ความเดิมต่อที่แล้ว อ่าน
สโลว์ไลฟ์มั้ยจ๊ะ ๑.๐ : เชียงใหม่ 3rd time.
สโลว์ไลฟ์มั้ยจ๊ะ ๑.๑ : ควันหลงโคมลอย ที่ท่าแพ
สโลว์ไลฟ์มั้ยจ๊ะ ๑.๒ : พิพิธภัณฑ์พื้นถิ่นล้านนา
สโลว์ไลฟ์มั้ยจ๊ะ ๑.๓ : "เทียนนกแก้ว" ที่สุดแห่ง "ดอยหลวงเชียงดาว"
สโลว์ไลฟ์มั้ยจ๊ะ ๑.๔ : “ดอยกิ่วลม” ดงดอกไม้ที่หาไม่ได้ในสยาม
สโลว์ไลฟ์มั้ยจ๊ะ ๑.๕ : นิมมานฯ ย่านอร่อย? ๑
๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ : ตลาดสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
ปณิธานในวันนี้ คือการหาของกินอร่อยๆ ตามที่ผมเห็นเขานิยมกันในเว็บไซต์อาหารชื่อดัง ในลิสต์ที่ผมจดมาก็เยอะแยะ แต่เอาเข้าจริง จะกินได้สักกี่ร้านกันนะ....
ผมเดินออกจากตลาดมาตามถนนสุเทพ กลับไปทางแยกที่เชื่อมสู่ถนนนิมมานเหมินทร์ ใจจริงอยากไปกินบะหมี่ใต้หอพยาบาลของโรงพยาบาลสวนดอก มีหลายเสียงแนะนำมาว่าเป็นไอเท็มลับ แต่เอาเข้าจริงมันน่าจะไกลมากจากจุดนี้ แถมสภาพของผมในเสื้อยืดแขนยาว กางเกงบอลนี่ .. ด้วยหุ่นอันมิน่าภิรมย์แบบนี้ สาวๆ เห็นก็คงไม่ปลื้มเท่าไหร่นัก (โถ...พ่อ ณเดชน์) แถม ๒ มือยังเต็มไปด้วยของฝากเป็นไอ้บ้าหอบฟาง เลยจอดอยู่หน้าประตูวัดสวนดอก ด้อมๆ มองๆ เข้าไปภายในวัด ขอถ่ายรูปตรงประตูทางเข้า แล้วเดินกลับมาสู่เส้นทางเดิม
เจอร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าหนึ่งดูน่ากินมาก มีป้ายเบ้อเริ่มชื่อ "เย็นตาโฟศรีพิงค์" หน้าร้านตั้งเตาหม้อลวกเส้นและเคี่ยวน้ำซุปแถมในตู้โชว์ยังเต็มไปด้วยเกี๊ยวทอด เอ๊ะ น่าสนใจแหะ แวะสักหน่อยดีกว่า ไอ้ผมก็ไม่ทราบหรอกว่าเจ้านี้เขาดังและเก่าแก่ บ้างก็ว่า ขายมานานกว่า ๔๐ ปี ผมจัดแจงนั่งโต๊ะหน้าร้าน สั่งเส้นใหญ่เย็นตาโฟธรรมดา ๑ ชาม ราคา ๕๐ บาท จัดว่าแพงใช่เล่น แต่พอเขามาเสิร์ฟก็พอจะเข้าใจ (นิดนึง) เครื่องค่อนข้างเยอะอยู่ มีเลือดหมู เต้าหู้ทอด ฮือก๊วย ลูกชิ้นปลา ปลาหมึกกรอบ และเกี๊ยวทอดที่ดูน่ากินมากๆ (แล้วทำไมไม่สั่งแต่เกี๊ยวมากินวะ?)
น้ำซุปถูกซอสเย็นตาโฟหนาๆ โปะลงมาจนกลายเป็นสีชมพูเข้มข้น มีร่องรอยการปรุงเรียบร้อย คนๆ ให้เข้ากันดีแล้วชิม สัมผัสแรกจัดว่าเปรี้ยวน้ำส้มสายชูนัก ถ้าใครชอบรสเปรี้ยวก็เหมาะอยู่ ส่วนซอสที่นี่เป็นสูตรเต้าหู้ยี้ จะได้กลิ่นอยู่แต่ไม่แรงมาก ส่วนทีเด็ดอย่างเกี๊ยวทอดแผ่นหนาดีจริงๆ ลูกชิ้นก็โอเคนะ ... ผมสังเกตเห็นที่เตาจะมีป้าคนนึงโดดเด่นมาก แกยืนลวกก๋วยเตี๋ยวในชุดผ้าไหม(น่าจะใช่) สีฟ้า ที่ดูเหมือนคุณนายจะไปออกงานอะไรสักอย่าง สงสัยว่าคงเป็นเจ้าของร้านแน่ๆ
ถือว่าเริ่มต้นมื้อแรกด้วยดี ได้มาเยือนร้านในตำนาน ... ที่เขาว่าอร่อย?
ต่อกันกับร้านที่ ๒ เลยแล้วกัน ... เฮ้ยๆ อย่าเพิ่งใจร้อนสิ ... แค่ชามนั้นก็เล่นเอาคนไม่เคยกินข้าวเช้ารู้สึกแน่นเหมือนกัน เลยเดินกลับไปที่พัก เพื่อจัดสัมภาระให้เรียบร้อยก่อนจะฝากกระเป๋าไว้ที่ร้านกาแฟด้านล่าง ที่นี่ดีตรงที่เขาให้เช็คเอาท์ได้ก่อนเที่ยง เราจึงสามารถอิดออดเอ้อระเหยค่อยๆ เก็บโน้นนี่นั่นไปแบบใจเย็น อ่อ ผมยังไม่ได้เล่าเรื่องห้องพักให้ฟังนิ ที่ผมอาศัยเมื่อคืนนี้เป็นห้องเดี่ยวใต้หลังคาครับ จัดห้องสไตล์น่ารัก บนเตียงมีตุ๊กตาวางไว้ด้วย แหม...เหมาะกับหน้าผมจริงๆ ภายในห้องมีหน้าต่าง ห้องน้ำ ตู้เย็น ทีวีที่มีช่องดาวเทียมเยอะแยะให้ได้ดู โดยรวมกับคืนละ ๘๐๐ บาท กลางย่านนิมมานฯ นี่ก็โอเคอยู่นะ
เช็คเอาท์ ฝากกระเป๋าเสร็จสรรพก็ออกไปหาอะไรกินต่อ แหมชีวิตดี๊ดีวิถีสโลว์ไลฟ์จริงๆ นะพ่อคุณ คราวนี้ผมเดินทะลุซอย ๑๗ ไปที่ถนนศิริมังคลาจารย์ ใกล้ๆ กัน เพื่อตามหาร้านที่ชื่อว่า “ก๋วยเตี๋ยวอัญชัน” อะไรกันกินก๋วยเตี๋ยวอีกแล้ว ... ก็ร้านนี้เขาออกจะดังอยู่ แถมมีความแปลกที่สีของเส้นไม่เหมือนใครด้วย เดินตามหามาเรื่อยๆ จนถึงซอย ๙ เข้าซอยมาไม่ไกลก็เจอ เป็นร้านอาคารชั้นเดียว ตกแต่งดูเป็นร้านอาหารมากกว่าร้านก๋วยเตี๋ยว มีทั้งโซนร้อนและเย็น เย็นคืออยู่ในห้องแอร์ไง ... ร้านนี้แต่ก่อนอยู่ในซอยนิมมานฯ ๗ แล้วก็ย้ายมาอยู่ยังที่ปัจจุบันนี้ เปิดตั้งแต่ ๙ โมง ยัน สี่โมงเย็น
สั่งเมนูซิกเนเจอร์ตามชื่อร้าน นั่นคือ ”ก๋วยเตี๋ยวอัญชัน” มีเครื่องให้เลือก ๓ ชนิด คือ หมูชิ้น หมูสับ และ ลูกชิ้นหมู ผมเลือกแบบหมูชิ้นไป ทั้งหมดในราคา ๔๐ บาท ถ้าเพิ่มอีก ๕ บาท จะได้หมูย่างหรือหมูกรอบ แม้ว่าเวลานี้เที่ยงกว่าๆ คนพลุกพล่านทั้งไทยและจีน แต่อาหารก็รอไม่นาน สิ่งที่ได้ก็คือก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กสีน้ำเงินคลุกน้ำมันหอมเจียว ม้วนเป็นก้อนบนจานที่มีผักกาดหอมรอง ด้านบนมีมะเขือเทศครึ่งลูกโปะ ข้างๆ มีหมูลวกเป็นชิ้นๆ พร้อมกะหล่ำปลีลวก และก็มีน้ำจิ้มที่ดูคล้ายๆ แจ่ว มีน้ำซุปให้มาอีกถ้วยด้วย
แล้วจะกินยังไง? ผมลองจากเอาหมูไปจิ้มน้ำจิ้มแล้วกินกับเส้น ก็ดูไม่ค่อยลงตัว เลยลองเอาน้ำจิ้มเทแล้วคลุกทุกอย่างรวมกัน ... สรุปมันก็คือ ก๋วยเตี๋ยวต้มยำแห้งนี่เอง รสชาติออกคล้ายๆ ก๋วยเตี๋ยวสุโขทัยที่มีทั้งหวาน เผ็ด เปรี้ยว เค็ม ผสมกัน ก็ได้ความแปลกดี ผมดูในใบเมนูมีอีกหลายอย่างที่น่าสนใจ ทั้งหมี่กะทิ ก๋วยเตี๋ยวต้มยำ หรือว่าเมนูข้าว ก็น่าลอง แต่ว่า ผมยังมีภารกิจต้องตามหาอีกหลายร้าน เลยไม่ได้ทาน
ออกจากซอย ๙ ก็มุ่งหน้าตามหาร้านข้าวมันไก่ เจ้าดังบนถนนนี้ เขาบอกอยู่ต้นซอยแต่พอเดินหากลับไม่เจอ ประกอบกับน้องๆ กลุ่มพยาบาลโทรมาชวนเพื่อพบหน้าก่อนแยกย้ายที่กาดสวนแก้ว ก็เลยไม่ได้ตามต่อ ใช้เวลาเดินพอสมควรเลยแหะจากถนนศิริมังคลาจารย์ เนี่ย ห้างนี้ตอนแรกนึกว่ามีแค่เซ็นทรัล แต่จริงๆ มันคือ อุทยานการค้ากาดสวนแก้ว ศูนย์การค้าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี ๒๕๓๕ นอกจากห้างแล้วยังมีโรงแรม ลานเครื่องเล่น และโรงภาพยนตร์ด้วย ผมเดินเล่นเรื่อยๆ ดูสภาพภายในยังคงความเป็นห้างสไตล์เก่าไว้ ที่ชอบคือตรงส่วนของประชาสัมพันธ์ ไม่ใช่ว่าน้องพนักงานต้อนรับน่ารัก แต่เขาใช้ป้ายโฆษณาแบบแมนนวล นำอักษรตัวพลาสติกแปะกับกระดานดูคลาสสิคมากๆ
เสร็จจากการพบปะและร่ำลาส่งน้องๆ พยาบาลไปเตรียมเดินทางกลับสู่ชลบุรี ก็ได้เวลาไปตามหาของกินกันต่อที่ถนนนิมมานฯ คราวนี้เป็นร้านไอศกรีมของเพื่อนผมครับ ตั้งอยู่ในซอยนิมมานฯ ๑ ชื่อว่า “จอลลี่ เบอร์รี่” (Jolly Berry) กิจการส่วนตัวของ ฟ่อน อดีตผู้สื่อข่าวประจำกองบรรณาธิการข่าวจีน ผู้จัดการออนไลน์ ร้านเป็นส่วนหนึ่งของร้านอาหาร “บ้านตะวันฉาย” กะให้ลูกค้าพออิ่มจากข้าวก็ต่อด้วยไอติมเลย
ลักษณะของไอศกรีมเป็นแบบกดตู้ หรือที่เรียกว่าซอร์ฟเสิร์ฟ ทำมาจากโยเกิร์ต แล้วก็ใส่เครื่องทั้งผลไม้สด ผลไม้แห้ง มาชแมลโลว์ เยลลี่ ช็อกโกแลต และอื่นๆ อีกมากมาย ได้ตามใจ ก่อนนำไปชั่งกิโลเพื่อคิดเป็นราคา ขีดละ ๕๕ บาท ฟ่อน บอกว่า ที่เลือกขายไอศกรีมแบบนี้เพราะแถวนี้ไม่ค่อยมีคนนำมาขาย จะได้เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งของชาวบ้าน ส่วนรสชาติไอศกรีมที่นี่เน้นเปรี้ยวละมุนนมแบบโยเกิร์ต หวานน้อยกำลังดี
แต่ทว่า...ร้านนี้กำลังจะปิดตัวในเดือนนี้ (ธ.ค.๕๘) พร้อมกับอีกหลายๆ ร้านในซอย
เพราะเจ้าของที่ตัดสินใจขอคืนพื้นที่ เพื่อไปใช้ทำธุรกิจอื่น ทำให้หลายร้านที่อยู่ในบ้านทรงดั่งเดิมของย่านต้องแยกย้ายหาที่อยู่กันใหม่ เช่นเดียวกับบ้านตะวันฉาย แต่โชคดีที่ยังได้ที่ใหม่ในซอยนิมมานฯ ๗ ซึ่งทำเลน่าจะดีกว่าตรงที่สามารถทะลุไปยัง ถนนศิริมังคลาจารย์ ได้ ซึ่งก็คาดว่าจะสามารถให้บริการได้ในต้นปีหน้า ส่วนกิจการไอศกรีมของฟ่อนก็คงย้ายไปอยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน
ผมจำได้ว่าไม่ได้เจอกับฟ่อนมานานมาก และไอ้นี่เนี่ยล่ะที่มาท้วงสัญญาผมว่า ไหนว่าอีก ๒ ปีข้างหน้าจะมาเที่ยวเชียงใหม่ ซึ่งเวลานั้นผมกำลังเริ่มทัวร์ต่างประเทศพอดี ฮ่าๆๆ และคราวนี้มาก็ดันเป็นวันครบรอบที่ได้เจอกันที่ผู้จัดการเมื่อ ๖ ที่แล้วด้วย แทบจะพูดได้ว่า ฟ่อนนี่ถือเป็นเพื่อนคนแรกในสังกัดใหม่ของผมเลยล่ะ
นั่งคุยกันสักพักจู่ๆ เจ้าของร้านก็สั่งเมนูเด็ดของบ้านตะวันฉายมาให้ได้ทาน ดูจากลักษณะเป็นแผ่นโรตีกลมๆ ขนาดใหญ่ถูกแบ่งออกเป็นชิ้นๆ สามเหลี่ยมแบบพิซซ่า ภายในมี ๒ ไส้ คือ ผักโขมอบชีส และ เห็ดอบชีส มีมายองเนสเป็นซอสให้จิ้ม เมนูนี้ชื่อว่า “จาปาตี” เป็นของว่างที่ใครมาก็ต้องลอง ผมก็ลองสิครับ มันก็อารมณ์เหมือนกินพิซซ่าแบบบางกรอบแต่เปลี่ยนจากแป้งพิซซ่า เป็นโรตี ก็อร่อยดีครับ แต่ผมชอบแบบผักโขมมากกว่าเห็ดแหะ
จากซอยนิมมานฯ ๑ ผมเดินข้ามฝั่งมาที่ซอยสุขเกษม อยู่ระหว่างซอยนิมมานฯ ๒ กับ ๖ เพื่อไปตามหาร้านอาหารอีสาน “ไก่ย่างเชิงดอย” ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าทีเด็ดของร้านนี้คงหนีไม่พ้น “ไก่ย่าง” ที่ในสังคมออนไลน์ต่างยกว่าควรมาโดน .. เข้าซอยมาพอสมควรก็เจอครับ ร้านตกแต่งเสมือนอยู่ในบ้านไม้ มีป้ายภาษาจีนเล็กๆ อยู่บนโต๊ะเพื่อให้ใช้แอพลิชั่นมือถือแลกเป็นส่วนลดได้ด้วย แสดงว่าต่างชาตินิยม
ผมสั่งไก่ย่างมาจานนึง ราคา ๗๐ บาท โอ้... โหดอยู่แหะ เป็นไก่ช่วงสะโพกไม่ติดน่อง ๒ ชิ้น ถูกสับแบ่งมาอย่างดี ทีเด็ดของมันคือหนังย่างมากรอบ ลองชิมดูก็เออ ใช้ได้แหะ แต่เนื้อไก่รสเค็มอ่อนๆ ไม่โดดเด่นมาก น้ำจิ้มแจ่วที่ให้มารสหนักไปทางหวาน กินคู่กันก็เฉยๆ แต่คนที่นี่เขาอาจจะชอบรสแบบนี้ก็ได้ ทานคู่กับข้าวเหนียว ๑ ห่อ ก็พอทำให้คลายหิวลงไปได้ ร้านเปิดประมาณ ๑๑ โมง ถึง สองทุ่ม หยุดวันจันทร์ ใครอยากมาลองก็เชิญได้
ร้านต่อไปไปเปลี่ยนบรรยากาศทานกาแฟกันบ้าง ... เดี๋ยวนะ กินกาแฟตอนเย็น แล้วจะได้นอนมั้ย??? แต่ไม่ทานก็ไม่ได้ครับ สำหรับร้านนี้ที่จัดว่ายอดฮิตอีก ๑ แห่งของย่านนิมมานฯ กับร้านที่ชื่อ “ริสเตรทโต” Ristr8to อยู่ฝั่งตรงข้ามของซอยร้านไก่ย่างเลยครับ ร้านนี้มีดียังไง? สาวๆ บอกบาริสต้าหล่อ ... เหรอ?? แน่นอนว่าผมคงไม่ได้มาเพราะคนชงแน่ๆ (แต่ถ้าร้านไหนบาริสต้าสวยก็อีกเรื่องนึง) เขาว่าที่นี่เจ้าของเคยไปแข่งได้อันดับที่ ๖ จากการแข่งขันลาเต้อาร์ตชิงแชมป์โลก (World Latte Art Championship 2011) ที่ฮอลแลนด์ เมื่อปี ๒๕๕๔ มาด้วยนะ เห็นมั้ยว่าไม่ธรรมดา
ที่นี่ภายนอกตกแต่งด้วยสีดำ ดูผิวเผินอาจไม่รู้ว่าเป็นร้านกาแฟ ถ้าไม่เห็นป้ายนะ ส่วนภายในก็เต็มไปด้วยกาแฟหลายชนิดวางจำหน่ายบนชั้น มีโต๊ะให้นั่งจำนวนหนึ่ง แน่นอนว่าคนทั้งไทยและเทศเต็มร้านเลยทีเดียว กาแฟที่นี่ผสมหลากหลายสายพันธุ์มีให้เลือกกันในเมนู ผมลองสั่งที่เขาฮิตในเว็บคือเมนู “แฟลตไวท์” (flat white) มันคืออะไรไม่รู้หรอก แต่พอเสิร์ฟมานี่ โอ้... ลายบนกาแฟร้อนรูปทรงใบไม้นี่สวยงามดี เสิร์ฟบนถาดรองที่มีข้อความกำกับ อาจบ่งบอกถึงกาแฟถ้วยนี้ เขียนว่า เอธิโอเปียเกรด ๒ ร้อยละ ๔๐ พีเอ็นจี (น่าจะหมายถึง ปาปัวนิวกินี) เกรด เอ ร้อยละ ๓๐ และ บราซิล เกรด เอส ๕ ร้อยละ ๓๐ พร้อมระบุข้อความ ริสเตรทโต เบลนด์ (ก็คงจะคั่วเอง) ซึ่งจะได้รสสัมผัสของช็อกโกแลต ความหอมละมุนของกาแฟ และตบท้ายด้วยรสหวาน อื้อหือ...มันสัมผัสได้ถึงขนาดนั้นเลยเหรอวะ??
พอชิมเข้าไปนี่กลิ่นหอมกาแฟเตะจมูกจริง ดูเหมือนจะอ่อนแต่กลับเข้มเหมือนเพลงร็อคที่ร้านเปิดให้ลูกค้าฟัง ก็ได้อารมณ์ไปอีกแบบ ที่ชอบมากๆ คือร้านนี้ลูกค้าสาวหมวยชาวจีนนั่งกันเพียบเลย ^ ^ .... ถ้วยนี้ราคา ๙๘ บาทครับ ร้านเปิดทุกวันตั้งแต่ ๗ โมงเช้า ๘ นาที ถึง ๖ โมงเย็น ๘ นาที (มีถือฤกษ์ด้วยแหะ)
เริ่มเข้าสู่พลบค่ำ รู้สึกวันนี้ยังกินได้ไม่เยอะเลยแหะ แต่มันก็ใกล้เวลาที่จะต้องไปสนามบินแล้วสิ .. ว่าแล้วก็ปิดท้ายมื้อเย็นด้วยก๋วยเตี๋ยวดีกว่า (อะไรกัน ทั้งวันกินแต่ก๋วยเตี๋ยวเหรอ???) และร้านนี้ก็จัดเป็นอีก ๑ ไอเท็มถูกและดีของย่าน นั่นคือ “บะหมี่ซุปกระดูกหมู” ร้าน “สุดยอด นิมมาน” อยู่ในซอยเล็กๆ ข้างฮิลล์ไซด์คอนโด ๒ ตรงข้ามกับซอยนิมมานฯ ๑๓ ร้านเป็นตึกแถว ๒ ชั้น ๑ คูหา ด้านหน้าเขียนป้ายชัดเจน มีตู้และหม้อก๋วยเตี๋ยวตั้ง ขายตั้งแต่ ๘ โมงเช้า – สี่ทุ่ม หยุดวันเสาร์
ดูภายนอกก็เหมือนร้านก่วยเตี๋ยวธรรมดาทั่วไป แต่มีเมนูนั้นเป็นอาหารแนะนำของร้าน และแน่นอนผมคงไม่พลาด สั่งมาเลยครับ... สิ่งที่ได้ก็คือ บะหมี่ และ เนื้อติดกระดูกหมูชิ้นเบ้อเริ่ม .. และยิ่งแคะยิ่งเจอแต่เนื้อ เนื้อ และก็เนื้อ มีกระดูกอยู่นิดนึง ตัวบะหมี่เป็นเส้นแบนแบบที่ชอบด้วยแหะ น้ำซุปรสหวานเค็มกำลังดีเลย เนื้อหมูนี่นุ่มเคี้ยวง่ายจริงๆ เป็นมื้อที่ไม่คาดคิดว่ามันจะอร่อยขนาดนี้ .. ที่สำคัญ ราคาชามนี้แค่ ๓๕ บาท!! อิ่มเลยครับ
และแล้วก็ได้เวลากลับบ้าน ... กลับไปที่พักที่เราฝากกระเป๋าและของฝาก ระหว่างนั้นเจอเจ้าของกำลังทำกาแฟให้ลูกค้า เหลือบดูเวลา เออ ยังพอมี อุดหนุนเขาสักหน่อยดีกว่า ... ร้านกาแฟของเขาชื่อ “บาริสสิเย่ร์” (Barissier) ร้านนี้เพิ่งเปิดมาได้ไม่กี่ปี เจ้าของร้านอายุยี่สิบต้น ๆ เป็นเด็กกรุงเทพฯ มาเรียนมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แล้วชอบบรรยากาศของเมืองนี้ พอจบมาก็เลยตัดสินใจทำธุรกิจทั้งร้านกาแฟและโรงแรมขนาดเล็ก
ร้านนี้เปิด ๑๐ โมง ปิดก็ราวๆ สามทุ่มได้ ภายในตกแต่งด้วยสีน้ำเงินและขาว มีแผนที่เมือง ภาพวาดฝาผนังบรรยากาศเมืองสมัยก่อน และยังเต็มไปด้วยหมีน้อยน่ารักให้สาวๆ ได้กอดและถ่ายรูปเล่นอีกด้วย น้องเจ้าของบอกที่นี่จะฮิตมากเวลาสอบ นักศึกษาชอบมา เพราะเงียบ คนไม่พลุกพล่าน มาถึงกาแฟกันบ้างดีกว่า ผมสั่งเบาๆ อย่าง ลาเต้ร้อน เสิร์ฟมาพร้อมลายรูปหัวใจ แม้รสและกลิ่นจะไม่ได้เทพแบบริสเตรทโต้ แต่ก็เข้มหอมไม่ได้ขี้เหร่นะ และการสนทนาก็พอจะทำให้กาแฟถ้วยนี้มีชีวิตขึ้นมาอีกเยอะ
คุยกันจนสมควรแก่เวลา จึงต้องขออำลาเก็บสิ่งที่ฝากไว้แบกใส่หลังพร้อมมือถือของฝากอันพะรุงพะรัง เพื่อมุ่งหน้าสู่สนามบินเชียงใหม่ กับรถแดงที่โบกได้ ในราคา ๕๐ บาท นั่งโดยสารพร้อมกับ ๒ แม่ลูกชาวกรุงที่เดินทางกลับสู่เมืองหลวงเช่นกัน
เท่าที่สำรวจดูนิมมานฯ วันนี้ มีความแตกต่าง ผสมผสานที่น่าสนใจ บ้านเก่าบางหลังถูกร้านที่สมัยใหม่เข้าครอบครองแต่แทนที่จะดัดแปลงใหม่กลับอนุรักษ์ของเดิมเอาไว้จนดูแปลกตากว่าสาขาอื่น เป็นย่านที่มีของกินมากมาย ชาวไทยและต่างชาติพลุกพล่าน ดูเหมือนจะคึกคัก แต่เอาเข้าจริงก็เป็นเพียงแค่บางโซนเท่านั้น มีร้านเหล้ามากมาย แต่เราจะได้เห็นทางเลือกใหม่ของคนไม่ดื่มแต่สามารถเสพดนตรีได้ด้วยการเดินเข้าไปดื่มนมในร้านขายนมที่อยู่ติดกับบาร์กลางแจ้ง
ถือเป็นการปิดท้ายทริปสโลว์ไลฟ์ ที่ได้อะไรมากกว่าการเดินทางเดิมๆ ... ถือเป็นอีกหนึ่งช่วงชีวิตที่ได้ปล่อยวาง ไม่ต้องคิด ไม่ต้องเข้มงวดอะไร ... และก็ทำให้คิดได้ว่า บางครั้ง ชีวิตมันก็ไม่จำเป็นต้องไปวางแผนอะไรให้มันยุ่งยากบ้างก็ได้
ขอบคุณผู้ร่วมบันทึกการเดินทางของผมทุกคน ขอบคุณผู้อ่านที่ติดตามอ่านซี่รี่ย์ “สโลว์ไลฟ์มั้ยจ๊ะ ภาค ๑ (เชียงใหม่)” กันตั้งแต่ต้น หวังว่าอีกไม่นานผมคงจะได้เขียนเรื่องราวการท่องเที่ยวแบบสบายๆ ให้ได้อ่านกันอีก แต่เมื่อไหร่ ...ไม่รู้นะ
สโลว์ไลฟ์มั้ยจ๊ะ ๑.๐ : เชียงใหม่ 3rd time.
สโลว์ไลฟ์มั้ยจ๊ะ ๑.๑ : ควันหลงโคมลอย ที่ท่าแพ
สโลว์ไลฟ์มั้ยจ๊ะ ๑.๒ : พิพิธภัณฑ์พื้นถิ่นล้านนา
สโลว์ไลฟ์มั้ยจ๊ะ ๑.๓ : "เทียนนกแก้ว" ที่สุดแห่ง "ดอยหลวงเชียงดาว"
สโลว์ไลฟ์มั้ยจ๊ะ ๑.๔ : “ดอยกิ่วลม” ดงดอกไม้ที่หาไม่ได้ในสยาม
สโลว์ไลฟ์มั้ยจ๊ะ ๑.๕ : นิมมานฯ ย่านอร่อย? ๑
๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ : ตลาดสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
ปณิธานในวันนี้ คือการหาของกินอร่อยๆ ตามที่ผมเห็นเขานิยมกันในเว็บไซต์อาหารชื่อดัง ในลิสต์ที่ผมจดมาก็เยอะแยะ แต่เอาเข้าจริง จะกินได้สักกี่ร้านกันนะ....
ผมเดินออกจากตลาดมาตามถนนสุเทพ กลับไปทางแยกที่เชื่อมสู่ถนนนิมมานเหมินทร์ ใจจริงอยากไปกินบะหมี่ใต้หอพยาบาลของโรงพยาบาลสวนดอก มีหลายเสียงแนะนำมาว่าเป็นไอเท็มลับ แต่เอาเข้าจริงมันน่าจะไกลมากจากจุดนี้ แถมสภาพของผมในเสื้อยืดแขนยาว กางเกงบอลนี่ .. ด้วยหุ่นอันมิน่าภิรมย์แบบนี้ สาวๆ เห็นก็คงไม่ปลื้มเท่าไหร่นัก (โถ...พ่อ ณเดชน์) แถม ๒ มือยังเต็มไปด้วยของฝากเป็นไอ้บ้าหอบฟาง เลยจอดอยู่หน้าประตูวัดสวนดอก ด้อมๆ มองๆ เข้าไปภายในวัด ขอถ่ายรูปตรงประตูทางเข้า แล้วเดินกลับมาสู่เส้นทางเดิม
เจอร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าหนึ่งดูน่ากินมาก มีป้ายเบ้อเริ่มชื่อ "เย็นตาโฟศรีพิงค์" หน้าร้านตั้งเตาหม้อลวกเส้นและเคี่ยวน้ำซุปแถมในตู้โชว์ยังเต็มไปด้วยเกี๊ยวทอด เอ๊ะ น่าสนใจแหะ แวะสักหน่อยดีกว่า ไอ้ผมก็ไม่ทราบหรอกว่าเจ้านี้เขาดังและเก่าแก่ บ้างก็ว่า ขายมานานกว่า ๔๐ ปี ผมจัดแจงนั่งโต๊ะหน้าร้าน สั่งเส้นใหญ่เย็นตาโฟธรรมดา ๑ ชาม ราคา ๕๐ บาท จัดว่าแพงใช่เล่น แต่พอเขามาเสิร์ฟก็พอจะเข้าใจ (นิดนึง) เครื่องค่อนข้างเยอะอยู่ มีเลือดหมู เต้าหู้ทอด ฮือก๊วย ลูกชิ้นปลา ปลาหมึกกรอบ และเกี๊ยวทอดที่ดูน่ากินมากๆ (แล้วทำไมไม่สั่งแต่เกี๊ยวมากินวะ?)
น้ำซุปถูกซอสเย็นตาโฟหนาๆ โปะลงมาจนกลายเป็นสีชมพูเข้มข้น มีร่องรอยการปรุงเรียบร้อย คนๆ ให้เข้ากันดีแล้วชิม สัมผัสแรกจัดว่าเปรี้ยวน้ำส้มสายชูนัก ถ้าใครชอบรสเปรี้ยวก็เหมาะอยู่ ส่วนซอสที่นี่เป็นสูตรเต้าหู้ยี้ จะได้กลิ่นอยู่แต่ไม่แรงมาก ส่วนทีเด็ดอย่างเกี๊ยวทอดแผ่นหนาดีจริงๆ ลูกชิ้นก็โอเคนะ ... ผมสังเกตเห็นที่เตาจะมีป้าคนนึงโดดเด่นมาก แกยืนลวกก๋วยเตี๋ยวในชุดผ้าไหม(น่าจะใช่) สีฟ้า ที่ดูเหมือนคุณนายจะไปออกงานอะไรสักอย่าง สงสัยว่าคงเป็นเจ้าของร้านแน่ๆ
ถือว่าเริ่มต้นมื้อแรกด้วยดี ได้มาเยือนร้านในตำนาน ... ที่เขาว่าอร่อย?
ต่อกันกับร้านที่ ๒ เลยแล้วกัน ... เฮ้ยๆ อย่าเพิ่งใจร้อนสิ ... แค่ชามนั้นก็เล่นเอาคนไม่เคยกินข้าวเช้ารู้สึกแน่นเหมือนกัน เลยเดินกลับไปที่พัก เพื่อจัดสัมภาระให้เรียบร้อยก่อนจะฝากกระเป๋าไว้ที่ร้านกาแฟด้านล่าง ที่นี่ดีตรงที่เขาให้เช็คเอาท์ได้ก่อนเที่ยง เราจึงสามารถอิดออดเอ้อระเหยค่อยๆ เก็บโน้นนี่นั่นไปแบบใจเย็น อ่อ ผมยังไม่ได้เล่าเรื่องห้องพักให้ฟังนิ ที่ผมอาศัยเมื่อคืนนี้เป็นห้องเดี่ยวใต้หลังคาครับ จัดห้องสไตล์น่ารัก บนเตียงมีตุ๊กตาวางไว้ด้วย แหม...เหมาะกับหน้าผมจริงๆ ภายในห้องมีหน้าต่าง ห้องน้ำ ตู้เย็น ทีวีที่มีช่องดาวเทียมเยอะแยะให้ได้ดู โดยรวมกับคืนละ ๘๐๐ บาท กลางย่านนิมมานฯ นี่ก็โอเคอยู่นะ
เช็คเอาท์ ฝากกระเป๋าเสร็จสรรพก็ออกไปหาอะไรกินต่อ แหมชีวิตดี๊ดีวิถีสโลว์ไลฟ์จริงๆ นะพ่อคุณ คราวนี้ผมเดินทะลุซอย ๑๗ ไปที่ถนนศิริมังคลาจารย์ ใกล้ๆ กัน เพื่อตามหาร้านที่ชื่อว่า “ก๋วยเตี๋ยวอัญชัน” อะไรกันกินก๋วยเตี๋ยวอีกแล้ว ... ก็ร้านนี้เขาออกจะดังอยู่ แถมมีความแปลกที่สีของเส้นไม่เหมือนใครด้วย เดินตามหามาเรื่อยๆ จนถึงซอย ๙ เข้าซอยมาไม่ไกลก็เจอ เป็นร้านอาคารชั้นเดียว ตกแต่งดูเป็นร้านอาหารมากกว่าร้านก๋วยเตี๋ยว มีทั้งโซนร้อนและเย็น เย็นคืออยู่ในห้องแอร์ไง ... ร้านนี้แต่ก่อนอยู่ในซอยนิมมานฯ ๗ แล้วก็ย้ายมาอยู่ยังที่ปัจจุบันนี้ เปิดตั้งแต่ ๙ โมง ยัน สี่โมงเย็น
สั่งเมนูซิกเนเจอร์ตามชื่อร้าน นั่นคือ ”ก๋วยเตี๋ยวอัญชัน” มีเครื่องให้เลือก ๓ ชนิด คือ หมูชิ้น หมูสับ และ ลูกชิ้นหมู ผมเลือกแบบหมูชิ้นไป ทั้งหมดในราคา ๔๐ บาท ถ้าเพิ่มอีก ๕ บาท จะได้หมูย่างหรือหมูกรอบ แม้ว่าเวลานี้เที่ยงกว่าๆ คนพลุกพล่านทั้งไทยและจีน แต่อาหารก็รอไม่นาน สิ่งที่ได้ก็คือก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กสีน้ำเงินคลุกน้ำมันหอมเจียว ม้วนเป็นก้อนบนจานที่มีผักกาดหอมรอง ด้านบนมีมะเขือเทศครึ่งลูกโปะ ข้างๆ มีหมูลวกเป็นชิ้นๆ พร้อมกะหล่ำปลีลวก และก็มีน้ำจิ้มที่ดูคล้ายๆ แจ่ว มีน้ำซุปให้มาอีกถ้วยด้วย
แล้วจะกินยังไง? ผมลองจากเอาหมูไปจิ้มน้ำจิ้มแล้วกินกับเส้น ก็ดูไม่ค่อยลงตัว เลยลองเอาน้ำจิ้มเทแล้วคลุกทุกอย่างรวมกัน ... สรุปมันก็คือ ก๋วยเตี๋ยวต้มยำแห้งนี่เอง รสชาติออกคล้ายๆ ก๋วยเตี๋ยวสุโขทัยที่มีทั้งหวาน เผ็ด เปรี้ยว เค็ม ผสมกัน ก็ได้ความแปลกดี ผมดูในใบเมนูมีอีกหลายอย่างที่น่าสนใจ ทั้งหมี่กะทิ ก๋วยเตี๋ยวต้มยำ หรือว่าเมนูข้าว ก็น่าลอง แต่ว่า ผมยังมีภารกิจต้องตามหาอีกหลายร้าน เลยไม่ได้ทาน
ออกจากซอย ๙ ก็มุ่งหน้าตามหาร้านข้าวมันไก่ เจ้าดังบนถนนนี้ เขาบอกอยู่ต้นซอยแต่พอเดินหากลับไม่เจอ ประกอบกับน้องๆ กลุ่มพยาบาลโทรมาชวนเพื่อพบหน้าก่อนแยกย้ายที่กาดสวนแก้ว ก็เลยไม่ได้ตามต่อ ใช้เวลาเดินพอสมควรเลยแหะจากถนนศิริมังคลาจารย์ เนี่ย ห้างนี้ตอนแรกนึกว่ามีแค่เซ็นทรัล แต่จริงๆ มันคือ อุทยานการค้ากาดสวนแก้ว ศูนย์การค้าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี ๒๕๓๕ นอกจากห้างแล้วยังมีโรงแรม ลานเครื่องเล่น และโรงภาพยนตร์ด้วย ผมเดินเล่นเรื่อยๆ ดูสภาพภายในยังคงความเป็นห้างสไตล์เก่าไว้ ที่ชอบคือตรงส่วนของประชาสัมพันธ์ ไม่ใช่ว่าน้องพนักงานต้อนรับน่ารัก แต่เขาใช้ป้ายโฆษณาแบบแมนนวล นำอักษรตัวพลาสติกแปะกับกระดานดูคลาสสิคมากๆ
เสร็จจากการพบปะและร่ำลาส่งน้องๆ พยาบาลไปเตรียมเดินทางกลับสู่ชลบุรี ก็ได้เวลาไปตามหาของกินกันต่อที่ถนนนิมมานฯ คราวนี้เป็นร้านไอศกรีมของเพื่อนผมครับ ตั้งอยู่ในซอยนิมมานฯ ๑ ชื่อว่า “จอลลี่ เบอร์รี่” (Jolly Berry) กิจการส่วนตัวของ ฟ่อน อดีตผู้สื่อข่าวประจำกองบรรณาธิการข่าวจีน ผู้จัดการออนไลน์ ร้านเป็นส่วนหนึ่งของร้านอาหาร “บ้านตะวันฉาย” กะให้ลูกค้าพออิ่มจากข้าวก็ต่อด้วยไอติมเลย
ลักษณะของไอศกรีมเป็นแบบกดตู้ หรือที่เรียกว่าซอร์ฟเสิร์ฟ ทำมาจากโยเกิร์ต แล้วก็ใส่เครื่องทั้งผลไม้สด ผลไม้แห้ง มาชแมลโลว์ เยลลี่ ช็อกโกแลต และอื่นๆ อีกมากมาย ได้ตามใจ ก่อนนำไปชั่งกิโลเพื่อคิดเป็นราคา ขีดละ ๕๕ บาท ฟ่อน บอกว่า ที่เลือกขายไอศกรีมแบบนี้เพราะแถวนี้ไม่ค่อยมีคนนำมาขาย จะได้เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งของชาวบ้าน ส่วนรสชาติไอศกรีมที่นี่เน้นเปรี้ยวละมุนนมแบบโยเกิร์ต หวานน้อยกำลังดี
แต่ทว่า...ร้านนี้กำลังจะปิดตัวในเดือนนี้ (ธ.ค.๕๘) พร้อมกับอีกหลายๆ ร้านในซอย
เพราะเจ้าของที่ตัดสินใจขอคืนพื้นที่ เพื่อไปใช้ทำธุรกิจอื่น ทำให้หลายร้านที่อยู่ในบ้านทรงดั่งเดิมของย่านต้องแยกย้ายหาที่อยู่กันใหม่ เช่นเดียวกับบ้านตะวันฉาย แต่โชคดีที่ยังได้ที่ใหม่ในซอยนิมมานฯ ๗ ซึ่งทำเลน่าจะดีกว่าตรงที่สามารถทะลุไปยัง ถนนศิริมังคลาจารย์ ได้ ซึ่งก็คาดว่าจะสามารถให้บริการได้ในต้นปีหน้า ส่วนกิจการไอศกรีมของฟ่อนก็คงย้ายไปอยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน
ผมจำได้ว่าไม่ได้เจอกับฟ่อนมานานมาก และไอ้นี่เนี่ยล่ะที่มาท้วงสัญญาผมว่า ไหนว่าอีก ๒ ปีข้างหน้าจะมาเที่ยวเชียงใหม่ ซึ่งเวลานั้นผมกำลังเริ่มทัวร์ต่างประเทศพอดี ฮ่าๆๆ และคราวนี้มาก็ดันเป็นวันครบรอบที่ได้เจอกันที่ผู้จัดการเมื่อ ๖ ที่แล้วด้วย แทบจะพูดได้ว่า ฟ่อนนี่ถือเป็นเพื่อนคนแรกในสังกัดใหม่ของผมเลยล่ะ
นั่งคุยกันสักพักจู่ๆ เจ้าของร้านก็สั่งเมนูเด็ดของบ้านตะวันฉายมาให้ได้ทาน ดูจากลักษณะเป็นแผ่นโรตีกลมๆ ขนาดใหญ่ถูกแบ่งออกเป็นชิ้นๆ สามเหลี่ยมแบบพิซซ่า ภายในมี ๒ ไส้ คือ ผักโขมอบชีส และ เห็ดอบชีส มีมายองเนสเป็นซอสให้จิ้ม เมนูนี้ชื่อว่า “จาปาตี” เป็นของว่างที่ใครมาก็ต้องลอง ผมก็ลองสิครับ มันก็อารมณ์เหมือนกินพิซซ่าแบบบางกรอบแต่เปลี่ยนจากแป้งพิซซ่า เป็นโรตี ก็อร่อยดีครับ แต่ผมชอบแบบผักโขมมากกว่าเห็ดแหะ
จากซอยนิมมานฯ ๑ ผมเดินข้ามฝั่งมาที่ซอยสุขเกษม อยู่ระหว่างซอยนิมมานฯ ๒ กับ ๖ เพื่อไปตามหาร้านอาหารอีสาน “ไก่ย่างเชิงดอย” ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าทีเด็ดของร้านนี้คงหนีไม่พ้น “ไก่ย่าง” ที่ในสังคมออนไลน์ต่างยกว่าควรมาโดน .. เข้าซอยมาพอสมควรก็เจอครับ ร้านตกแต่งเสมือนอยู่ในบ้านไม้ มีป้ายภาษาจีนเล็กๆ อยู่บนโต๊ะเพื่อให้ใช้แอพลิชั่นมือถือแลกเป็นส่วนลดได้ด้วย แสดงว่าต่างชาตินิยม
ผมสั่งไก่ย่างมาจานนึง ราคา ๗๐ บาท โอ้... โหดอยู่แหะ เป็นไก่ช่วงสะโพกไม่ติดน่อง ๒ ชิ้น ถูกสับแบ่งมาอย่างดี ทีเด็ดของมันคือหนังย่างมากรอบ ลองชิมดูก็เออ ใช้ได้แหะ แต่เนื้อไก่รสเค็มอ่อนๆ ไม่โดดเด่นมาก น้ำจิ้มแจ่วที่ให้มารสหนักไปทางหวาน กินคู่กันก็เฉยๆ แต่คนที่นี่เขาอาจจะชอบรสแบบนี้ก็ได้ ทานคู่กับข้าวเหนียว ๑ ห่อ ก็พอทำให้คลายหิวลงไปได้ ร้านเปิดประมาณ ๑๑ โมง ถึง สองทุ่ม หยุดวันจันทร์ ใครอยากมาลองก็เชิญได้
ร้านต่อไปไปเปลี่ยนบรรยากาศทานกาแฟกันบ้าง ... เดี๋ยวนะ กินกาแฟตอนเย็น แล้วจะได้นอนมั้ย??? แต่ไม่ทานก็ไม่ได้ครับ สำหรับร้านนี้ที่จัดว่ายอดฮิตอีก ๑ แห่งของย่านนิมมานฯ กับร้านที่ชื่อ “ริสเตรทโต” Ristr8to อยู่ฝั่งตรงข้ามของซอยร้านไก่ย่างเลยครับ ร้านนี้มีดียังไง? สาวๆ บอกบาริสต้าหล่อ ... เหรอ?? แน่นอนว่าผมคงไม่ได้มาเพราะคนชงแน่ๆ (แต่ถ้าร้านไหนบาริสต้าสวยก็อีกเรื่องนึง) เขาว่าที่นี่เจ้าของเคยไปแข่งได้อันดับที่ ๖ จากการแข่งขันลาเต้อาร์ตชิงแชมป์โลก (World Latte Art Championship 2011) ที่ฮอลแลนด์ เมื่อปี ๒๕๕๔ มาด้วยนะ เห็นมั้ยว่าไม่ธรรมดา
ที่นี่ภายนอกตกแต่งด้วยสีดำ ดูผิวเผินอาจไม่รู้ว่าเป็นร้านกาแฟ ถ้าไม่เห็นป้ายนะ ส่วนภายในก็เต็มไปด้วยกาแฟหลายชนิดวางจำหน่ายบนชั้น มีโต๊ะให้นั่งจำนวนหนึ่ง แน่นอนว่าคนทั้งไทยและเทศเต็มร้านเลยทีเดียว กาแฟที่นี่ผสมหลากหลายสายพันธุ์มีให้เลือกกันในเมนู ผมลองสั่งที่เขาฮิตในเว็บคือเมนู “แฟลตไวท์” (flat white) มันคืออะไรไม่รู้หรอก แต่พอเสิร์ฟมานี่ โอ้... ลายบนกาแฟร้อนรูปทรงใบไม้นี่สวยงามดี เสิร์ฟบนถาดรองที่มีข้อความกำกับ อาจบ่งบอกถึงกาแฟถ้วยนี้ เขียนว่า เอธิโอเปียเกรด ๒ ร้อยละ ๔๐ พีเอ็นจี (น่าจะหมายถึง ปาปัวนิวกินี) เกรด เอ ร้อยละ ๓๐ และ บราซิล เกรด เอส ๕ ร้อยละ ๓๐ พร้อมระบุข้อความ ริสเตรทโต เบลนด์ (ก็คงจะคั่วเอง) ซึ่งจะได้รสสัมผัสของช็อกโกแลต ความหอมละมุนของกาแฟ และตบท้ายด้วยรสหวาน อื้อหือ...มันสัมผัสได้ถึงขนาดนั้นเลยเหรอวะ??
พอชิมเข้าไปนี่กลิ่นหอมกาแฟเตะจมูกจริง ดูเหมือนจะอ่อนแต่กลับเข้มเหมือนเพลงร็อคที่ร้านเปิดให้ลูกค้าฟัง ก็ได้อารมณ์ไปอีกแบบ ที่ชอบมากๆ คือร้านนี้ลูกค้าสาวหมวยชาวจีนนั่งกันเพียบเลย ^ ^ .... ถ้วยนี้ราคา ๙๘ บาทครับ ร้านเปิดทุกวันตั้งแต่ ๗ โมงเช้า ๘ นาที ถึง ๖ โมงเย็น ๘ นาที (มีถือฤกษ์ด้วยแหะ)
เริ่มเข้าสู่พลบค่ำ รู้สึกวันนี้ยังกินได้ไม่เยอะเลยแหะ แต่มันก็ใกล้เวลาที่จะต้องไปสนามบินแล้วสิ .. ว่าแล้วก็ปิดท้ายมื้อเย็นด้วยก๋วยเตี๋ยวดีกว่า (อะไรกัน ทั้งวันกินแต่ก๋วยเตี๋ยวเหรอ???) และร้านนี้ก็จัดเป็นอีก ๑ ไอเท็มถูกและดีของย่าน นั่นคือ “บะหมี่ซุปกระดูกหมู” ร้าน “สุดยอด นิมมาน” อยู่ในซอยเล็กๆ ข้างฮิลล์ไซด์คอนโด ๒ ตรงข้ามกับซอยนิมมานฯ ๑๓ ร้านเป็นตึกแถว ๒ ชั้น ๑ คูหา ด้านหน้าเขียนป้ายชัดเจน มีตู้และหม้อก๋วยเตี๋ยวตั้ง ขายตั้งแต่ ๘ โมงเช้า – สี่ทุ่ม หยุดวันเสาร์
ดูภายนอกก็เหมือนร้านก่วยเตี๋ยวธรรมดาทั่วไป แต่มีเมนูนั้นเป็นอาหารแนะนำของร้าน และแน่นอนผมคงไม่พลาด สั่งมาเลยครับ... สิ่งที่ได้ก็คือ บะหมี่ และ เนื้อติดกระดูกหมูชิ้นเบ้อเริ่ม .. และยิ่งแคะยิ่งเจอแต่เนื้อ เนื้อ และก็เนื้อ มีกระดูกอยู่นิดนึง ตัวบะหมี่เป็นเส้นแบนแบบที่ชอบด้วยแหะ น้ำซุปรสหวานเค็มกำลังดีเลย เนื้อหมูนี่นุ่มเคี้ยวง่ายจริงๆ เป็นมื้อที่ไม่คาดคิดว่ามันจะอร่อยขนาดนี้ .. ที่สำคัญ ราคาชามนี้แค่ ๓๕ บาท!! อิ่มเลยครับ
และแล้วก็ได้เวลากลับบ้าน ... กลับไปที่พักที่เราฝากกระเป๋าและของฝาก ระหว่างนั้นเจอเจ้าของกำลังทำกาแฟให้ลูกค้า เหลือบดูเวลา เออ ยังพอมี อุดหนุนเขาสักหน่อยดีกว่า ... ร้านกาแฟของเขาชื่อ “บาริสสิเย่ร์” (Barissier) ร้านนี้เพิ่งเปิดมาได้ไม่กี่ปี เจ้าของร้านอายุยี่สิบต้น ๆ เป็นเด็กกรุงเทพฯ มาเรียนมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แล้วชอบบรรยากาศของเมืองนี้ พอจบมาก็เลยตัดสินใจทำธุรกิจทั้งร้านกาแฟและโรงแรมขนาดเล็ก
ร้านนี้เปิด ๑๐ โมง ปิดก็ราวๆ สามทุ่มได้ ภายในตกแต่งด้วยสีน้ำเงินและขาว มีแผนที่เมือง ภาพวาดฝาผนังบรรยากาศเมืองสมัยก่อน และยังเต็มไปด้วยหมีน้อยน่ารักให้สาวๆ ได้กอดและถ่ายรูปเล่นอีกด้วย น้องเจ้าของบอกที่นี่จะฮิตมากเวลาสอบ นักศึกษาชอบมา เพราะเงียบ คนไม่พลุกพล่าน มาถึงกาแฟกันบ้างดีกว่า ผมสั่งเบาๆ อย่าง ลาเต้ร้อน เสิร์ฟมาพร้อมลายรูปหัวใจ แม้รสและกลิ่นจะไม่ได้เทพแบบริสเตรทโต้ แต่ก็เข้มหอมไม่ได้ขี้เหร่นะ และการสนทนาก็พอจะทำให้กาแฟถ้วยนี้มีชีวิตขึ้นมาอีกเยอะ
คุยกันจนสมควรแก่เวลา จึงต้องขออำลาเก็บสิ่งที่ฝากไว้แบกใส่หลังพร้อมมือถือของฝากอันพะรุงพะรัง เพื่อมุ่งหน้าสู่สนามบินเชียงใหม่ กับรถแดงที่โบกได้ ในราคา ๕๐ บาท นั่งโดยสารพร้อมกับ ๒ แม่ลูกชาวกรุงที่เดินทางกลับสู่เมืองหลวงเช่นกัน
เท่าที่สำรวจดูนิมมานฯ วันนี้ มีความแตกต่าง ผสมผสานที่น่าสนใจ บ้านเก่าบางหลังถูกร้านที่สมัยใหม่เข้าครอบครองแต่แทนที่จะดัดแปลงใหม่กลับอนุรักษ์ของเดิมเอาไว้จนดูแปลกตากว่าสาขาอื่น เป็นย่านที่มีของกินมากมาย ชาวไทยและต่างชาติพลุกพล่าน ดูเหมือนจะคึกคัก แต่เอาเข้าจริงก็เป็นเพียงแค่บางโซนเท่านั้น มีร้านเหล้ามากมาย แต่เราจะได้เห็นทางเลือกใหม่ของคนไม่ดื่มแต่สามารถเสพดนตรีได้ด้วยการเดินเข้าไปดื่มนมในร้านขายนมที่อยู่ติดกับบาร์กลางแจ้ง
ถือเป็นการปิดท้ายทริปสโลว์ไลฟ์ ที่ได้อะไรมากกว่าการเดินทางเดิมๆ ... ถือเป็นอีกหนึ่งช่วงชีวิตที่ได้ปล่อยวาง ไม่ต้องคิด ไม่ต้องเข้มงวดอะไร ... และก็ทำให้คิดได้ว่า บางครั้ง ชีวิตมันก็ไม่จำเป็นต้องไปวางแผนอะไรให้มันยุ่งยากบ้างก็ได้
ขอบคุณผู้ร่วมบันทึกการเดินทางของผมทุกคน ขอบคุณผู้อ่านที่ติดตามอ่านซี่รี่ย์ “สโลว์ไลฟ์มั้ยจ๊ะ ภาค ๑ (เชียงใหม่)” กันตั้งแต่ต้น หวังว่าอีกไม่นานผมคงจะได้เขียนเรื่องราวการท่องเที่ยวแบบสบายๆ ให้ได้อ่านกันอีก แต่เมื่อไหร่ ...ไม่รู้นะ