xs
xsm
sm
md
lg

สโลว์ไลฟ์มั้ยจ๊ะ ๑.๔ : “ดอยกิ่วลม” ดงดอกไม้ที่หาไม่ได้ในสยาม

เผยแพร่:   โดย: ดรงค์ ฤทธิปัญญา

ความเดิมต่อที่แล้ว อ่าน
สโลว์ไลฟ์มั้ยจ๊ะ ๑.๐ : เชียงใหม่ 3rd time.
สโลว์ไลฟ์มั้ยจ๊ะ ๑.๑ : ควันหลงโคมลอย ที่ท่าแพ
สโลว์ไลฟ์มั้ยจ๊ะ ๑.๒ : พิพิธภัณฑ์พื้นถิ่นล้านนา
สโลว์ไลฟ์มั้ยจ๊ะ ๑.๓ : "เทียนนกแก้ว" ที่สุดแห่ง "ดอยหลวงเชียงดาว"

๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ : ดอยหลวงเชียงดาว จ.เชียงใหม่

เดินป่ามันคือการฝึกความอดทนของชีวิตอย่างหนึ่ง โดยมีจุดหมายอยู่ปลายทางให้เราได้สัมผัสในไม่ช้า หากเราตั้งใจและฝืนร่างนำพาไปให้ถึง ซึ่งต่างกับชีวิตจริงที่ปลายทางมันอาจไม่ได้มีจุดสิ้นสุดบนยอดภูเขา

แต่...ปลายทางของผมวันนี้ขอหยุดอยู่แค่ที่พักก่อน อาจเป็นเพราะสภาพร่างกายไม่สมบูรณ์ทำให้ผมเหนื่อยล้าเหลือเกิน มีหลายคนถามผมว่า ไปดูพระอาทิตย์ตกดินบนยอดดอยกันมั้ย ผมได้แต่ส่ายหัว ... โถ... แค่เดินมาถึงนี่ก็เป็นบุญหนักหนาแล้ว

ที่พักของผมอยู่ลึกเข้ามาพอสมควร เป็นลานที่มีต้นไม้ปกคลุม มีเต๊นท์มากมายเรียงรายกันเต็มไปหมด หลายหลังถูกผู้มาก่อนจับจองไป เหลือเพียงแค่ไม่กี่หลังที่ยังพอว่าง และผม มาคนเดียว ตัวเลือกยิ่งน้อยลง สุดท้ายพี่ๆ ทีมอำนวยการก็ได้เลือกเต๊นท์เล็กๆ ขนาด ๑ คนนอนให้ได้ซุกอาศัย โดยพี่ อบต.ลงมือเป็นเฮดเชฟ ทำกับข้าวให้พวกเรามากกว่า ๔๐ ชีวิต ทั้งคณะของเราและเขาได้ทานกันในมื้อเย็น
ภาพบน - ด่านหน้าสู่ที่พักที่อยู่ด้านใน
หลายคนก็แยกย้ายกันเข้าเต๊นท์ บ้างก็ขึ้นยอดดอย ไปช่วยเขาทำกับข้าว เดินเล่น แต่กิจกรรมหนึ่งที่ไม่มีใครได้ทำกันเลยก็คือ อาบน้ำ!! ไม่ใช่ว่าหนาว แต่เพราะบนนี้ไม่มีลำธารให้ได้อาบกันน่ะสิ การใช้น้ำจึงต้องนำขึ้นมาจากพื้นล่างเท่านั้น และใช้ได้เพียงดื่ม หนักหน่อยก็แปรงฟัน แล้วห้องน้ำล่ะ?? ที่นี่ทำเป็นห้องส้วมขุดหลุมลึกไว้ได้ขับถ่าย สภาพห้องใช้ผ้าพลาสติกตีเป็นทรงกล่องเท่านั้น มีประตูทางเข้า ภายในยังไม่เละเท่ากับส้วมยุคเอะโดะ ที่เขาช้างเผือก เท่าไหร่ สิ่งหนึ่งที่ควรติดใส่สัมภาระมาก็คือ ทิชชู่เปียก มันช่วยได้มาก ทั้งเช็กตัวชำระร่างกาย และทำความสะอาดได้ดีในยามขับถ่าย

พออาหารเสร็จใครหิวก็ลงมือโส๊ยกันอย่างไม่รีรอ พี่ๆ ทีม อบต.บอกไม่ต้องกลัวหมด ทำเยอะเผื่อคนที่ยังอยู่บนยอดดอยไว้แล้ว ทั้งแกง ผัดผัก และไข่เจียว ที่รสชาติอร่อยอย่างไม่น่าเชื่อ แบบไม่คาดว่าจะเกิดจากปฏิกิริยาความหิวเป็นแน่แท้

ค่ำคืนนี้เป็นคืนแรกที่เรานอนในดอยหลวงฯ ทุกๆ ทริปที่ผ่านมา พี่นิคม จะนำทั้งคณะมานั่งล้อมวงเล่าเรื่องราวธรรมชาติ และรับฟังเรื่องของกันและกัน แต่คณะนี้แกกลับไม่ได้ทำหน้าที่ เพราะลูกทีมแต่ละคนคงจะเพลียจัด พอทานอาหารเสร็จก็แยกย้ายเต๊นท์ใครเต๊นท์มัน รอคอยเวลารุ่งเช้าออกเดินทางกันสู่ยอดดอย เพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้น หลายคนที่ยังไม่เพลียก็มานั่งคุยกัน บ้างก็ชักชวนไปดูดาวบนพื้นที่โล่งไม่ไกลจากที่พัก ซึ่งแน่นอน ผมไม่รู้เรื่องดาราซงดาราศาสตร์อะไรกับเขาหรอก แต่เห็นว่าน่าสนใจ ก็ตามๆ กันไป

กลุ่มที่มากันมากกว่า ๑๐ คนได้ มีคุณป๊อก นักสิ่งแวดล้อมเป็นผู้บรรยายวิชาดาราศาสตร์ ให้ดูดาวดวงนั้น ดวงนี้ สนุกสนานกันไป ผมก็นั่งดู ดูดาวตก ดูทำไมไม่รู้ รู้แต่ดูไม่เห็นสักดวง แต่คนอื่นที่อยู่รอบข้างผมเห็นกันหมด!!

คณะของเราได้พบกับคุณหมอสาวศิริราช และเพื่อนพยาบาลสังกัดเดียวกันเดินออกมาในบริเวณใกล้ๆ นั้น เราจึงชักชวนเธอทั้งคู่ให้ดูดาวด้วยกัน สักพักหมอก็ควักไอแพดขึ้นมาพร้อมแอปพลิเคชั่นดูดาวแบบเรียลไทม์ เธอเริ่มอธิบายดาวดวงต่างๆ ผ่านทางหน้าจอพลางให้ดูของจริงไปด้วย โดยมีคุณป๊อก ช่วยเล่าเสริม โอ้วววว ทำไมเราช่างโชคดีที่ได้มาฟังบรรยายพิเศษแบบนี้... แต่ไม่นานนัก เราต่างก็แยกย้ายสู่ที่พักเพราะทนความหนาวไม่ไหว

ไม่น่าเชื่อว่าอุณหภูมิบนนี้ต่ำกว่า ๒๐ องศาไม่มาก แต่กลับทำให้ผมถึงกับสั่นสะท้าน จนต้องทดลองทฤษฎีถุงดำมาใช้งาน ... มันเป็นข้อมูลที่ผมได้ระหว่างการสนทนากับพี่ในคณะว่า ถุงดำนี้เขาว่ามันช่วยให้อบอุ่นมากขึ้น ป้องกันอากาศหนาวได้ ไอ้เราก็มีเลยขอลองเสียเองหน่อย เอาถุงดำครอบส่วนล่างตั้งแต่ปลายเท้าจนถึงเอวไว้ แรกๆ ก็เหมือนจะดี ไม่ค่อยหนาวนัก สักพักเริ่มรู้สึกเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะปลายเท้าที่ชิดกับขอบเต๊นท์นี่เย็นเฉียบ ถึงกับต้องขดตัวงอ ... สรุปก็คือ มันบรรเทาได้นิดหน่อยเท่านั้น

๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ : อ่างสลุง ดอยหลวงเชียงดาว จ.เชียงใหม่

ความหนาวเหน็บของสภาพอากาศทำให้ร่างกายมันเกิดสภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่นตลอดเวลา จนกระทั่งหลายๆ เต๊นท์เขาเริ่มขยับเตรียมพร้อมเพื่อจะขึ้นไปยอดดอยดูพระอาทิตย์ขึ้นในรุ่งเช้า ผมจึงตัดสินใจลุกขึ้นมานั่งมองแสงไฟจากภายนอกที่วาดไปมาตามแต่ใครจะส่องหาสิ่งใด สักพักเสียงอื้ออึ้งของมวลมนุษย์ก็มากขึ้น พร้อมกับมีเสียงจากพี่ๆ และสาวๆ พยาบาลจากชลบุรี ที่ตั้งให้ผมเป็นหัวหน้าแก๊งเด็กเกรียนตะโกนให้ผมลุกออกมาจากเต๊นท์ได้แล้ว

นี่เป็นเวลาตี ๔ กว่าๆ ตามนัดหมาย หลายคนทยอยเดินเท้าไปตามทางที่มีเพียงไฟฉายและแสงจันทร์ส่องสว่าง เราผ่านจุดที่ดูดาว และเดินไต่ภูเขาขึ้นไปเรื่อยๆ บนยอดนี้จัดว่าชัน และโหดใช้ได้เลย บางจุดลื่นเพราะน้ำค้างยามค่ำคืนที่อยู่บนโขดหิน ต้องเดินเท้าด้วยความระมัดระวัง ผมซึ่งอยู่ในชุดนอน กางเกงเล รองเท้าแตะ ...

และนี่เป็นเวลาเท่าไหร่ ผมก็ไม่แน่ใจนัก รู้เพียงแต่พออยู่บนจุดสูงสุดบนความสูงที่ ๒,๒๒๕ เมตร ความหนาวที่ทะลุผ่านกางเกงเลมันช่างทวีคูณนัก ผมค่อยๆ เดินสำรวจพื้นที่อย่างระวัง เพราะไม่เห็นทางชัดนัก ไฟฉายก็ไม่มี จนได้มุมที่น่าสนใจแล้วก็ปักหลักรอคอยแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ท่ามกลางลมที่หนาวเย็น จุดนี้มีเพียงผมกับชายนิรนามคนละกรุ๊ปทัวร์ แกเพิ่งมายืนปักขาตั้งกล้องรอถ่าย ถือเป็นโชคดี เพราะอย่างน้อยก็เป็นเพื่อนคุยสอบถามผลฟุตบอลกันให้คลายเหงาได้บ้าง

ไม่นานสิ่งที่รอคอยก็มาถึง แสงแรกแห่งวันปรากฏขึ้นตรงเส้นขอบฟ้า เสมือนพระรองออกมาโหมโรง ก่อนที่พระอาทิตย์จะโผล่ตามมา

นั่นก็ทำให้ความสว่างแผ่ซ่านจนมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน ในความงามของพื้นที่โดยรอบอันประกอบด้วยภูเขาเขียวชอุ่มหลายลูกรายล้อมเราไว้ ผมเดินกลับมาที่ยอดสูงสุดของดอยเพื่อถ่ายรูปกับป้ายจุดเช็กอินให้ชาวบ้านได้รู้ว่า เรามาถึงจุดสูงที่สุดแล้วนะก่อนจะลงกลับไปยังพื้นราบ


คราวนี้ล่ะ ... พอเห็นทางชัดๆ แล้วก็พลันนึกในใจว่า ... เมื่อเช้ากูขึ้นมาได้ยังไงวะ?

กลับมาที่จุดพักแรมหลายคนที่มาถึงก่อนต่างทยอยทานข้าวเช้า พร้อมพักร่างกายเล็กน้อยเพื่อเตรียมพร้อมเดินทางต่อ โดยคราวนี้ พี่นิคม จะพาเราขึ้นภูเขาอีกลูกหนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากนี้ มีชื่อว่า “ดอยกิ่วลม” ดอยนี้มีความสูงจากระดับน้ำทะเล ๒,๑๔๐ เมตร แบ่งเป็น ๒ ฝั่งคือด้านเหนือ และ ใต้ เป็นอีก ๑ ยอดเขานอกจากยอดดอยหลวงฯ ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เดินขึ้นไปสำรวจธรรมชาติ และดอกไม้ป่านานาพันธุ์เบ่งบานรอให้เราได้ชื่นชม

พี่นิคม พาคณะเดินจากพื้นราบค่อยๆ ขึ้นไปเรื่อยๆ ผ่านดอกแปลกๆ สำหรับอย่าง ขนุนดิน สิ่งมีชีวิตคล้ายเห็ดทรงฝักข้าวโพดสีน้ำตาลปักบนดิน หรือ นางจอย ไม่ใช่ชื่อคน แต่เป็นดอกไม้ขนาดเล็กทรงคล้ายทานตะวันแต่ช่อวงนอกสีขาว วงในสีเหลือง เป็นพู่ๆ บางคนบอกเหมือนดอกเดซี่ (Daisy)
บนซ้าย - ขนุนดิน , บนขวา - นางจอย
เมื่อเดินมาไม่นานนักก็ได้พบกับอีก ๑ ดอกไม้สำคัญของที่นี่ “ชมพูพิมพ์ใจ” ดอกไม้สีชมพูตามชื่อ มีกลีบ ๕ แฉกทรงกลมมน บ้างก็ว่าคล้ายดอกซากุระ แต่พืชชนิดนี้กระจายในเขตหนาวของเทือกเขาหิมาลัย ที่สำคัญคือ พบได้ที่นี่เพียงที่เดียวในประเทศเท่านั้น!!
ชมพูพิมพ์ใจ
ก้าวเดินเวลานี้ดูไม่รีบร้อนเหมือนยามอยู่ในเมืองหลวง จึงได้ทอดสายตามองสรรพสิ่งที่เราไม่ค่อยได้เห็นบ่อยครั้งนัก การเดินเอื่อยๆ สลับปกติบ้างจนแซงบางกลุ่มที่หยุดพัก และบางกลุ่มก็ที่กำลังสำรวจอะไรบางอย่างภายใต้กล้องส่องทางไกล ... ในกลุ่มนี้หลายท่านชื่นชอบการดูนก หนึ่งในนั้นก็คือหนุ่มน้อยที่สุดในทริป วัย ๑๒ นั่นเอง คุณแม่น้องเล่าให้ฟังว่า น้องพยายามศึกษาเรื่องนกด้วยตัวเองมาสักพักหนึ่งแล้ว และมักจะชักชวนพ่อแม่ให้พาไปดูในสถานที่ต่างๆ ... ฟังแล้วก็น่าชื่นใจที่เด็กคนนี้ได้ค้นพบในสิ่งที่ตนเองชอบแล้ว และยังมีพ่อแม่ที่ช่วยผลักดันให้เขาได้ค้นคว้ามันต่อด้วย

ผมเกาะอยู่กับกลุ่มนี้สักระยะ คือ ไอ้เราก็อยากดูบ้างว่ามันเป็นตัวอะไร ยังไง แต่ด้วยความฉลาดอันน้อยนิด ส่องกล้องทางไกลก็ไม่เป็น เลยหาพิกัดนกไม่เจอ (ฮ่าๆๆ) กว่าจะเจอก็นานจนรู้สึกละอายใจ ขอเดินต่อไปข้างหน้าดีกว่า

ระยะทางเริ่มชันและมีโขดหินมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็รู้สึกไม่เหนื่อยมากนักเมื่อได้เจอกับดอกไม้แปลกๆ ตาและหายากเพิ่มขึ้น เช่นดอกนี้ “เหยื่อจง” หรืออีกชื่อเรียก “เทียนหมอคาร์” ดูคล้ายกล้วยไม้ช่อเล็กๆ สีขาวเป็นปล้องๆ ปลายใบเป็นติ่งเรียวแหลม ภายในมีลายสีส้มแกมเหลืองดูคล้ายเปลวเพลิง จัดเป็นอีก ๑ พันธุ์ไม้ที่มีเพียงบนดอยหลวงฯ

ไม่นานเราก็มาถึงบริเวณช่องแคบด้านบนสุดที่เชื่อมต่อระหว่างกิ่วลมเหนือและใต้ พร้อมกับลมเย็นๆ และเมฆหมอกที่หอบเอาความสดชื่นมาถึงตัว แถวนี้ยังมีดอกไม้ที่น่าสนใจอย่างแสงแดง รูปร่างเรียวแหลมสีแดงส้ม ดูสะดุดตาดี ส่วนตรงนี้สามารถเห็นยอดกิ่วลมเหนือ อยู่ใกล้ๆ ตา ต่อด้วย ดอยหลวงฯ ดอยหนอก และดอยปิรามิดอยู่เรียงกันให้นักท่องเที่ยวได้เก็บภาพอันสวยงามที่ธรรมชาติสร้างสรรค์กลับไปฝากสาธารณชนให้อิจฉาเล่น

ความรู้สึกตอนนี้เหมือนได้จับก้อนเมฆบนท้องฟ้าเลยครับ ... เพราะหมอกสีขาวมันพัดผ่านร่างกายเราแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว ยิ่งบนนี้มีดอกไม้แปลกๆ มากมายด้วยแล้วทำให้เรารู้สึกราวกับอยู่บนสวรรค์เลยทีเดียว เช่นเดียวกับ “หรีดเชียงดาว” ดอกสีอมม่วงห้าแฉกผิวเป็นสัน ดูที่กลีบคล้ายๆ ปีก ก็แปลกตา และชื่อของมันก็บอกอยู่แล้วว่า หาได้เพียงที่นี่เท่านั้น

รวมทั้ง “ชมพูเชียงดาว” ดอกไม้เป็นช่อๆ สีชมพูเข้ม เรียวยาวแต่ช่วงปลายกลีบบานออกเป็นสีชมพูอ่อน ซึ่งอยู่ปะปนกับต้นไม้พุ่มเตี้ย แต่ดูจากตอนนี้เหมือนผมอยู่ในสวนของมันเลยทีเดียว ผมสังเกตเห็นพี่คนหนึ่งลงไปนั่งถ่ายรูปบริเวณริมผา มีดอกไม้สีขาวเป็นช่อใหญ่ๆ โผล่ขึ้นมาจากซอกหินบนหน้าผา มันคือ “คำขาวเชียงดาว” หรือ กุหลาบขาวเชียงดาว ไอ้เราก็สนใจ ขอเข้าไปถ่ายบ้าง แต่พอนั่งเท่านั้นล่ะ มันเสียวมาก ข้างหน้าคือหน้าผาถ้าพลาดนิดเดียวก็ไม่รอด ต้องเอาตัวเกาะติดกับโขดหินแล้วค่อยๆ เอื้อมมือไปถ่ายมัน
ชมพูเชียงดาว
บนซ้าย - เหยื่อจง , บนขวา - แสงแดง ,ล่างซ้าย - คำขาวเชียงดาว ,ล่างขวา - หรีดเชียงดาว
อีกดอกที่ดูสะดุดตาไม่แพ้กันก็คือ “ขาวปั้น” ช่อทรงกลมคล้ายลูกบอลแต่ภายในมีดอกเล็กๆ ทรงกรวยอัดแน่นเต็มพื้นที่ มีเพียงเกสรที่โผล่ออกมาโดดๆ หรืออย่างดอกช่อสีม่วง มี ๕ กลีบปลายมนเรียงคล้ายรูปดาว ตรงกลางมีช่อซ้อน นั่น “เทพอัปสร” ของหายากอีก ๑ ชนิด เห็นเขาว่าจะพบได้ในโซนที่มีความสูงตั้งแต่ ๑,๙๐๐ เมตรเลยทีเดียว อย่างดอกเล็กๆ ที่กระจุกตัวกันเป็นกลุ่ม สีเหลืองสดใส แต่ละดอกมีกลับแยกเป็น ๕ แฉกรูปดาว ตรงกลางมีพุ่มเล็กๆ และมีเกสรโผล่แซมออกมาตรงมุมแต่ละด้าน อันนี้ชื่อ “ฟองหินเหลือง”
บนซ้าย - เทพอัปสร , บนขวา - ขาวปั้น , ล่างซ้าย ฟองหินเหลือง
ไม่คิดว่าบนเขาหินปูน โดยเฉพาะยอดดอยกิ่วลมนี้ พอขึ้นมาแล้วจะได้พบกับดงดอกไม้หายากมากมาย ... แม้มันจะไม่ได้สวยงามกว่าดอกอื่นอันลือชื่อในร้านดอกไม้ แต่มันก็ทำให้เราชื่นใจที่ได้ชื่นชม จนคิดว่า บางสิ่งมันก็ควรคู่ที่จะอยู่โดดเด่นเพียงในที่แห่งนั้น

ดอกไม้อื่นๆ บนดอย

เราลงกลับมาทางเดิม หลังจากเก็บบรรยากาศและภาพถ่ายของดอกไม้ แม้จะยังมีอีกหลายดอกที่เราหาไม่พบ บ้างก็ยังไม่ถึงฤดูกาลผลิบานของมัน แต่แค่เท่าที่เห็นนี่สำหรับผมก็ถือว่าคุ้มค่าอยู่ไม่น้อย เรากลับมาทานอาหารกันที่ค่าย พักผ่อนพูดคุยระหว่างกันเริ่มคุ้นเคยมากขึ้น ก่อนจะพากันขึ้นสู่ยอดดอยอีกครั้ง เพื่อดูพระอาทิตย์ตกดิน

การดูพระอาทิตย์ขึ้น หรือ ตก บางคนอาจจะคิดว่า ดูชีวิตเหมือนไม่มีอะไรทำเลยเนอะ แค่ฟังก็น่าเบื่อแล้ว ผมอันที่จริงก็เคยคิดไม่ต่างกันนะ เพียงแต่บางครั้งการได้นั่งชมมันในทัศนียภาพที่แตกต่างออกไป ก็เพลินดีเหมือนกัน ยิ่งถ้าคุณได้จับกล้อง ลองถ่ายภาพ สู้กับสภาพที่เราไม่สามารถควบคุมเมฆ หรือท้องฟ้าได้ ยิ่งทำให้เรารู้สึกท้าทายในการแก้ปัญหาจะทำอย่างไรให้ได้ภาพที่ดีที่สุด มาให้ได้ ...

พูดเหมือนตัวเองถ่ายรูปสวยเลย ... ฮ่าๆๆ

วันนี้ก็เช่นกัน เราหันมาโฟกัสทางทิศตะวันตก ต่างจากเมื่อเช้านี้ หลายคนจับจองพื้นที่ แต่ระหว่างรอพระอาทิตย์อัสดง บางคนก็กำลังจดจ่ออยู่ที่หน้าผาของภูเขาลูกที่อยู่ไม่ไกลนัก เพื่อตามหากวางผา หรือ เลียงผา ที่เขาเชื่อว่าพบเห็น หลายคนเอากล้องไล่ส่องหา และแน่นอนว่า ... ผมไม่เห็น ... ไม่นานนักก็ได้เวลาที่ดวงตะวันลับขอบฟ้า โชคอาจไม่ดีที่มีเมฆบัง จนได้ภาพอาจไม่เป็นดังใจหวัง...




คืนนี้ก็เป็นคืนสุดท้ายบนดอยหลวงฯ พี่นิคม เรียกพวกเรามาประชุมเพื่อให้เล่าสิ่งที่พบ ความประทับใจ และเรื่องราวต่างๆ หลังผ่านชีวิตในป่าไป ๒ วัน ๑ คืน ก่อนจะแยกย้ายให้หลับนอน แต่สำหรับแก๊งดูดาวเมื่อคืนนี้ยังคงติดใจ ชวนไปกันชมสั่งลากันมากมาย ก่อนที่จะทนสภาพอากาศหนาวไม่ไหว แยกย้ายกันไปอีกเช่นเคย

๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ : อ่างสลุง ดอยหลวงเชียงดาว จ.เชียงใหม่

ผมยังคงปรับตัวกับความหนาวเหน็บไม่ได้ จึงนอนกึ่งหลับกึ่งตื่นเป็นคืนที่ ๒ ติดต่อกัน เลยตัดสินใจลุกมาจัดข้าวของให้เสร็จ ก่อนจะออกมาเดินเล่นราวเกือบ ๖ โมงเช้าได้ สำรวจไปเรื่อยเพื่อรอเวลาทานข้าวเช้า และรี้พลออกจากค่ายราว ๘ - ๙ โมงได้ เพียงแค่ออกมาได้สักพักก็เห็นคณะของเรากลุ่มหนึ่งกำลังมุงส่องอะไรบนภูเขา สอบถามได้ความว่าเป็นสัตว์ไม่กวาง ก็เลียงผา มองด้วยสายตาก็เห็นได้ว่า มีสิ่งมีชีวิต ๔ ขายืนอยู่บนโขดหินของหน้าผาด้วย และยิ่งได้มองผ่านกล้องส่องทางไกล ก็ยิ่งชัดเจนว่ามันใช่ ทำเอาหลายคนแห่ดูกันใหญ่ ถือเป็นโชว์ของขวัญส่งท้ายก่อนจากลา

ผมลงมาอย่างสบายๆ ไม่เร่งรีบ แม้จะมีอาการมวนท้องบ้าง แต่ก็ไม่ได้แวะไปทุ่งข้างทาง จนมาถึงจุดเริ่มต้นที่ปางวัว ก็บ่ายกว่าๆ มีอาหารยอดฮิตประจำถิ่นอย่างข้าวขาหมู ใส่กล่องรอให้เราได้ลิ้มรส ของที่นี่จะต่างกับที่กรุงเทพฯ คือน้ำราดมีสีส้ม และรสหวานกว่า นอกนั้นก็ไม่ต่างกันมาก ไม่นานรถของทีมงาน อบต.ก็พาเรากลับไปยังค่ายเยาวชนฯ ให้ได้อาบน้ำ ทำธุระส่วนตัวสักที โดยทาง อบต.เขาก็มีบริการบ่อน้ำร้อนเล็กๆ (เล็กจริงๆ ) ให้เดินไปอาบก่อนกลับได้ด้วย

ผมและพี่ๆ น้องๆ รวม ๗ ชีวิต เดินทางเข้าเมืองเชียงใหม่ด้วยรถสองแถวจ้างที่ทางทีมงานติดต่อมา โดยให้เหมาในราคา ๑,๓๐๐ บาท ต่อคัน ก่อนจากก็ร่ำลาพี่นิคม และพี่ๆ ในคณะที่ยังเหลืออยู่และไม่ได้กลับพร้อมกับเรา

แน่นอนว่า สิ่งที่ได้ในการเดินทางครั้งนี้ ไม่เพียงแต่การรู้จักธรรมชาติ ชื่นชมดอกไม้หายากและมีแห่งเดียวในประเทศ หรือ ความทรงจำดีๆ กับคณะเดินทาง แต่ส่วนตัวแล้ว มันทำให้เราได้พบความเชื่อมั่นในตนเอง และความสุขจากการปล่อยวาง จากความเครียดทั้งงานและเรื่องอื่น ให้กลับคืนมาอีกครั้ง เหมือนกับคณะนี้ที่แต่ละคนมาจากต่างอาชีพ ต่างความคิด ต่างความเห็นทางการเมือง และได้วางสิ่งเหล่านี้ไว้ที่พื้นราบ เพื่อมาสัมผัสความสุขจากธรรมชาติร่วมกัน ... ขอบคุณโครงการศึกษาธรรมชาติดอยหลวงเชียงดาว พี่นิคม อบต.ตุ๋ม และผู้ร่วมทางทุกท่าน หวังว่า สักวันหนึ่ง คงได้กลับมาร่วมทางกันอีก...

(อ่านต่อฉบับหน้า...)

ที่มาข้อมูลบางส่วน : http://www.qsbg.org/
กำลังโหลดความคิดเห็น