xs
xsm
sm
md
lg

ประสบการณ์ (เกือบ) 1 เดือน “รถเมล์ไร้เงินสด” ขสมก.

เผยแพร่:   โดย: กิตตินันท์ นาคทอง


กิตตินันท์ นาคทอง Facebook.com/kittinanlive

หลังจากที่องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ร่วมกับธนาคารกรุงไทย ขยายโครงการรับชำระค่าโดยสารแบบไร้เงินสดบนรถโดยสารของ ขสมก.ทุกคัน รวมกว่า 3,000 คัน ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 ดูเหมือนว่ายังคงขลุกขลักพอสมควร

หากยังจำกันได้ ก่อนหน้านี้เราเคยรีวิว “บัตร ขสมก.คอนแทคเลส พรีเพด” มาตั้งแต่ ขสมก. ทดสอบการชำระค่าโดยสารโดยไม่รับเงินสด นำร่องสาย 510 ม.ธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน 2562

กระทั่ง ขสมก. นำมาใช้จริงกับรถเมล์ทุกคัน ทีแรกมีคนดรามากันใหญ่ เพราะเข้าใจว่า รถเมล์ ขสมก. จะไม่รับเงินสด ภายหลังพบว่าเป็นเพียงทางเลือกหนึ่งในการจ่ายค่ารถเมล์เท่านั้น

ใครสะดวกใช้เงินสดเหมือนเดิมก็ใช้ไป ใครมีบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ก็ใช้บัตรแตะที่เครื่องเพื่อจ่ายเพียงแค่นั้น

นอกจากบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ ขสมก. แล้ว บัตรเครดิตและบัตรเดบิตที่มีสัญลักษณ์คอนแทคเลส เช่น VISA PayWave ยังชำระค่าโดยสาร ขสมก. ได้ โดยรายการใช้จ่ายจะระบุว่า “BMTA ZONE … GRO” (ตามเขตการเดินรถที่ 1-8)

แต่ก็กลัวว่าระบบจะไม่เสถียร ตัดสินใจใช้บัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ ขสมก. อย่างเดียวไปเลยดีกว่า



สำหรับคนที่ใช้บัตรโดยสารล่วงหน้ารายสัปดาห์และรายเดือนเป็นบัตรกระดาษ ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นบัตรโดยสารล่วงหน้าอิเล็กทรอนิกส์แบบบัตรแข็งแล้ว ซื้อบัตรเพียงครั้งเดียว แล้วเติมเงินตามรอบผ่านช่องทางต่างๆ เพื่อใช้งาน

ระบบนี้ดีกว่าบัตรโดยสารล่วงหน้าแบบกระดาษ เพราะจะต้องถูกพนักงานเก็บค่าโดยสารนำบัตรไปตรวจสอบที่เครื่อง EDC ทุกครั้ง ต่างจากเมื่อก่อนมีคนปลอมแปลงบัตรโดยสารล่วงหน้าแบบกระดาษเพื่อขึ้นรถเมล์ฟรี ซึ่งมีคนทำแบบนี้หลายราย

ที่เห็นแล้วสงสารก็คือ “พนักงานเก็บค่าโดยสาร” เพราะเครื่อง EDC ที่ธนาคารกรุงไทยให้ ขสมก. กว่า 3,000 เครื่องมาตั้งแต่ต้นปี มีขนาดใหญ่เทอะทะและหนักมาก ต้องหิ้วสะพายคู่กับถือกระบอกตั๋วตลอดทั้งวัน การทำงานไม่สะดวก

ยิ่งพนักงานที่เจอ อายุอานามไม่ใช่น้อยๆ นึกเป็นห่วงว่า หากไม่คิดจะเปลี่ยนเครื่อง EDC ออกแบบให้มีขนาดกะทัดรัด มีน้ำหนักเบากว่านี้ ใช้งานได้ยาวนาน เกรงว่าจะเกิดปัญหาสุขภาพ เช่น อาการกระดูกสันหลังคดเสียก่อน

ครั้นจะให้เป็นระบบ e-Ticket ติดตั้งเครื่องแตะบัตรแบบคราวที่แล้ว ซึ่ง ขสมก.ยกเลิกสัญญาไป ก็อาจจะต้องเจอ “คนหัวหมอ” ทำเนียนไม่แตะบัตรอีก ทั้งที่การหลีกเลี่ยงไม่ชำระค่าโดยสาร ถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย

การมีพนักงานเก็บค่าโดยสารถือว่ามีประโยชน์ ในยามที่สังคมไทยทุกวันนี้มีแต่คนเห็นแก่ตัวมากขึ้น



ผลสำรวจจาก “กรุงเทพโพลล์” ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ น่าสังเกตว่า คนกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่เกินครึ่งทราบว่า ขสมก. เริ่มรับชำระค่ารถเมล์แบบไร้เงินสดเต็มรูปแบบทุกคัน ส่วนมากทราบจากข่าวผ่านสื่อหลักและสื่อโซเชียล

แต่ส่วนใหญ่เกือบ 90% ยังคงจ่ายค่ารถเมล์ด้วยเงินสด มีเพียง 5% ที่ใช้บัตรโดยสารล่วงหน้าอิเล็กทรอนิกส์ ที่เปลี่ยนมาจากบัตรโดยสารล่วงหน้าแบบกระดาษ ส่วนคนที่ใช้บัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ (E-Ticket) เพียง 1.4% เท่านั้น

แม้ความเห็นจากผลสำรวจส่วนใหญ่มองว่าสะดวก ไม่ต้องพกเหรียญหรือหาเหรียญไว้จ่ายค่ารถเมล์ แต่ส่วนใหญ่กังวลระบบล่ม สัญญาณมีปัญหาขณะเก็บเงิน รวมทั้งคนยังไม่ค่อยเข้าใจวิธีใช้งาน โดยเฉพาะผู้สูงอายุ

อีกทั้งยังมองว่า พนักงานเก็บเงิน หรือ “กระเป๋ารถเมล์” ยังคงมีความจำเป็นสำหรับสังคมไทย

อ่านประกอบ : คนกรุงเกินครึ่งเล็กน้อยรู้รถเมล์รับค่าโดยสารแบบ“ไร้เงินสด” หวั่นระบบล่ม/สัญญาณหาย

คนที่ชำระค่าโดยสารแบบไร้เงินสด อาจมีประสบการณ์แตกต่างกัน แต่สำหรับผู้เขียน ในรอบเกือบ 1 เดือนที่ผ่านมา ตัดสินใจใช้บัตรโดยสารอิเล็กรอนิกส์ ที่ซื้อมาตั้งแต่นำร่องสาย 510 มาใช้แทนเงินสด เพราะอยากจะพิสูจน์จริงว่าเป็นอย่างไร

สัปดาห์แรกที่นำบัตรมาใช้ พบว่าพนักงานส่วนหนึ่งเข้าใจการชำระเงินผ่านเครื่อง EDC เพราะโดยปกติจะรับชำระค่าโดยสารผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่รัฐบาลให้วงเงินค่าโดยสารรถเมล์ และรถไฟฟ้า 500 บาทต่อเดือนอยู่แล้ว

แต่บางสายพบว่าเครื่อง EDC ยังไม่อัพเกรดซอฟท์แวร์ พอยื่นบัตรจ่ายค่ารถเมล์ พนักงานบอกว่าใช้ไม่ได้ บางคนใจดีบอกว่า “ไม่ต้องจ่าย เพราะเป็นความผิดขององค์การฯ” เราต้องคะยั้นคะยอขอจ่ายเงินสดเพราะไม่อยากให้พนักงานขาดรายได้

ผ่านไปประมาณ 2 สัปดาห์ เครื่อง EDC ถึงทยอยอัพเกรดซอฟท์แวร์จนครบทุกคัน

ปัญหาต่อมาคือ สับสนว่าเมื่อไหร่จะได้จ่าย ปกติพนักงานเก็บค่าโดยสารหลายคนเดินถือกระบอกรถเมล์ด้วย สะพายเครื่อง EDC ไปด้วยก็ไม่เท่าไหร่ ซึ่งก็แอบสงสารเหมือนกันเพราะเครื่องที่ธนาคารกรุงไทยให้มามีขนาดที่ใหญ่มาก

แต่ถ้าพนักงานนำเครื่อง EDC ไว้ที่หน้ารถ เราต้องรอพนักงานเก็บค่าโดยสารคนอื่นด้วยเงินสดให้หมดก่อน ตอนนั้นเรากังวลเสียเองว่า เราจะกลายเป็นว่าชักดาบค่าโดยสาร (โดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ) หรือเปล่า?

ผ่านไปสักพัก พนักงานถึงหยิบเครื่อง EDC จากหน้ารถ ไล่แตะบัตรผู้โดยสารทีละคน รวมทั้งผู้เขียนจนครบ เราต้องคอยบอกพนักงานว่าขึ้นมาจากไหน เพื่อให้พนักงานคิดค่าโดยสารให้ถูกต้องตามระยะทาง

อีกปัญหาหนึ่งที่อยากจะฝากไปถึงธนาคารกรุงไทยก็คือ เมื่อไหร่จะสามารถเช็กยอดเงินคงเหลือในบัตรผ่านมือถือ แอปพลิเคชัน หรือช่องทางออนไลน์ โดยพัฒนาระบบบริการตัวเอง (Self service) ให้ผู้ใช้บัตรสะดวกมากขึ้นกว่านี้

ทุกวันนี้เวลาจะเช็กยอดมีแค่สองวิธี คือ พนักงานเก็บค่าโดยสารต้องคอยบอกว่าเหลือกี่บาท ซึ่งหลายคนก็ไม่ค่อยจะบอก กับเอาบัตรไปให้ธนาคารกรุงไทยลงทะเบียนเพื่อขอรับรหัสผ่าน 6 หลัก นำไปเช็กยอดผ่านตู้เอทีเอ็มกรุงไทยซึ่งยุ่งยาก

ต่อให้อ้างว่ามีตู้เอทีเอ็มกรุงไทยนับพันเครื่องทั่วประเทศ แต่ก็ต้องค้นหาตู้เอทีเอ็ม เสียเวลาทำรายการอยู่ดี

แอปพลิเคชัน “Krungthai NEXT” มีเพียงแค่บริการด้านบัตรเดบิต บัตรเอทีเอ็ม และบัตรกรุงไทย TRAVEL CARD เท่านั้น แต่บัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งบัตร E-Money เช่น กรุงไทยพร้อมจ่าย ไม่สามารถเพิ่มเข้าไปในแอปพลิเคชันได้

ส่วนการเติมเงินลงในบัตร แม้จะมีพร้อมเพย์คิวอาร์โค้ด (PromptPay QR Code) อยู่ด้านหลังบัตร แต่เวลาเติมเงินก็ต้องหยิบบัตรขึ้นมาสแกน จะเติมเงินผ่านแอปพลิเคชันโดยตรงแบบไม่ต้องควักบัตรออกมาก็ทำไม่ได้

เปรียบเทียบกับแอปพลิเคชัน SCB EASY ธนาคารไทยพาณิชย์ ในหน้ารวมบัญชี นอกจากจะมีเมนูบัตรเดบิตและบัตรเอทีเอ็มแล้ว ยังมีเมนูบัตรเติมเงิน ที่สามารถเช็กยอดได้ทั้งบัตร SCB M PREPAID และบัตร PLANET SCB

ที่เหลือเชื่อก็คือ ตอนที่นำบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ ขสมก. ไปสแกนคิวอาร์โค้ดที่แอปฯ SCB EASY เพิ่อเติมเงิน ยังสามารถ “กดติดดาว” หลังเติมเงินเพื่อบันทึกรายการโปรด ไว้เติมเงินลงในบัตรครั้งต่อไปผ่านเมนู “จ่ายบิล” ได้อีกด้วย
(สำหรับผู้ใช้ SCB EASY) วิธีบันทึกเติมเงินบัตร ขสมก. เป็นรายการโปรด
ธนาคารกรุงไทยน่าจะใช้แอปฯ “Krungthai NEXT” หรือ “เป๋าตัง” ที่ผูกกับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ กับกองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) มาต่อยอดกับบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ ขสมก. ไม่จำเป็นต้องพัฒนาแอปพลิเคชันใหม่ให้ยุ่งยากโดยใช่เหตุ

เวลาที่แต่ละค่ายเปิดตัวแอปพลิเคชันทีไร คิดในใจว่า บริการต่างๆ รวมอยู่ในแอปฯ เดียวกันไม่ได้หรือไง จะออกแอปฯ อะไรอีกเยอะแยะ หนักเครื่องชิบหาย ไม่สงสารคนที่ใช้มือถือสเปกต่ำ ประเภท RAM 1 GB, ROM 8 GB ราคาถูกบ้างเลยหรือ?

ส่วนปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้นก็คือ เป็นที่ทราบกันดีว่ารถร่วมบริการ ใช้บัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ ขสมก. ไม่ได้ ปรากฎว่ามีผู้ประกอบการเดินรถรายใหม่ คือ “สมาร์ทบัส” ใช้รถโดยสารสีฟ้า คล้ายกับรถเอ็นจีวีของ ขสมก. อีกต่างหาก

เหตุที่สีรถคล้ายกัน เพราะเป็นรถที่ซื้อมาจากบริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป ซึ่งเคยชนะประมูลโครงการรถเมล์เอ็นจีวีของ ขสมก. มาก่อน แต่ถูกบอกเลิกสัญญา เพราะมีปัญหาการนำเข้ากับทางกรมศุลกากรจนส่งมอบรถไม่ทัน

ปัจจุบัน “สมาร์ทบัส” นำรถเข้ามาให้บริการบางเส้นทาง เช่น สาย 104 ปากเกร็ด-หมอชิต 2, สาย 150 ปากเกร็ด-บางกะปิ, สาย 52 ปากเกร็ด-บางซื่อ, สาย 147 วงกลมเคหะธนบุรี-บางแค และสาย 167 เคหะธนบุรี-สถานีรถไฟฟ้าลุมพินี

คนที่สับสนกับสีรถเมล์แล้วรีบขึ้นโดยไม่ทันสังเกต พอทราบว่าเป็นรถร่วมบริการ ก็ใช้บัตรไม่ได้ตามระเบียบ

อย่างไรก็ตาม จากการใช้บัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ ขสมก. มาเกือบ 1 เดือน รู้สึกว่าสะดวกรวดเร็ว เพราะไม่ต้องควักเหรียญขึ้นมาจ่าย ไม่ต้องจ่ายธนบัตรแล้วรับเงินทอนเป็นเหรียญให้หนัก ไม่ต้องพกเงินสดในกระเป๋าสตางค์จำนวนมาก

ทุกวันนี้เวลาเดินทางในกรุงเทพฯ จะใช้สารพัดบัตรแตะแล้วจ่ายแทนเงินสด ทั้งบัตรแรบบิท บัตรเอ็มอาร์ที บัตรแอร์พอร์ตลิงก์ บัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ ขสมก. จะมีก็แต่เรือโดยสาร แท็กซี่ และมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่ยังต้องจ่ายเงินสด

การผลักดันระบบชำระค่าโดยสารแบบไร้เงินสดของ ขสมก. ร่วมกับธนาคารกรุงไทย ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ไม่ใช่แค่เพียงก้าวสู่สังคมไร้เงินสดตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 แต่ผู้ใช้ยังสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ สะดวกสบายและปลอดภัย

เพียงแต่ว่ายังมีคนกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่เคยชินกับการจ่ายค่ารถเมล์ด้วยเงินสด ซึ่งต้องใช้เวลาและสิ่งจูงใจในการเปลี่ยนพฤติกรรม ขึ้นอยู่กับว่าทั้งสองหน่วยงานอย่าง ขสมก. และธนาคารกรุงไทยจะขับเคลื่อนต่อไปอย่างไร
กำลังโหลดความคิดเห็น