หลังจากที่ กรธ.ในที่สุดก็ยอมรับหลักการแบบถอยเกือบสุดซอย ยอมให้ผู้บัญชาการเหล่าทัพทั้ง 6 เป็น ส.ว.โดยตำแหน่งได้แล้ว
หลายคนมองว่า นี่คือสัญญาณถอยสุดซอยของ อ.มีชัย ฤชุพันธุ์ และ กรธ.แต่เอาเข้าจริง “ก้นซอย” ที่รัฐบาลขอไปนั้นยังมากกว่านี้ คือการที่ ส.ว.สรรหาจะเป็นผู้เลือกตัวนายกฯ ด้วย ข้อเสนอนี้ก็ยังไม่ได้รับการตอบสนอง
ส่วนท่าทีของรัฐบาลนั้น ก็ชัดเจนแล้วว่า คงจะสนับสนุนรัฐธรรมนูญฉบับนี้เต็มที่
ถึงขนาดสร้างความฮือฮา ด้วยการประกาศจะเปิด “หลักสูตร คสช.” เพื่อนำเอา “นักการเมือง” ที่พูดมากปากมีสีกระทบความมั่นคงของ คสช.และทำให้ผู้คนเข้าใจผิดเรื่องรัฐธรรมนูญไปทำการ “อบรม” เป็นการพิเศษในค่ายทหารหรือสถานที่ คสช.จัดไว้ ว่ากันตั้งแต่ 3 วัน 7 วัน จนถึงมากที่สุดหนึ่งเดือน
ประเดิมค่ายแบบไม่เป็นทางการกับนักการเมือง “ปากประจำ” ของค่ายเสื้อแดง อย่างนายวรชัย เหมะ และนายวัฒนา เมืองสุข โดนกันไปคนละ 3 วัน เพราะเหตุออกมาแพล่มว่า ถ้ารัฐธรรมนูญไม่ผ่าน นายกฯ ต้องรับผิดชอบลาออก
ดังนั้น หลักสูตรนี้เขาเอาจริงแน่นอนล้างค่ายรอกันไว้เลย ซึ่งก็น่าจะทำให้นักการเมืองที่ออกมาตีกินสร้างกระแส เนื่องจากอยู่ในช่วงที่ถูกห้ามดำเนินกิจกรรมทางการเมือง ก็มุ่งอาศัยกระบวนการรณรงค์ประชามติรับหรือไม่รับรัฐธรรมนูญนี่แหละ เป็นช่องทางการออกมาเรียกราคาจากประชาชน โดยอ้างว่าเป็นการรณรงค์ชี้ข้อดีข้อเสียของรัฐธรรมนูญ
ก็น่าจะออกมาแบบเดิมๆ คือ รัฐธรรมนูญไม่เป็นประชาธิปไตย เพราะประชาธิปไตยนั้นคือพรรคเพื่อไทยและการเลือกตั้งโดยตรง ใครชนะมาได้ ส.ส.มากเท่านั้น แบบอื่นผิดไปหมด
ดังท่าทีของพรรคเพื่อไทย ที่ออกแถลงการณ์สวนรัฐธรรมนูญมาเลยว่า พรรคเพื่อไทยจะไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับมีชัยและ คสช.นี้แน่นอน
ด้วยเหตุผลว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้อำนาจการปกครองประเทศไม่ได้เป็นของประชาชน โดยประชาชนและเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง โดยสร้างกลไกที่ลดทอนอำนาจของสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นผู้แทนของปวงชน มาเพิ่มอำนาจให้ ส.ว.ซึ่งมาจากการสรรหาที่มาจาก คสช.และยังมีศาลรัฐธรรมนูญคอยควบคุมนักการเมืองเข้าไปอีก
สรุปว่าท่าทีของ “ค่ายแดง” คงจะไม่รับร่างรัฐธรรมนูญแน่ๆ และคงจะให้บรรดาคนเสื้อแดง ซึ่งรวมทั้งพวกปัญญาชนคนบูชาประชาธิปไตยที่เป็น “ขาประจำ” ไม้เบื่อไม้เมา คสช.แล้ว ก็น่าจะรวมกันได้ประมาณหนึ่ง ซึ่งก็ทำให้ชาวบ้านขำปนงง เพราะว่าพวกนี้เรียกร้องประชาธิปไตย ผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้ง แต่การจะ “ไม่เอา” รัฐธรรมนูญ ก็เท่ากับทำให้ระบอบ คสช.ที่พวกเขาจงเกลียดจงชังกันหนักหนานั้นจำต้องคงอยู่ต่อไป แบบไม่รู้ว่าจะจบอย่างไรด้วย
ในขณะที่ถ้ายอมให้รัฐธรรมนูญผ่านอย่างขี้หมูขี้หมา ก็ยังมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น มีสภาผู้แทนราษฎร แม้โดยสภาพซึ่งเป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญฉบับนี้เองด้วย จะค่อนข้างเป็นไปในทางจำกัดอำนาจของฝ่ายการเมืองและ ส.ส.อยู่
แต่อย่างน้อย ก็ยังมีตัวแทนประชาชนเข้าร่วมในการบริหารประเทศ รวมทั้งรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีเอง ก็จะต้องมาจากความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร ต่อให้เป็นคนนอกก็ตาม
อย่าลืมว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ถ้ามีการเลือกตั้ง ส.ส.แล้ว ก็เท่ากับเป็นการคืนอำนาจในการตัดสินใจทางการเมืองให้ประชาชน และจะเป็นการคืนสิทธิและเสรีภาพในทางการเมือง ซึ่งรวมถึงเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์ให้ประชาชนด้วย
คสช.แม้จะยังมีบทบาทอยู่บ้าง แต่อยู่ดีๆ จะมาจับใครไป “ปรับทัศนคติ” หรือใช้มาตรา 44 ชี้โน่นชี้นี่ สั่งให้ทำโน่นทำนี่ ทั้งๆ ที่มีรัฐบาลจากการเลือกตั้งก็ทำได้ยาก เพราะจะมีปัญหาเรื่องความชอบธรรม
กับอีกบรรดา ส.ว.แต่งตั้งซึ่งจะมีสถานะเป็นสภาพี่เลี้ยงของ สภา ส.ส.นั้น แน่นอนว่า จะต้องถูกจับตาจากประชาชนเช่นกัน
การจะบอกว่า มี ส.ว.แต่งตั้ง ขี่คอ ขัดขวาง ส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนนั้น
ก็อย่าลืมสิว่า ถ้าท่านเป็น “ส.ส.” ที่หมายถึง “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร” ที่เป็น “ผู้แทนของปวงชนชาวไทย” ที่แท้จริง และปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนที่เลือกท่านเข้ามาอย่างจริงจังเต็มที่แล้ว
ต่อให้ ส.ว.จะมีอำนาจมากขนาดไหน แต่ก็คงจะไม่กล้าทำอะไรที่เป็นการฝืนใจหรือฝืนความต้องการของประชาชนแน่ๆ
หากเมื่อรัฐบาล หรือ ส.ส.ของประชาชนนั้นจะดำเนินนโยบาย หรือออกกฎหมายใดๆ ที่จะเป็นประโยชน์แก่ประชาชน เป็นที่ต้องการของประชาชนส่วนมาก และไม่มีผลประโยชน์แอบแฝงทับซ้อนแล้ว
ถ้า ส.ว.จะมา “ขวาง” นั้น ก็คงต้องมีเหตุผลที่ชี้แจงต่อประชาชนได้เช่นกัน
นี่คือการตรวจสอบและถ่วงดุลอย่างตรงไปตรงมา โดยประชาชนเจ้าของอำนาจอธิปไตยโดยแท้ครับ
หรือแม้แต่ว่า มีศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลอะไรๆ คอยตรวจสอบ แต่ถ้าพวกท่านไม่ได้กระทำอะไรที่ผิดจากครรลองของรัฐธรรมนูญ แล้วใครจะจับท่านไปขึ้นศาล และศาลจะเอาอะไรมาตัดสินท่าน ก็เหมือนปัจจุบันที่เรามีศาลอาญาที่มีเขตอำนาจเหนือมนุษย์ทุกคนบนแผ่นดินไทย สามารถสั่งลงโทษคนได้ตั้งแต่ริบบุหรี่ไปยันประหารชีวิต แต่ถ้าเราไม่ได้กระทำความผิดอะไร อยู่ดีๆ ใครเขาจะเอาเราไปขึ้นศาลหรือศาลจะมาสั่งลงโทษเราได้อย่างไร
ท่านว่าที่ ส.ส.ท่านนักการเมืองทั้งหลาย ท่านไม่มั่นใจในตัวเองบ้างหรือ ว่าจะปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นประโยชน์ต่อชาติบ้านเมืองด้วยความสุจริต เสียจนได้รับการสนับสนุนคุ้มครองจากประชาชน
หรือท่านจะไม่ให้ความมั่นใจแก่ประชาชนหน่อยหรือ ว่าท่านจะปฏิบัติหน้าที่โดยซื่อสัตย์สุจริต เคารพหลักการตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย จนไม่ต้องกลัวว่าใครจะไปฟ้องให้ต้องขึ้นศาลรัฐธรรมนูญ
อาการ “เกลียดเผด็จการ แต่ก็ไม่อยากให้ผ่านรัฐธรรมนูญไปเลือกตั้ง” อุปมาก็เหมือนคนท้องหิวแต่โยเยว่า อาหารไม่เต็มจาน จะไม่ยอมกิน ยอมหิวก็ได้ ดีกว่ากินอาหารไม่เต็มจาน
ถ้าอาศัยอุปมาเดียวกัน ปัญหาของประเทศไทยและนักการเมืองก็เหมือนคนอ้วน คือ “ประชาธิปไตย” แบบเต็มชามเต็มใบ ทำให้พวกท่าน “อ้วน” เกินไป เกิดโรคภัยนานา
ท่านต้องถูก “ลดอาหาร” เพื่อลดความอ้วน เพื่อลดโรคลดภัยก่อนในระหว่างนี้ ต่อมาถ้าท่านหายป่วยจากโรคอ้วนแล้ว อยากกินอาหารเต็มจานอีกครั้งก็ค่อยว่ากันใหม่
แต่นั่นแหละ ถ้าท่านจะไม่ยอมกิน “อาหารครึ่งจาน – รัฐธรรมนูญครึ่งใบ”
จะอดข้าวให้ตายไปก็ไม่มีใครอาลัยท่านนะขอบอก
หลายคนมองว่า นี่คือสัญญาณถอยสุดซอยของ อ.มีชัย ฤชุพันธุ์ และ กรธ.แต่เอาเข้าจริง “ก้นซอย” ที่รัฐบาลขอไปนั้นยังมากกว่านี้ คือการที่ ส.ว.สรรหาจะเป็นผู้เลือกตัวนายกฯ ด้วย ข้อเสนอนี้ก็ยังไม่ได้รับการตอบสนอง
ส่วนท่าทีของรัฐบาลนั้น ก็ชัดเจนแล้วว่า คงจะสนับสนุนรัฐธรรมนูญฉบับนี้เต็มที่
ถึงขนาดสร้างความฮือฮา ด้วยการประกาศจะเปิด “หลักสูตร คสช.” เพื่อนำเอา “นักการเมือง” ที่พูดมากปากมีสีกระทบความมั่นคงของ คสช.และทำให้ผู้คนเข้าใจผิดเรื่องรัฐธรรมนูญไปทำการ “อบรม” เป็นการพิเศษในค่ายทหารหรือสถานที่ คสช.จัดไว้ ว่ากันตั้งแต่ 3 วัน 7 วัน จนถึงมากที่สุดหนึ่งเดือน
ประเดิมค่ายแบบไม่เป็นทางการกับนักการเมือง “ปากประจำ” ของค่ายเสื้อแดง อย่างนายวรชัย เหมะ และนายวัฒนา เมืองสุข โดนกันไปคนละ 3 วัน เพราะเหตุออกมาแพล่มว่า ถ้ารัฐธรรมนูญไม่ผ่าน นายกฯ ต้องรับผิดชอบลาออก
ดังนั้น หลักสูตรนี้เขาเอาจริงแน่นอนล้างค่ายรอกันไว้เลย ซึ่งก็น่าจะทำให้นักการเมืองที่ออกมาตีกินสร้างกระแส เนื่องจากอยู่ในช่วงที่ถูกห้ามดำเนินกิจกรรมทางการเมือง ก็มุ่งอาศัยกระบวนการรณรงค์ประชามติรับหรือไม่รับรัฐธรรมนูญนี่แหละ เป็นช่องทางการออกมาเรียกราคาจากประชาชน โดยอ้างว่าเป็นการรณรงค์ชี้ข้อดีข้อเสียของรัฐธรรมนูญ
ก็น่าจะออกมาแบบเดิมๆ คือ รัฐธรรมนูญไม่เป็นประชาธิปไตย เพราะประชาธิปไตยนั้นคือพรรคเพื่อไทยและการเลือกตั้งโดยตรง ใครชนะมาได้ ส.ส.มากเท่านั้น แบบอื่นผิดไปหมด
ดังท่าทีของพรรคเพื่อไทย ที่ออกแถลงการณ์สวนรัฐธรรมนูญมาเลยว่า พรรคเพื่อไทยจะไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับมีชัยและ คสช.นี้แน่นอน
ด้วยเหตุผลว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้อำนาจการปกครองประเทศไม่ได้เป็นของประชาชน โดยประชาชนและเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง โดยสร้างกลไกที่ลดทอนอำนาจของสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นผู้แทนของปวงชน มาเพิ่มอำนาจให้ ส.ว.ซึ่งมาจากการสรรหาที่มาจาก คสช.และยังมีศาลรัฐธรรมนูญคอยควบคุมนักการเมืองเข้าไปอีก
สรุปว่าท่าทีของ “ค่ายแดง” คงจะไม่รับร่างรัฐธรรมนูญแน่ๆ และคงจะให้บรรดาคนเสื้อแดง ซึ่งรวมทั้งพวกปัญญาชนคนบูชาประชาธิปไตยที่เป็น “ขาประจำ” ไม้เบื่อไม้เมา คสช.แล้ว ก็น่าจะรวมกันได้ประมาณหนึ่ง ซึ่งก็ทำให้ชาวบ้านขำปนงง เพราะว่าพวกนี้เรียกร้องประชาธิปไตย ผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้ง แต่การจะ “ไม่เอา” รัฐธรรมนูญ ก็เท่ากับทำให้ระบอบ คสช.ที่พวกเขาจงเกลียดจงชังกันหนักหนานั้นจำต้องคงอยู่ต่อไป แบบไม่รู้ว่าจะจบอย่างไรด้วย
ในขณะที่ถ้ายอมให้รัฐธรรมนูญผ่านอย่างขี้หมูขี้หมา ก็ยังมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น มีสภาผู้แทนราษฎร แม้โดยสภาพซึ่งเป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญฉบับนี้เองด้วย จะค่อนข้างเป็นไปในทางจำกัดอำนาจของฝ่ายการเมืองและ ส.ส.อยู่
แต่อย่างน้อย ก็ยังมีตัวแทนประชาชนเข้าร่วมในการบริหารประเทศ รวมทั้งรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีเอง ก็จะต้องมาจากความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร ต่อให้เป็นคนนอกก็ตาม
อย่าลืมว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ถ้ามีการเลือกตั้ง ส.ส.แล้ว ก็เท่ากับเป็นการคืนอำนาจในการตัดสินใจทางการเมืองให้ประชาชน และจะเป็นการคืนสิทธิและเสรีภาพในทางการเมือง ซึ่งรวมถึงเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์ให้ประชาชนด้วย
คสช.แม้จะยังมีบทบาทอยู่บ้าง แต่อยู่ดีๆ จะมาจับใครไป “ปรับทัศนคติ” หรือใช้มาตรา 44 ชี้โน่นชี้นี่ สั่งให้ทำโน่นทำนี่ ทั้งๆ ที่มีรัฐบาลจากการเลือกตั้งก็ทำได้ยาก เพราะจะมีปัญหาเรื่องความชอบธรรม
กับอีกบรรดา ส.ว.แต่งตั้งซึ่งจะมีสถานะเป็นสภาพี่เลี้ยงของ สภา ส.ส.นั้น แน่นอนว่า จะต้องถูกจับตาจากประชาชนเช่นกัน
การจะบอกว่า มี ส.ว.แต่งตั้ง ขี่คอ ขัดขวาง ส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนนั้น
ก็อย่าลืมสิว่า ถ้าท่านเป็น “ส.ส.” ที่หมายถึง “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร” ที่เป็น “ผู้แทนของปวงชนชาวไทย” ที่แท้จริง และปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนที่เลือกท่านเข้ามาอย่างจริงจังเต็มที่แล้ว
ต่อให้ ส.ว.จะมีอำนาจมากขนาดไหน แต่ก็คงจะไม่กล้าทำอะไรที่เป็นการฝืนใจหรือฝืนความต้องการของประชาชนแน่ๆ
หากเมื่อรัฐบาล หรือ ส.ส.ของประชาชนนั้นจะดำเนินนโยบาย หรือออกกฎหมายใดๆ ที่จะเป็นประโยชน์แก่ประชาชน เป็นที่ต้องการของประชาชนส่วนมาก และไม่มีผลประโยชน์แอบแฝงทับซ้อนแล้ว
ถ้า ส.ว.จะมา “ขวาง” นั้น ก็คงต้องมีเหตุผลที่ชี้แจงต่อประชาชนได้เช่นกัน
นี่คือการตรวจสอบและถ่วงดุลอย่างตรงไปตรงมา โดยประชาชนเจ้าของอำนาจอธิปไตยโดยแท้ครับ
หรือแม้แต่ว่า มีศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลอะไรๆ คอยตรวจสอบ แต่ถ้าพวกท่านไม่ได้กระทำอะไรที่ผิดจากครรลองของรัฐธรรมนูญ แล้วใครจะจับท่านไปขึ้นศาล และศาลจะเอาอะไรมาตัดสินท่าน ก็เหมือนปัจจุบันที่เรามีศาลอาญาที่มีเขตอำนาจเหนือมนุษย์ทุกคนบนแผ่นดินไทย สามารถสั่งลงโทษคนได้ตั้งแต่ริบบุหรี่ไปยันประหารชีวิต แต่ถ้าเราไม่ได้กระทำความผิดอะไร อยู่ดีๆ ใครเขาจะเอาเราไปขึ้นศาลหรือศาลจะมาสั่งลงโทษเราได้อย่างไร
ท่านว่าที่ ส.ส.ท่านนักการเมืองทั้งหลาย ท่านไม่มั่นใจในตัวเองบ้างหรือ ว่าจะปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นประโยชน์ต่อชาติบ้านเมืองด้วยความสุจริต เสียจนได้รับการสนับสนุนคุ้มครองจากประชาชน
หรือท่านจะไม่ให้ความมั่นใจแก่ประชาชนหน่อยหรือ ว่าท่านจะปฏิบัติหน้าที่โดยซื่อสัตย์สุจริต เคารพหลักการตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย จนไม่ต้องกลัวว่าใครจะไปฟ้องให้ต้องขึ้นศาลรัฐธรรมนูญ
อาการ “เกลียดเผด็จการ แต่ก็ไม่อยากให้ผ่านรัฐธรรมนูญไปเลือกตั้ง” อุปมาก็เหมือนคนท้องหิวแต่โยเยว่า อาหารไม่เต็มจาน จะไม่ยอมกิน ยอมหิวก็ได้ ดีกว่ากินอาหารไม่เต็มจาน
ถ้าอาศัยอุปมาเดียวกัน ปัญหาของประเทศไทยและนักการเมืองก็เหมือนคนอ้วน คือ “ประชาธิปไตย” แบบเต็มชามเต็มใบ ทำให้พวกท่าน “อ้วน” เกินไป เกิดโรคภัยนานา
ท่านต้องถูก “ลดอาหาร” เพื่อลดความอ้วน เพื่อลดโรคลดภัยก่อนในระหว่างนี้ ต่อมาถ้าท่านหายป่วยจากโรคอ้วนแล้ว อยากกินอาหารเต็มจานอีกครั้งก็ค่อยว่ากันใหม่
แต่นั่นแหละ ถ้าท่านจะไม่ยอมกิน “อาหารครึ่งจาน – รัฐธรรมนูญครึ่งใบ”
จะอดข้าวให้ตายไปก็ไม่มีใครอาลัยท่านนะขอบอก