำแหน่งใหม่ ซึ่งนายสุนัยได้กำหนดแนวทางและช่วงเวลาทำงานไว้ดังนี้ คือ ช่วง 1 เดือนแรกที่เข้าทำงาน จะจัดวางระบบโครงสร้างและรายละเอียดการทำงาน ช่วงเดือนที่ 2 จะดำเนินการสรรหาคณะกรรมการป.ป.ท. และ ช่วงเดือนที่ 3 ต้องเร่งรับจัดหาบุคลากรใหม่
นายสุนัย กล่าวว่า ตอนแรกมีเพียงตนคนเดียว ที่ได้รับคำสั่งให้มารักษาการตำแหน่งเลขาฯ ป.ป.ท. จึงต้องเริ่มต้นด้วยการหาบุคลากรมาช่วยทำงาน จัดหาสถานที่ ศึกษากฎหมายระเบียบต่างๆ อีกทั้งยังต้องดำเนินการตามที่พ.ร.บ.กำหนดไว้ ซึ่งมีเยอะมาก เช่น ต้องสรรหาคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ ภายใน 60 วัน นับตั้งแต่พ.ร.บ.บังคับใช้ คือ มีคณะกรรมฯ ทั้งหมด 7 คน ประกอบด้วย ประธานจำนวน 1 คน กรรมการไม่เกิน 5 คน รวมทั้งตำแหน่งเลขาฯ ที่เป็นข้าราชการะดับ 10 อีก 1 ตำแหน่ง สำหรับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของคณะกรรมการที่จะมาดำรงตำแหน่งใกล้เคียงกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เช่น กำหนดไว้ว่าผู้ที่จะเข้ามาเป็นต้องเคยเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลปกครองสูงสุด ผู้พิพากษาศาลฎีกา ข้าราชการที่ตำแหน่งไม่ต่ำกว่าอธิบดี รองอัยการสูงสุด หรือตำแหน่งไม่ต่ำกว่าศาสตราจารย์ โดยคณะรัฐมนตรีจะเป็นผู้เสนอชื่อให้สภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภาให้ความเห็นชอบ ล่าสุดตนได้เสนอรายชื่อคณะกรรมการประมาณ 10 รายชื่อ ไปให้รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมพิจารณาผู้ที่เหมาะสม เพื่อให้คณะรัฐมนตรี( ค.ร.ม.) พิจารณาตามขั้นตอนต่อไป
สำหรับรูปแบบโครงสร้าง ป.ป.ท.มี 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนอำนวยการ ส่วนปฏิบัติการ และส่วนวิชาการ ซึ่งส่วนปฏิบัติการในภูมิภาค แบ่งเป็นสำนักปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ คือ ภาค 1- 7 คล้ายกับโครงสร้างของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) สำหรับขั้นตอนการทำงานของ ป.ป.ท. จะใช้หลักเกณฑ์เดียวกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ป.ป.ช.) โดยรับเรื่องเข้าสู่ระบบการตรวจสอบและรายงานผลจากส่วนภูมิภาคเข้ามายังส่วนกลาง หรือตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นไต่สวน
"ป.ป.ท.เป็นหน่วยงานขึ้นตรงต่อกระทรวงยุติธรรม ทำหน้าที่ตรวจสอบกรณีการทุจริตข้าราชการตั้งแต่ระดับ 7 หรือเทียบเท่าลงมา หากการทุจริตเรื่องใดมีส่วนเกี่ยวพันกับข้าราชการระดับสูง จะส่งเรื่องให้ ป.ป.ช.รับไปดำเนินการได้ทันที"นายสุนัยกล่าวถึงอำนาจหน้าที่ของป.ป.ท.
นายสุนัยยังกล่าวต่อว่า อำนาจหน้าที่สำคัญของ ป.ป.ท. คือ ไต่สวนข้อเท็จจริงและชี้มูลความผิดเกี่ยวกับการกระทำทุจริตในภาครัฐของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งครอบคลุมถึงตำรวจ ทหาร ยศตั้งแต่ พ.ต.ท.และ พ.ท. ลงมาด้วย รวมทั้งพนักงานรัฐวิสาหกิจทั้งหลาย หากเป็นความผิดทางอาญาก็จะสรุปสำนวนพร้อมทั้งความเห็นส่งพนักงานอัยการเพื่อให้ดำเนินคดีทางอาญา ส่วนกรณีความผิดทางวินัยจะส่งเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาลงโทษทางวินัยต่อไป ซึ่งขั้นตอนการไต่สวนข้อเท็จจริงนั้น คณะกรรมการชุดใหญ่ อาจตั้งคณะอนุกรรมการหรือมอบหมายให้พนักงาน หรือเจ้าหน้าที่ของป.ป.ท.ทำการไต่สวนก็ได้
ส่วนสถานที่ตั้งของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐหรือ ป.ป.ท.นั้น นายสุนัยกล่าวว่า ขณะนี้ได้เช่าพื้นที่ ชั้น 25 ของ อาคารสุขประพฤติ ถนนประชาชื่น (เลียบคลองประปา) ซึ่งเดิมเป็นที่ตั้งของกรมสอบสวนคดีพิเศษไปพลางก่อน และเมื่อทุกอย่างเข้าสู่ระบบและได้รับอนุมัติงบประมาณก็จะดำเนินการในส่วนนี้ต่อไป
"เบื้องต้นได้ขออนุมัติงบประมาณไว้ 700 ล้านบาท อัตรากำลังจำนวน 2,308 คน ช่วงปีแรกระหว่างรอการอนุมัติอัตรากำลังจาก ก.พ.นั้น จะรับโอนบุคลากรมาจากหน่วยงานราชการต่างๆ ประมาณ 500 คน รวมกับพนักงานราชการอีก150 คน ซึ่งมีคุณสมบัติจบเนติบัณฑิต และนิติศาสตร์ เบื้องต้นจะประสานไปยังคณะกรรมการข้าราชพลเรือน (ก.พ.) เพื่อขอรับ ผู้สมัครผู้ช่วยผู้พิพากษา ที่สอบไม่ได้ แต่มีคะแนนสูง มาเป็นข้าราชการ ป.ป.ท. เพราะมีคุณสมบัติตามที่ต้องการ จากนั้นจะสอบสัมภาษณ์ และฝึกอบรมการทำสำนวน ขั้นตอนต่างๆจะได้รวดเร็วขึ้น และดำเนินการได้ทันตามที่บทเฉพาะกาลในพ.ร.บ.ดังกล่าวกำหนดไว้ว่าภายใน 120 วัน ป.ป.ท.จะต้องเริ่มทำงานเกี่ยวกับคดีที่ทางหน่วยงานป.ป.ช.จะโอนคดีที่คั่งค้างอยู่ประมาณ 4,000 กว่าคดีมาให้ โดยจะพิจารณาคดีที่กำลังจะขาดอายุความมาดำเนินการก่อน และขณะนี้ได้ส่งเจ้าหน้าที่ป.ป.ท.ไปประสานงานกับป.ป.ช. เพื่อศึกษา ตรวจสอบสำนวนต่างๆ พร้อมทั้งศึกษาระเบียบ คำสั่งที่เห็นว่าป.ป.ช.บังคับใช้แล้วเกิดปัญหาหรืออุปสรรค เพื่อจะได้นำมาปรับใช้อย่างเหมาะสม"
นายสุนัย บอกต่อว่า ขณะนี้ ได้ทำหนังสือขออนุมัติบุคลากรเข้ามาช่วยราชการในหน่วยงานป.ป.ท.แล้วประมาณ 50 กว่าคน เป็นบุคลากรจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ จำนวน 31 คน ที่เหลือเป็นเจ้าหน้าที่จากสำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และ ป.ป.ส. เป็นต้น เพื่อให้มาช่วยกันทำงาน โดยประชุมเพื่อวางแผนการดำเนินงาน พร้อมทั้งแบ่งงานให้แต่ละคนไปรับผิดชอบตามภาระหน้าที่ และให้รายงานความคืบหน้าทุกสัปดาห์ เช่น ฝ่ายงานบุคคล อัตรากำลัง งานยุทธศาสตร์ งบประมาณ ฝึกอบรม พัสดุ อาคารสถานที่ งานข่าว และเทคโนโลยี เป็นต้น ทั้งนี้จะเร่งเสนอให้คณะกรรมการกฤษฎีกาให้ความเห็นชอบ เกี่ยวกับโครงสร้าง อัตรากำลังและงบประมาณต่อไป
เลขาธิการป.ป.ท.ยังกล่าวถึงนายธาริต เพ็งดิษฐ์ และนายพรชัย อัศววัฒนาพร รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่ได้ขอให้มาช่วยราชการที่ป.ป.ท.ด้วยว่า ขณะนี้ การแบ่งงานยังไม่ชัดเจน แต่ได้มอบหมายให้นายธาริต รับผิดชอบเกี่ยวกับการบริหารงานทั่วไป ส่วนนายพรชัยจะรับผิดชอบเกี่ยวกับการฝึกอบรมภายในองค์กรและที่เกี่ยวข้องต่างประเทศ ซึ่งขณะนี้ สำนักงานต้านยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ ( United Nations office on drugs And Crime)หรือ ยูเอ็นโอดีซี ประสงค์ที่จะให้ป.ป.ท.ส่งเจ้าหน้าที่ไปฝึกอบรมความรู้ต่างๆ ด้านการต่อต้านคอรัปชั่น เพื่อในอนาคตจะให้ป.ป.ท.เป็นองค์กรตัวอย่างด้านปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ ของภูมิภาคอาเซียน
"ส่วนกรณีที่ประเทศไทยติดอับดับคอรัปชั่นมากที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจากฟิลิปปินส์ จากรายงานการสำรวจของบริษัทที่ปรึกษาความเสี่ยงทางการเมือง และเศรษฐกิจ (เพิร์ค) นั้น แนวทางแก้ไขที่เป็นไปได้คือ หากมีการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการให้มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลก็จะช่วยให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยดีขึ้นและก็จะส่งผลไปถึงนักการเมืองด้วย เพราะว่า ถ้าเจ้าหน้าที่ข้าราชการไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งที่มิชอบของผู้บังคับบัญชาสูงสุด การทุจริตคอรัปชั่นก็จะทำไม่ได้ หรือถ้าทำเมื่อไหร่ก็จับได้ทุกครั้ง รวมทั้งสามารถขยายผลไปถึงผู้สั่งการได้ อันนี้เป็นแนวความคิดของต่างประเทศ ที่จะทำให้ประเทศไทยปลอดจากคอรัปชั่นได้"อดีตอธิบดีดีเอสไอกล่าวย้ำ
นายสุนัยกล่าวอีกว่า สำนักงานป.ป.ท.จะเปิดรับโอนเรื่องร้องเรียนอย่างเป็นทางการในวันที่ 24 พ.ค.นี้ เนื่องจากต้องเตรียมพร้อมเรื่องระเบียบองค์กร โครงสร้าง และอัตรากำลัง โดยระหว่างนี้ ประชาชนหรือผู้เสียหายสามารถร้องเรียนกับตามชอ่งทางหรือหน่วยงานปกติได้ เช่นหากเป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ ก็สามารถร้องเรียนกับพนักงานสอบสวนได้ ถ้าเป็นความประพฤติผิดทางวินัยก็สามารถร้องหน่วยงานต้นสังกัดให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยได้ ทั้งนี้ บุคลากรที่มาทำงานกับป.ป.ท.จะพยายามคัดเลือกเฉพาะบุคคลที่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ มีผลงานชัดเจน มีความรู้ความสามารถและตั้งใจที่จะมาทำงาน โดยอาจให้ผู้บังคับบัญชาหรือผู้ใกล้ชัดรับรองความประพฤติ
สุดท้ายนายสุนัยได้ตั้งความคาดหวังต่อหน่วยงานป.ป.ท.ไว้ว่า จะพยายามวางความสำคัญเรื่องของความซื่อสัตย์ สุจริตไว้เป็นอันดับแรก รวมทั้งความเป็นกลางไม่สามารถแทรกแซงได้ เพราะหากหน่วยงานถูกแทรกแซงก็จะไม่สามารถให้ความเป็นธรรมกับใครได้ ซึ่งป.ป.ท.ถือเป็นองค์กรหนึ่งในกระบวนการยุติธรรม ที่เป็นต้นน้ำของกระบวนการยุติธรรม หากปล่อยให้มีการแทรกแซงได้ ก็เปรียบเสมือน ต้นน้ำเมื่อไม่สะอาด สกปรกเสียแล้ว กระบวนการยุติธรรมก็ย่อมบิดเบือน เบี่ยงเบน บิดเบี้ยว ไม่มีวันสะอาดได้ ส่งผลให้กระบวนการยุติธรรมไม่เป็นไปตามที่ควรจะเป็น ดังนั้น จึงต้องพยายามสร้างกฎเกณฑ์ ระเบียบ วินัย ทั้งหลายทั้งปวงให้งานดำเนินไปโดยโปร่งใส ตรวจสอบได้ สำคัญที่สุดต้องคัดเลือกคนดีๆ ที่เสียสละ ทำงานเพื่อประชาชนและประเทศชาติ เข้ามาทำงาน
