xs
xsm
sm
md
lg

Alone in Gifu ๑.๑ : ตะลุย หมู่บ้านชาวฮิดะ Hida no sato

เผยแพร่:   โดย: ดรงค์ ฤทธิปัญญา

ความเดิมตอนที่แล้ว อ่าน
Alone in Gifu ๑.๐ : กว่าจะถึงทาคะยะมะ ...

๒๖ มีนาคม ๒๕๕๙ : สถานีรถไฟทาคะยะมะ จ.กิฟุ

ผมกลับมาตั้งต้นที่สถานีรถไฟอีกครั้ง เพื่อจะเดินไปยังที่พักที่ผมจะได้อาศัยซุกหัวนอนในคืนนี้ ซึ่งก็ห่างไกลจากจุดนี้ราวๆ ๑.๕ กิโลเมตร ... โอ้ว... และแน่นอน สิ่งที่ผมนิยมที่สุดในการเดินทางก็คือ เดิน เดิน เดิน แบกสัมภาระไปเรื่อยๆ ตามเส้นทางจากถนนหน้าสถานีมุ่งตรงไปสู่สามแยกถนนใหญ่ ชิระคะวะ แล้วเลี้ยวขวา ตรงไปเรื่อยๆ ข้ามสี่แยกตรงไปอีกสักพัก จะเจอป้ายหมู่บ้านเทดดี้แบร์ (Teddy bear eco village) ก็เลี้ยวซ้ายไปตามทาง ตรงไปเรื่อยๆ ก็ถึงที่พักในวันนี้ อยู่ซอยด้านหลังหมู่บ้านหมีนี่เอง ชื่อว่า “เรียวกัง มุระยะมะ” (Ryokan Murayama)

เดี๋ยวเราค่อยมาว่าเรื่องเรียวกังครับ ตอนนี้เช็กอิน เอากระเป๋าไปเก็บ แล้วก็รีบจ้ำไปยังสถานที่สำคัญอีกแห่งในบริเวณนี้ดีกว่า ที่นั่นก็คือ “หมู่บ้านพื้นเมืองชาวฮิดะ” (Hida no sato) อันที่จริงก็อยู่ไม่ไกลจากที่พักเท่าไหร่ เดินมา ๕ นาทีก็ถึง แต่ต้องรีบมาเพราะตอนนี้บ่ายสามโมงครึ่ง ใกล้จะถึงเวลาที่เขาปิดทำการแล้ว โดยที่นี่ เปิดตั้งแต่ประมาณ ๘.๓๐ – ๑๗.๐๐ น. เท่ากับตอนนี้มีเวลาเที่ยวชมเพียงแค่ ๑ ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น!!!

ส่วนคำว่า ฮิดะ (Hida) ถ้าเป็นพวกนักชิมก็ต้องนึกถึงเนื้อวัวพันธุ์ดีแสนอร่อยอีก ๑ ชนิดของญี่ปุ่น แต่สำหรับทางประวัติศาสตร์แล้ว แต่เดิมในบริเวณนี้ เป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดฮิดะ ซึ่งรวมทั้งเมืองเกะโระ (Gero) เมืองฮิดะ หมู่บ้านชิระคะวะ โกะ (Shirakawa go) และตำบลโอะโนะ ต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองให้เป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดกิฟุ แทน แต่ในปัจจุบันก็ยังใช้เรียกพื้นที่เหล่านี้อย่างไม่เป็นทางการว่าภูมิภาคฮิดะอยู่เช่นเดิม

หมู่บ้านนี้ ... แหม่ ไม่อยากเรียกว่าหมู่บ้านเลย เพราะแต่ละหลังก็ไม่ได้มีคนอาศัยอยู่จริง ผมขอเรียกเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งแล้วกัน ที่นี่ต้องเสียค่าบัตรผ่านประตูคนละ ๗๐๐ เยน ตามข้อมูลบอกว่า มีบ้านเก่าๆ อยู่ราว ๓๐ หลัง เป็นบ้านที่สร้างด้วยไม้ และบางบ้านก็มุงหลังคาสไตล์ กัสโช ซุคุริ (gassho-zukuri) คือมุงด้วย เศษไม้ และ ฟางข้าว ทรงคล้ายกับรูปพนมมือ ซึ่งเป็นที่นิยมกันในแถบนี้ บ้านเหล่านี้ถูกขนย้ายจากที่ตั้งเก่ามาที่นี่เพื่อสร้างพิพิธภัณฑ์ ก่อนจะเปิดทำการเมื่อ พ.ศ.๒๕๑๔

พอเสียค่าเข้าผ่านประตูมาสิ่งแรกที่จะได้เห็นก็คือ สระน้ำขนาดใหญ่อยู่ตรงด้านหน้า มีบ้านชาวนาแบบโบราณตั้งปะปนกันบนเชิงเขา มันก็สวยงามเลยทีเดียว สระนี้ชื่อว่า โกอะมิ (Goami pond) ตรงนี้มีป้ายระบุถึงพื้นที่นี้ บอกเล่าว่าบนภูเขาลูกนี้ชื่อว่า มัตสึคุระ (Matsukura) บนยอดของภูเขาเคยเป็นที่ตั้งของปราสาทมัตสึคุระ ที่ถูกสร้างโดยตระกูลมิตสึกิ (Mitsuki) ในปี ๒๑๒๒ ใช้เป็นปราสาทที่พำนักในช่วงฤดูร้อน แต่ต่อมาใน พ.ศ.๒๑๒๘ ฮิเดะโยะชิ โทโยโทมิ ผู้ครองญี่ปุ่นได้สั่งการให้ขุนพลซามุไรนามว่า นะงะจิกะ คะนะโมะริ (Kanamori Nagachika) นำกำลังไปตีเมืองทาคะยะมะ จนสามารถยึดครองปราสาทนี้ได้ แต่ทว่าบ่าวตระกูลมิตสึคิ ที่ชื่อ ชินโซะ ฟุจิเซะ (Fujise Shinzo) กลับทรยศเจ้านายด้วยการเผาทิ้งเสีย ปัจจุบันยังเห็นร่องรอยซากปราสาทอยู่บนยอดเขา ... แต่ผมไม่ได้ปีนขึ้นไปหรอกนะ

เราต้องเดินอ้อมสระน้ำไปตามทางเพื่อมุ่งสู่บ้านหลังแรก แต่ระหว่างทางเดินก็มีซุ้มจุดชมวิวเมืองทาคะยะมะ ที่มองเห็นภูเขาปกคลุมด้วยหิมะอยู่ไกลๆ ลิบตา มีของเล่น อาทิ ลูกข่างไม้ และ ไม้ไผ่ที่ถูกนำมาตอกเป็นขาให้ขึ้นเดิน หรือที่เรียกว่า ไม้โถกเถก แบบบ้านเรา



ในพื้นที่นี้คือการจำลองหมู่บ้านชาวชนบทขนาดใหญ่มารวมไว้ที่ไม่ได้มีแค่ที่อยู่อาศัย แต่ยังรวมไปถึงโรงเก็บไม้ ยุ้งฉาง โรงเก็บฟืน บ้านทำเครื่องเขิน บ้านแกะสลักไม้ พื้นที่ทำการเกษตร ปลูกข้าว จนไปถึงศาลเจ้า ในส่วนของบ้านแต่ละหลังก็จะจัดแสดงวิถี สิ่งของเครื่องใช้ภายใน การจัดวางห้องต่างๆ แตกต่างกันไป อย่างเช่นบ้านหลังแรกของตระกูลอะไร... ไม่ได้กวนผู้อ่านนะ แต่ชื่ออย่างงี้จริงๆ ถ้าเรียกช้าๆ ก็คือ อะระอิ (Arai) นั่นเอง หลังนี้จะมีพวกอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับการทอผ้าจัดแสดงไว้ภายใน




หรืออย่างบ้านนาคะยะบุ (Nakayabu) จัดแสดงอุปกรณ์ทำวัสดุมุงหลังคา ,บ้านมิจิคะมิ (Michikami) จัดแสดงอุปกรณ์ของใช้ในชีวิตประจำวัน ,บ้านนิชิโอะกะ (Nishioka) จัดแสดงอุปกรณ์ผลิตผ้าไหม และ บ้านโฮซุมิ (Hozumi) นี่นำอุปกรณ์พวกเครื่องเลื่อนขนย้ายไม้ ท่อนซุง และสิ่งของต่างๆ ท่ามกลางหิมะมาโชว์ด้วย หลายๆ หลังสามารถถอดรองเท้าเดินเข้าไปชมภายในตัวบ้านได้ ... แต่บอกเลยว่า อากาศเย็นๆ แบบนี้ ถ้าไม่ใส่ถุงเท้าเดินนี่มีร้องแน่ๆ ผมเจอมาแล้ว สัมผัสแรกนี่แทบอยากจะกลับไปใส่รองเท้าแล้วยืนมองอยู่ด้านนอกแทนเลย มันเย็นเท้าสุดๆ แต่อยากดูก็ต้องทนครับ

ในบรรดาทั้งหมดนี้มีบ้านจำนวน ๔ หลังที่จัดเป็นสินทรัพย์ทางวัฒนธรรมท้องถิ่นที่สำคัญของชาติ ได้แก่ บ้าน วาคะยะมะ (Wakayama) บ้านสไตล์กัสโซ่ หลังแรกที่เราเห็น เป็นบ้านเก่าแก่สร้างขึ้นมาตั้งแต่ยุคเอะโดะ ใน พ.ศ.๒๒๙๔ ถูกขนย้ายมาจากหมู่บ้าน โชคะวะ มาจิ (Shohkawa machi) ส่วนหลังที่ ๒ คือบ้านทานะกะ (Tanaka) เป็นบ้านของชาวนาที่ขนย้ายมาจากแถวๆ นี้เองครับ ปลูกขึ้นราวๆ พุทธศตวรรษที่ ๒๓ หลังต่อมาคือบ้านทางุจิ (Taguchi) เป็นบ้านของผู้นำหมู่บ้านในเมืองเกโระ (Gero) มีห้องรับรองที่ใช้สำหรับทำการประชุมได้ สร้างขึ้นเมื่อปี ๒๓๕๒ และสุดท้าย บ้าน โยชิซะเนะ (Yoshizane) หลังนี้ปลูกเมื่อราวๆ พุทธศตวรรษที่ ๒๓ ความสำคัญอยู่ที่เป็นหลังเดียวในหมู่บ้านของเมืองฮิดะ ที่อยู่รอดปลอดภัย ไม่พังพินาศในช่วงแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อ พ.ศ.๒๔๐๑


ช่วงนี้ที่นี่เขามีโชว์ตุ๊กตาฮินะ (hina ningyo) ด้วยครับ เป็นของประดับประจำเทศกาลฮินะมะสึริ หรือ วันเด็กผู้หญิง ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ ๓ มีนาคมของทุกปี เพื่อขอให้บุตรสาวของตนมีความสุข ประสบความสำเร็จในชีวิต โดยตุ๊กตาจะถูกจัดวางเป็นชั้นๆ บนผ้าสีแดง ชั้นบนสุดเป็นรูปผู้ชายกับผู้หญิงใส่ชุดโบราณ ตามข้อมูลว่า เป็นเจ้าชายโอไดริซามะ (Odairi-sama) และเจ้าหญิงโอฮินะซามะ (Ohina-sama) แต่งกายตามราชสำนักญี่ปุ่น สมัยยุคเฮอัง (Heian) มีฉากสีทองอยู่ด้านหลัง ส่วนชั้นรองลงมาก็จะเป็นพวกข้าราชบริพารต่างๆ เท่าที่เห็นมีเพียงไม่กี่หลังที่มีวางโชว์นะ

เดินชมไปเรื่อยจนแสงแดดเริ่มน้อยลง ผมมาหยุดอยู่หน้าทางขึ้นศาลเจ้าทาคุมิ (Takumi jinja) ในเวลาอีกไม่กี่นาทีสถานที่นี้ก็จะปิดให้บริการ ใจก็ตุ่มๆ ต่อมๆ จะขึ้นบันไดไปดีมั้ยน้า ... คือ บริเวณที่ผมยืนในรัศมีราวๆ ๓๐ เมตร มีผมเป็นมนุษย์เพียงคนเดียวที่ยังอยู่ คนอื่นๆ เริ่มเดินลงไปข้างล่างกันแล้ว เอาวะ คงไม่มีอะไรหรอก ... ตัดสินใจก้าวเดินผ่านหน้ารูปปั้นหมา ๒ ตัว ที่เฝ้าศาล ก้าวขึ้นบันไดด้วยใจหวั่นๆ มันรู้สึกหวิวๆ พิกล พอก้าวเท้าขึ้นทีละขั้นกลับรู้สึกสัมผัสถึงลมที่พัดผ่านร่างกายไปเบาๆ ทำให้ยิ่งรู้สึกหวิวหนักเข้าไปอีก แต่ก็ยังคงเดินขึ้นไปจนสุดขั้นสุดท้ายถึงหน้าศาล ... ก็ไม่มีอะไรนี่หว่า?

ความกลัวเริ่มผ่อนคลายจึงได้ฤกษ์ไหว้ศาล ก่อนลงไปเก็บภาพและเข้าบ้านบางหลังที่ยังพอเข้าได้ เนื่องจากมีเจ้าหน้าที่เริ่มเชิญนักท่องเที่ยวออกจากพื้นที่แล้ว ผมเตร็ดเตร่จนน่าจะเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มท้ายๆ ที่เหลืออยู่ รู้สึกเปลี่ยวใจยังไงไม่รู้ จนมาถึงจุดผ่านประตู เจ้าหน้าที่ก็มาอำลาตามหน้าที่ แต่ระหว่างนั้นก็ยังคงมีนักท่องเที่ยวฝรั่งเดินมาเพื่อจะขอซื้อตั๋วเข้าชมกันอีกหลายคน ซึ่งก็ถูกปฏิเสธเพราะมันหมดเวลาทำการ บางคนถึงกับโวยวาย ชี้มือชี้ไม้บอกทำไมยังเห็นฝรั่งอยู่ในนั้น แสดงว่ายังเปิดให้ชม ทางฝั่งญี่ปุ่นก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ไป


แต่แหม่ ... เวลา ๑ ชั่วโมงครึ่งนี่ไม่เพียงพอสำหรับผมในการเดินสำรวจให้ทั่วจริงๆ น่าเสียดายที่เผื่อให้กับที่นี่น้อยไปหน่อย ถ้าใครชอบศึกษาเรื่องราวท้องถิ่น ที่นี่ก็เหมาะที่จะมาเยี่ยมชมครับ อ่อ ... ฝั่งตรงข้ามหมู่บ้านก็มีศูนย์ฝึกงานฝีมือฮิดะ ทาคะยะมะ (Hida Takayama crafts experience center) ให้นักท่องเที่ยวได้ไปลองถักทอทำผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นด้วยนะ เสียค่าเข้าคนละ ๖๐๐ เยน แต่เวลานี้ปิดแล้วจ้า ...

ถนนเส้นนี้ยิ่งเย็นยิ่งเปลี่ยวยิ่งเหงา แทบจะไม่เห็นรถผ่านไปมาเลยครับ ร้านค้าต่างๆ ริมทางปิดมืดสนิท หลายร้านกลายเป็นร้านร้างไปเสีย ราวกับย่านนี้ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวพลุกพล่านเหมือนแต่ก่อนจึงจำต้องเลิกกิจการ เดินมาไม่นานก็ถึงซอยพิพิธภัณฑ์หมี ทางเข้าโรงแรมแบบญี่ปุ่นที่ผมพักในคืนนี้ ซึ่งเข้ามาในซอยเพียงนิดเดียวก็ถึง แต่... บรรยากาศนี่ใช้ได้เลยทีเดียว บ้านข้างๆ เพิ่งมีร่องรอยของอัคคีภัยไหม้ไปทั้งหลัง ส่วนฝั่งตรงข้ามก็เป็นโรงแรมที่ถูกปิดตาย ... โอ้ว .. ถ้าคนขี้กลัวนี่คงมีคิดบ้างล่ะ

หลายท่านคงสงสัยว่า เฮ้ยทำไมงวดนี้คุณดรงค์ มันใจป้ำจัง ลงทุนนอนเรียวกังเลยเว้ย แหม่... สักครั้งในชีวิตก็ต้องขอลองสักหน่อย ที่ เรียวกัง มุระยะมะ ตอนผมจองในเว็บไซต์บุ๊กกิ้งก็ราคาคืนละประมาณ ๑,๔๐๐ บาท เท่านั้น ที่นี่เป็นโรงแรม ๒ ชั้น ไม่ใหญ่มาก มีคุณลุงเจ้าของ กับพนักงานชายวัยกลางคน ซึ่งพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยจะได้นักยืนต้อนรับอยู่ที่เคาน์เตอร์ ห้องนอนของผมอยู่ชั้น ๒ ตรงบันไดเลยทีเดียว ภายในไม่มีเตียง นอนบนฟูกกับพื้นที่ปูด้วยเสื่อทาทามิ นอนแบบคนญี่ปุ่นจริงๆ มีตู้เสื้อผ้า ที่วางชุดยูกาตะให้ใส่นอน ผ้าขนหนู และแปรงสีฟันเอาไว้ มีตู้เซฟ ตู้ เก็บผ้าห่ม ที่นอนสำรอง มีทีวี ตู้เย็น โทรศัพท์ กาน้ำร้อนไฟฟ้า และกล่องทรงกลมปริศนา พอเปิดออกมาข้างในมีกาน้ำชา กับชาเขียว และถ้วยให้ชงดื่มด้วย .... มันเยี่ยมจริงๆ

แต่ภายในห้องไม่มีห้องน้ำนะครับ ... ต้องเดินไปเข้าห้องน้ำรวมซึ่งอยู่ไม่ไกลจากกันมาก มีอ่างล้างหน้า แปรงฟัน อยู่ตรงนั้น แล้วห้องอาบน้ำล่ะ? ... ที่นี่มีให้บริการห้องอาบน้ำแบบออนเซนครับ!! ว้าววววว เนี่ยล่ะสิ่งที่ผมอยากลองมานานแล้ว ซึ่งห้องอาบน้ำแร่แช่น้ำร้อนของที่นี่แยกชาย หญิง และมีแบบสำหรับครอบครัวด้วย และน้ำแร่นั้นมาจากแหล่งที่ชื่อว่า มัตสึคุระ ยุโนะยะมะ (Matsukura Yunoyama Onsen) มีความเป็นด่างสูง และมีความดันออสโมซิสต่ำ (hypotonic) แต่...กฏของการแช่ออนเซนทั่วไปก็คือ ต้องแก้ผ้า แก้จนล่อนจ้อนแช่ครับ!! เอิ่ม ... จะไม่อาบก็ไม่ได้ ต้องลองกันสักตั้งล่ะ!!

ผมพักเอนกายสักนิดแล้วตัดสินใจรีบลงไปอาบน้ำ เผื่อจะชิงตัดหน้าสถานการณ์อันไม่น่าภิรมย์เมื่อคนเพศเดียวกันมาแก้ผ้าอาบน้ำพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย แต่... สุดท้ายก็มาเจอน้าคนนึงกำลังจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมลงแช่น้ำพอดี ... เอาวะ อย่างน้อยก็มีแค่ผู้ชายหนึ่งคนที่ได้เห็นไอ้นั่นของเรา ... ซึ่งภายในนี้มี ๒ ส่วนครับ ส่วนแรกคือจุดเปลี่ยนเสื้อผ้า วางสัมภาระ และส่วนที่ ๒ คือโรงอาบน้ำ มีสระน้ำขนาดแช่ได้ประมาณ ๔ – ๕ คน อยู่ติดกำแพงด้านหนึ่ง ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นเหมือนช่องอาบน้ำเป็นล็อกๆ มีฝักบัว กระจก สบู่ และยาสระผม ให้ได้ใช้ ว่าแต่ ... จะเริ่มยังไงดีล่ะ

ระหว่างยืนเก้ๆ กังๆ ภายในผ้าขนหนูที่ปกคลุมตั้งแต่ช่วงเอว คุณน้าที่หน้าตาคล้ายๆ เฮียสรยุทธ์ กำลังเริ่มแช่ลงอ่างก็หันมามอง แล้วก็พยายามแนะนำเป็นภาษาญี่ปุ่น ... เดาใจความจากท่าทางแปลเป็นภาษาไทยคือ ให้แก้ผ้าแล้วเริ่มอาบด้วยการนำน้ำจากในอ่างนี้ไปราดตัวก่อน ... ห๊ะ!! อะไรนะ เอาน้ำที่โคตรจะร้อนแบบนี้มาราดตัว ... ไม่น่ะ ไม่ ไม่ ไม่... แต่สุดท้ายก็ต้องยอมกลั้นใจตักน้ำมาราด ขันแรกนี่สะดุ้งจนแทบจะร้องสบถออกมาดังๆ แต่ไม่ได้ ... เดี๋ยวเสียฟอร์มคนไทย ต้องอดทน ราดมันไปเลย ๓ ขันรวด ความอายทั้งหมดทั้งปวงมันมลายหายกลายมาเป็นความทุรนทุรายจากความร้อนเริ่มแทรกซึมไปทั่วอนุขุมขน ชำระล้างตัวให้เสร็จ แล้วก็ค่อยๆ ลง ... มันร้อนแบบทรมานตั้งแต่ปลายนิ้วเท้าไล่ๆ ขึ้นมาตามจุดที่สัมผัสน้ำ จนเต็มทั้งร่าง ผมนั่งจมอยู่ในอ่างด้วยความอดทน ...

จนสักพักร่างกายมันเริ่มปรับตัว แล้วก็เริ่มรู้สึกสบายขึ้น มันโล่ง มันผ่อนคลาย แบบที่ไม่ได้รู้สึกเช่นนี้มานานนัก ... แล้วเฮียแกก็ลุกขึ้นไปอาบน้ำ ... ผมก็นั่งแช่อยู่สักพักแล้วก็ตามขึ้นไป ผมหยิบเก้าอี้เล็กๆ พร้อมกะละมัง มานั่งอยู่หน้าล็อกฝักบัว ห่างจากเฮียแกประมาณ ๓ ล็อกได้ แกถามว่า ไม่ได้เอาผ้าขนหนูผืนเล็กมาเหรอ? ... เอาล่ะสิ มันต้องใช้ด้วยเหรอวะ? ใช่ครับ เขาจะบีบสบู่เหลวลงในผ้าขนหนูแล้วถูตัว โดยกะละมังเอาไว้ใส่น้ำจุ่มหรือซักผ้าผืนนั้น ผมไม่ได้เอามาก็ใช้มือถูกันไป พออาบเสร็จก็ลงไปแช่อีกรอบ เฮีย ส. แกขอตัวชิ่งไปก่อน ผมเลยครอบครองโรงอาบน้ำนี้แต่เพียงผู้เดียวไปอีกสักพัก ก่อนจะขึ้นจากสระโดยไม่ต้องล้างตัวอีก ... เป็นอันเสร็จพิธี

กลับขึ้นมาบนห้อง ใส่ชุดยูกาตะ ชุดคลุมตัวแบบญี่ปุ่น แล้วลงมาทานอาหาร ที่นี่เขามีห้องอาหาร มีอาหารเป็นชุดหลายอย่างแต่ต้องจองเอาไว้ ผมไม่ได้จองเลยต้องออกไปหาอะไรกินข้างนอกแทน ในบรรยากาศที่หนาวเหน็บไม่ถึง ๑๐ องศาได้ เดินจากโรงแรมผ่านโรงแรมร้างไปตามทางที่เราเดินมาครั้งแรก แต่ตอนนี้เป็นกลางคืน ไฟที่นี่ไม่ได้สว่างจ้าเหมือนในโตเกียว โอซาก้า หรือเมืองที่เราเคยนอน มีเพียงไฟส่องถนนดวง เว้นดวง ให้พอเห็นทางบ้าง บางจุดก็ไม่มีไฟ ก็มองกันมืดๆ นั่นล่ะ จนออกมาสู่ถนนใหญ่ แล้วไปเรื่อยๆ มาถึงร้านเบเกอรี่ ชื่อว่า โนะโบะริยะ (Noboriya) แวะซื้อขนมไว้กินพรุ่งนี้ ก่อนเดินไปเรื่อยๆ จนถึงแยกที่มีแฟมิลี่มาร์ท แวะซื้อน้ำ แล้วก็เดินกลับไปยังที่พัก ... เป็นการสำรวจหาของกินมื้อเย็นที่ไม่ได้อะไรกินเลย ...

แต่แน่นอน... คนอย่างคุณดรงค์ มื้อเย็นวันนี้คงไม่ใช่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแน่ๆ !! พอดีมีข้อมูลว่า มีร้านสเต็กแฮมเบอร์เกอร์ร้านนึงในเว็บไซต์ของญี่ปุ่นเขาว่าอร่อย ก็เลยต้องไปพิสูจน์ ร้านนี้เขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า “ฮิโระ” (Hiro) เข้าไปภายในมีโต๊ะอยู่ไม่กี่โต๊ะ ที่เคาน์เตอร์มีรูปหัวควาย สงสัยชอบวงคาราบาว (ไม่เกี่ยวเลยคุณ) พนักงานเสิร์ฟสาวหน้าตาน่ารักมากเดินเข้ามาเจรจา ถามว่าจะรับกลับบ้านหรือไม่ ผมบอกว่าจะทานที่ร้าน ยังพอรับลูกค้าอยู่ไหม เพราะจำได้ว่าร้านปิดราวๆ สองทุ่ม และนี่ก็เป็นเวลาเกือบจะ ๑ ทุ่มครึ่งแล้ว เธอเดินไปถามพ่อครัวซึ่งคาดว่าจะเป็นเจ้าของร้าน ก่อนเดินมาบอกว่าโอเค แล้วแนะนำเมนู

ผมสั่งซิกเนเจอร์ของที่นี่นั่นคือชุดสเต็กแฮมเบอร์เกอร์หมูผสมเนื้อ รอคอยไม่นานนักก็นำมาเสิร์ฟ เป็นสเต็กเนื้อบดขนาดไม่เล็กนัก ราดด้วยซอสเดมิกลาส โรยด้วยงาขาวและผงสาหร่ายพร้อมผักแกล้มและมันฝรั่งทอดเป็นเครื่องเคียงในจาน มีสลัดผักกะหล่ำปลี ซุปมิโสะ ผักดอง และข้าวญี่ปุ่นร้อนๆ อยู่ในเซ็ท ทั้งหมดนี้ ๑,๐๕๐ เยน ก็ไม่แพงเท่าไหร่ ตัวเนื้อสเต็กหั่นลงไปน้ำจากเนื้อฉ่ำมาก พอตักเข้าปากมันฉ่ำนุ่ม เคี้ยวสบายอารมณ์ จนพูดได้เลยว่า อร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินมา ... เป็นมื้อนึงที่มีความสุขมากๆ นั่งทานไปเรื่อยๆ จนเสร็จ ร้านก็ปิดทำการพอดี

แต่ขากลับนี่รู้สึกหลากอารมณ์มาก มันเหมือนเดินอยู่ในชนบทบ้านเราแต่มันไม่ใช่บ้านเรา พยายามมองให้เหมือนเวลาไปเข้าค่าย หรือเดินป่า แต่มันก็แตกต่างตรงที่ เวลาอย่างนั้น เรามีเพื่อน มีพี่ มีน้อง อยู่ร่วมระวังภัยกัน ... แต่เวลานี้ ผมอยู่คนเดียว ท่ามกลางความมืดบ้าง สว่างบ้าง เป็นหย่อมๆ แถมอากาศที่หนาวเย็นพัดผ่านมาปะทะสู่ร่างกาย ก็ยิ่งทำให้คิดไปไกลกับสิ่งที่เราไม่อาจคาดเดาได้ง่ายนัก ...

แต่จนแล้วจนรอดก็ถึงที่พัก ได้เวลานอนพักผ่อนเพื่อเตรียมออกเดินทางในยามเช้าพรุ่งนี้ดีกว่า!!

๒๗ มีนาคม ๒๕๕๙ : เรียวกัง มุระยะมะ เมืองทาคะยะมะ จ.กิฟุ

สิ่งแรกที่ควรทำในเช้าวันนี้คืออะไร? ...

สำหรับผมแล้ว ต้องรีบไปแช่ออนเซ็นครับ...

เพราะความกลัวจะต้องแก้ผ้าตามหน้าประชาชีจึงต้องตื่นมาไวขึ้นเพื่อเข้าไปยังโรงอาบน้ำ เพื่อชำระร่างกาย แล้วก็เป็นไปตามคาด ... เวลานี้ นอกจากผมแล้ว ก็ไม่มีมนุษย์คนใดมาใช้บริการเลย ... โอ้เย่ ออนเซ็นนี้เป็นของข้า!! แช่จนสบายตัวเลยครับ ... แต่ก็ทำได้เพียงไม่นาน เพราะมีคนเคยบอกผมว่า แช่นานๆ ไปก็ไม่ดีต่อสุขภาพ จริงเท็จยังไงไม่แน่ใจเหมือนกันแหะ

พออาบเสร็จก็ขึ้นไปแต่งตัวและเตรียมตัวเดินทางต่อ ลงมาเช็กเอาท์และรอคอย ... คอยรถมารับ ที่โรงแรมนี้ดีอีกอย่างที่มีรถรับส่งจากสถานีรถไฟทาคะยะมะด้วย แต่ก็แบ่งเป็นรอบๆ ผมก็จำไม่ค่อยได้หรอก และเมื่อถึงเวลา ๐๘.๓๐ น. รถโดยสารขนาดเล็กประมาณ ๑๐ กว่าที่นั่ง ก็มารับอย่างตรงเวลาเป๊ะ คุณลุงเจ้าของโรงแรมเป็นคนขับ ขับพาผมไปส่งยังที่หมายเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น



พูดถึงเมื่อคืนก็นอนสบายดีนะ แม้อุณหภูมิเฉลี่ยจะอยู่ที่ราวๆ ๑ – ๓ องศา แต่ไม่หนาวเลย ... จริงๆ เป็นเพราะเขาปรับเครื่องปรับอากาศให้ทำความร้อนได้ด้วยเลยไม่รู้สึกสัมผัสถึงอากาศด้านนอกเท่าไหร่ ... แต่วันนี้ต้องเปลี่ยนที่นอนใหม่ เข้าไปในเมือง และเมื่อรถจอดผมก็เดินเท้าต่อไปยังที่พักเพื่อฝากกระเป๋า ซึ่งในคืนนี้เรากลับคืนสู่สามัญเข้าพักโฮสเทลอย่างที่เคยเป็นมา ...

เสร็จสรรพก็กลับมาที่สถานีรถไฟ แล้วเดินไปยังตึกข้างๆ นั่นคือสถานีขนส่งรถประจำทางทาคะยะมะ โนฮิ (Takayama Nohi bus center) เพื่อไปรอขึ้นรถโดยสารไปเที่ยวหมู่บ้านมรดกโลก!! ... ระหว่างนั้นก็ขอเติมพลังด้วยขนมที่ซื้อมาจากร้านโนโบะริยะเมื่อคืนนี้สักหน่อย มันคือ พายสารพัดถั่วเคลือบคาราเมล (คือตอนซื้อก็ไม่ได้จำว่าชื่อมันว่ายังไง) เป็นพายกรอบไส้ถั่วเป็นเม็ดๆ มีทั้ง แอลมอนด์ แมคคาเดเมีย เม็ดมะม่วงหิมพานต์ และถั่วลิสง ราดซอสคาราเมล แล้วก็โรยน้ำตาลไอซ์ซิ่งไว้ด้านนึง ส่วนบนส่วนโรยด้วยแอลมอนด์หั่นซีกผสมชาเขียว กัดไปคำแรกนี่อื้อหือเลย พายผ่านมา ๑ คืน ยังคงกรอบแป้งแบ่งเป็นชั้นๆ แบบครัวซองชัดเจน คาราเมลก็ไม่หวานมาก กินกับถั่วนี่อร่อยจนถึงกับบ่นตัวเองว่า ทำไมซื้อมาแค่ชิ้นเดียวเนี่ย ... แหม่... ถ้ากลับวันนี้จะเอาไปฝากที่บ้านให้กินเลยจริงๆ

ทานมื้อเช้ารองท้องกันแล้วก็ได้เวลาออกเดินทาง สู่หมู่บ้านมรดกโลก ชิระคะวะ โกะ!!!!

อ่านต่อฉบับหน้า...
กำลังโหลดความคิดเห็น