ความเดิมต่อที่แล้ว อ่าน
สโลว์ไลฟ์มั้ยจ๊ะ ๑.๐ : เชียงใหม่ 3rd time.
สโลว์ไลฟ์มั้ยจ๊ะ ๑.๑ : ควันหลงโคมลอย ที่ท่าแพ
สโลว์ไลฟ์มั้ยจ๊ะ ๑.๒ : พิพิธภัณฑ์พื้นถิ่นล้านนา
สโลว์ไลฟ์มั้ยจ๊ะ ๑.๓ : "เทียนนกแก้ว" ที่สุดแห่ง "ดอยหลวงเชียงดาว"
สโลว์ไลฟ์มั้ยจ๊ะ ๑.๔ : “ดอยกิ่วลม” ดงดอกไม้ที่หาไม่ได้ในสยาม
๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ : ซอยนิมมานเหมินทร์ ๑๗ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
คืนสุดท้ายในเชียงใหม่ผมพักที่ย่านนิมมานฯ โซนที่เขาว่าเจริญ หรูหรา และเป็นที่อยู่ของคนมีกะตังค์ จริงเท็จอย่างไรผมก็ไม่แน่ใจเพราะไม่ใช่คนถิ่นและไม่เคยได้มาสัมผัสแบบจริงๆ จังๆ สักที แต่ขณะนี้รถสองแถวที่เหมามาจาก อ.เชียงดาว ได้มาส่งผมลงที่นี่ตามคำขอ พร้อมกับหมอสาวและพยาบาลศิริราชที่ผมชวนพวกเธอมาร่วมทานข้าวในละแวกนี้ก่อนจะบินกลับกรุงเทพฯ ในอีกไม่กี่ชั่วโมงถัดไป
"ถนนนิมมานเหมินทร์" แหมชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าน่าจะเป็นของสกุลนิมมานเหมินทร์ คนรุ่นใหม่ในเมืองกรุงอาจจะพอคุ้นกับชื่อของคุณธารินทร์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในยุครัฐบาลลุงชวน หลีกภัย ซึ่งถนนนี้เดิมทีเป็นที่ดินของคุณกี และกิมฮ้อ ปู่และย่าของคุณธารินทร์ นั่นเอง แต่ต่อมาได้บริจาคให้แก่สาธารณะเพื่อให้เทศบาลนครเชียงใหม่สร้างถนนทะลุเชื่อมระหว่างถนนสุเทพ กับ ถนนห้วยแก้ว มีความยาวรวม ๑,๓๒๗ เมตร ปัจจุบันอยู่ในความดูแลของกรมทางหลวง นอกจากนี้ทั้งคู่ยังได้ยกที่ดินเพื่อสร้างเป็นมหาวิทยาลัยเชียงใหม่อีกด้วย
จำได้ว่าครั้งล่าสุดที่เคยมาคือเพื่อนพาเข้าผับดังของถิ่นที่ชื่อ วอร์มอัพ ซึ่งมันอยู่ตรงข้ามกับไอ้ซอยที่ผมกำลังจะเข้าไปหาที่พักเลยครับ!! ว่าแต่จะได้มีโอกาสไปรำลึกความทรงจำมั้ยเนี่ย ... งวดนี้ผมเปลี่ยนแนวมาลองพักห้องเดี่ยวกันบ้าง กับบ้านพักที่ชื่อ “เลอ พลาโต” (Le Plateau) ชื่อดูฝรั่งเศสมากๆ เป็นตึกทาวน์เฮาส์ ๓ ชั้น ด้านล่างเป็นร้านกาแฟชื่อ บาริสซิเยร์ (Barissier) ส่วนห้องของผมอยู่ชั้น ๓ เป็นห้องใต้หลังคา ที่ตลกอย่างนึงก็คือ ชื่อที่พักเนี่ยฝรั๊งฝรั่งแต่ป้ายติดหน้าห้องพักแต่ละห้องเขียนชื่อ ถลาง ,เทพกษัตรี ...
หลังจากเอากระเป๋าไปเก็บก็ได้เวลาหาอะไรกินให้เต็มที่กันแล้ว!!
เพื่อเป็นการไม่ให้เสียเวลา ระหว่างที่ผมมาเช็กอินที่พัก ก็เลยวานให้น้องทั้ง ๒ คนไปจองที่ (โถ...คุณดรงค์ ช่างแมนจริมๆ) ที่ร้านอาหารท้องถิ่นสุดฮิตของนักท่องเที่ยวในย่านนี้ นั่นคือร้าน "ต๋อง เต็ม โต๊ะ" จัดว่าขึ้นชื่อในหลายเว็บไซต์ อยู่ในซอยนิมมานฯ ๑๓ เปิดตั้งแต่ ๑๑ โมง - สามทุ่ม และแน่นอน คิวเยอะมาก!! ขนาดผมทำธุระเสร็จเดินไปตามหาร้าน ใช้เวลาทั้งหมดราวๆ ๔๐ นาที เพิ่งจะได้คิว ภายในร้านมีทั้งโซนในร่มและด้านนอก แต่ทุกโต๊ะเต็มแน่นจริงๆ
เราสั่งกันตามใจปากมาก ไล่ตั้งแต่เมนู ออเดิร์ฟเมือง ที่มีไส้อั่ว แคปหมู หมูยอ จิ้นส้มหมกไข่ หรือแหนมหมูใส่ไข่ อันนี้แปลกๆ ดี แล้วก็ยังมีน้ำพริกหนุ่ม กับน้ำพริกอ่อง ไข่ต้ม พร้อมผักลวกอีกด้วย เสิร์ฟมาในจานใหญ่กับราคา ๑๘๗ บาท ต่อด้วยแกงคั่วเห็ดถอบ เห็ดทรงกลมขนาดเล็กหาได้เฉพาะถิ่น ชามนี้ ๑๑๓ บาท ,แกงฮังเล ที่มาคล้ายๆ มัสมั่น ถ้วยละ ๗๓ บาท สามชั้นทอดน้ำปลา จานละ ๗๓ บาท ผักหวานผัดไข่ จานนี้ ๘๓ บาท และ ไข่เจียวลาบเมือง จานละ ๗๓ บาท
ทั้งหมดที่ว่าเสิร์ฟมาในจานกระเบื้องสีขาวไร้ลวดลาย อารมณ์คล้ายกินที่บ้านยังไงอย่างนั้น ส่วนรสชาติบางอย่างก็อร่อยนะ อย่างหมูสามชั้นทอด,แกงคั่วเห็ดถอบก็ชอบ โดยเฉพาะเห็ดถอบเพิ่งเคยทานแบบจริงจังเป็นครั้งแรก ก็แปลกดี กัดกรอบเป๊าะในปาก ,จิ้นส้มก็ไม่เปรี้ยวกว่าที่คิด ก็ทำให้พอเข้าใจว่าทำไมเขาถึงยอมต่อคิวกัน ก็อาจเป็นเพราะกระแสด้วยส่วนนึง และที่นี่ยังตอบสนองคนที่ต้องการทานอาหารพื้นเมืองแต่ไม่รู้จะทานที่ไหนหรือกลัวไม่ถูกปาก แต่การบริการก็ตามสภาพร้านที่ยุ่งๆ
เห็นสั่งมาแค่นี้ก็ทำเอาเรา ๓ คนอิ่มพอสมควร จึงจัดแจงส่งน้องทั้ง ๒ ขึ้นรถแดงเข้าสนามบินฯ กลับสู่เมืองบางกอก ส่วนผมก็เตร็ดเตร่ต่อในถนนเส้นนี้ ซึ่งระหว่างนี้น้องๆ พยาบาลจากศรีราชา ที่ขึ้นดอยหลวงฯ ด้วยกัน ก็โทรมาชักชวนหัวหน้าแก๊งค์อย่างผมให้พาไปเดินเที่ยวแถวนี้หน่อย ... เอิ่ม ... ได้ข่าวว่าผมก็เพิ่งมาย่านนี้เป็นครั้งแรกนะ
ไม่นานนักเหล่าคุณพยาบาล และ ๑ หนุ่มนักบัญชีผู้ร่วมขบวนของพวกเธอก็มาถึงจุดนัดพบ ก่อนจะเดินไปสำรวจร่วมกัน (ใช้คำนี้น่าจะดีกว่าบอกว่าให้ผมนำไป เพราะผมเองก็ไม่ค่อยรู้อะไร) พาไปเรื่อยๆ จนถึงสี่แยกรินคำ หัวถนนนิมมานฯ ตรงนี้ดูเจริญมาก ฝั่งตรงข้ามมีศูนย์การค้าที่ตกแต่งได้ทันสมัยราวกับในเมืองหลวงชื่อ เมญ่า ไลฟ์สไตล์ช็อปปิ้งเซ็นเตอร์ เป็นห้าง ๘ ชั้น รวมชั้นใต้ดิน บนพื้นที่ ๙ ไร่ สร้างโดยบริษัทในเครือของเอสเอฟซีนีม่า เห็นว่าเพิ่งเปิดให้บริการเมื่อมกราคม ปี ๒๕๕๗ นี้เอง
ไอ้ผมเนี่ย ไม่ได้เดินข้ามไปดูหรอกครับ เพราะคิดว่าคงไม่ต่างอะไรกับห้างเซ็นทรัลแถวบ้านนัก แต่ฝั่งที่ผมยืนนี่ก็มีศูนย์การค้าย่อมๆ แบบคอมมูนิตี้มอลล์ที่เขากำลังฮิตๆ กัน ชื่อ ธิงค์พาร์ค (Think park) อยู่หน้าโรงแรมอิสติน ตัน เชียงใหม่ ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นของคุณตัน ภาสกรนที เจ้าของชาเขียวอิชิตัน ตัวโรงแรมเปิดให้บริการเมื่อปลายเดือนธันวาคมปีที่แล้ว (๒๕๕๗) ส่วนพื้นที่ด้านหน้าก็ไล่ๆ กัน ถ้ายังจำกันได้ตรงนี้นี่ล่ะที่เจ้าของแกเอาเกลือมาแสร้งเป็นหิมะให้คนมาถ่ายรูปจนบังเกิดดราม่ากันไปพักใหญ่
ศูนย์การค้านี้เผอิญผมจดมาว่ามีร้านเค้กของศิลปินคนหนึ่งเขาว่าอร่อยนัก ชื่อร้าน “โลคอล คาเฟ่” (Local cafe) ของน้าโน้ส อุดม แต้พานิช นักเดี่ยวไมโครโฟนเพื่อนต่างวัยของเจ้าของโรงแรมนั่นล่ะ ได้โอกาสครานี้คงต้องลองกันสักหน่อย ... ร้านนี้เขาดังเค้กแตงโม หลายเว็บอาหารต่างแนะนำให้มาทาน แต่ผมและคณะคงวาสนาไม่เพียงพอ มาไม่ทันได้ชิมสินค้ายอดฮิต ก็เลยต้องสั่งเมนูอื่นๆ อาทิ เค้กมอคค่าช็อกโก้ เค้กช็อกโกแลตผสมกาแฟราดซอสช็อกโกแลตและโปะมูสกาแฟ ไว้ด้านบน , แอปเปิ้ล มาเนีย ไอศกรีมแอปเปิ้ลก้อนเล็กๆ แปะบนผลแอปเปิ้ล ,ชาไทย ฮันนี่โทสต์ ไอศกรีมชาไทยรสเข้มข้น กับขนมปังอบเนยราดน้ำผึ้งโปะด้วยไอศกรีมวานิลลา
ซึ่งโดยรวมก็ดีครับ เสียดายไม่ได้ทานเมนูซิกเนเจอร์ของที่นี่ ร้านตกแต่งผสมสไตล์ญี่ปุ่น อาหารส่วนใหญ่จึงมีความเป็นลูกครึ่งระหว่างญี่ปุ่น ฝรั่ง ไทย ปนกัน ที่โดดเด่นอีกตัวก็คงเป็นชาเขียว เมื่อดูทั้งของหวานและสถานที่ก็แอบทำให้เรารู้สึกว่า นี่ไม่ได้อยู่เชียงใหม่ ไม่ได้อยู่ญี่ปุ่น ... แต่อยู่ในย่านซอยทองหล่อมากกว่า ยิ่งพอออกมานอกร้านตอนร้านเขาปิดราวๆ สี่ทุ่มแล้วเห็นบรรดาวัยรุ่นนั่งตามร้านเหล้าที่ดูทันสมัยในพื้นที่การค้า มันยิ่งใช่จริงๆ ....
และนี่ก็ได้เวลาอันสมควร จึงยืนโบกรถส่งสาวๆ ขึ้นรถแดงกลับที่พักย่านกาดสวนแก้วซึ่งไม่ไกลจากแถวนี้นัก ก่อนที่เราจะพาร่างตนเองกลับไปยังโรงแรมเพื่อพักผ่อนบ้าง ... ว่าจะแว่บไปนั่งดูสีสันยามราตรีสักหน่อยก็ไม่ไหวล่ะครับ สภาพตอนนี้อยากจะนอนให้มันเต็มอิ่มจริงๆ ...
๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ : เลอ พลาโต โฮเทล อ.เมือง จ.เชียงใหม่
วันสุดท้ายของการพักผ่อนแบบสโลว์ไลฟ์ ในช่วงเช้า ๘ โมงกว่าๆ คือเวลาตื่นเช้าๆ ของผม หวังจะใช้เวลาวันนี้เสียให้คุ้มค่า ด้วยการเดินหาอะไรกินในละแวกนี้ ถนนนิมมานฯ
แผนการของผมในช่วงเช้าจะไปหาซื้อของฝากกลับเมืองนนท์ ซึ่งตลาดเช้าที่อยู่ใกล้ที่สุดก็คือ “ตลาดสุเทพ” หรือ “กาดต้นพยอม” แหล่งของฝากที่ขึ้นชื่ออีกแห่งรองจากตลาดวโรรส หรือ กาดหลวง อยู่บนถนนสุเทพ หลัง ม.เชียงใหม่ ซึ่งจากตรงนี้เดินไปสุดถนนนิมมานฯ เลี้ยวขวา แล้วเดินอีกไปไม่ไกลก็เจอ ตามประวัติเขาว่า เริ่มมาจากพ่อค้าแม่ค้าเห็นช่องทางทำมาหากินหลังรัฐบาลเริ่มสร้าง ม.เชียงใหม่ และสนามบินเชียงใหม่ ในละแวกนี้เมื่อราว ๕๐ กว่าปีที่แล้ว จึงพากันนำของป่าและอาหารมาขายบริเวณใต้ต้นพะยอมใหญ่ ๓ ต้น จนกลายเป็นตลาดใหญ่ในปัจจุบัน
ทางเข้าตลาดเท่าที่สังเกตสามารถเข้าได้ ๒ ทาง คือด้าน ถนนสุเทพ และ ด้านถนนเลียบคลองชลประทาน ซึ่งที่นี่ก็ดูเหมือนตลาดสดทั่วไปด้านหน้าทางเข้ามีอาหารย่าง ทอดกันกลิ่นหอมฟุ้ง หรืออาหารสำเร็จไว้ใส่บาตร บ้างก็มีพระนั่งบิณฑบาตรอโยมมาถวาย แบบที่เราเห็นกันจนชินตา (นี่ก็ยังจะไปบ่นถึงอีกเนอะ) ... มาเรื่องอาหารดีกว่า แน่นอนว่านอกจากเนื้อสัตว์สด และผัก ผลไม้ แล้ว ของปรุงสุกก็มีหลายร้านที่น่าสนใจ อย่างพวกแกงพื้นเมือง แกงฮังเล แกงโฮะ น้ำพริกอ่อง พวกประเภทจิ้น หมก ก็มีขายหลายหลาก หรือของทอด หมู ไก่ ก็ได้รับความนิยม ทานกับข้าวเหนียวอุ่นๆ โอ้ยยย อร่อยเชียว
ที่ขาดไม่ได้สำหรับของฝากอันลือชื่อนั่นก็คือ แคบหมู ที่นี่มีหลายเจ้า หลายประเภทมาก ทั้งไร้มัน และ ติดมัน ติดมันก็แบ่งเป็นแบบแข็ง กับกรอบนอกนุ่มใน ซึ่งผมชอบกินอย่างนี้มาก ติดใจมากตั้งแต่สมัยเด็กๆ ที่เวลาไปเมืองตาก บ้านแม่มักจะต้องทำเมนูข้าวเปล่าคลุกน้ำปลาและแคบหมูกิน แต่เดี๋ยวนี้เขามีหมูกระจก ก็คือแคบหมูแบบเส้นทอดกรอบปรุงรสขายด้วยแหะ ลามมาถึงนี่กันเลยทีเดียวแหะ และที่ถือว่าเป็นของคู่กันก็คือน้ำพริกหนุ่ม ที่แต่ละเจ้าดูจะต่างกันตรงที่ความเผ็ดและการปรุง แต่ไอ้ผมเองก็ไม่รู้เจ้าไหนอร่อยเหมือนกัน
อีกเมนูหนึ่งที่จัดเป็นของฝากเมืองเหนือนั่นก็คือ ไส้อั่ว ไส้กรอกหมูผสมเครื่องแกงแบบท้องถิ่น อบ ย่าง ในเตาไฟฟ้ากันเห็นๆ หลายร้านมีป้ายการันตีความอร่อยจากงานต่างๆ แต่รสชาติก็น่าจะไม่ต่างกันมากมั้ง นอกจากนี้ก็ยังมีพวกผลไม้อบแห้ง และที่กำลังเริ่มขายดีมีผลผลิตก็คือ สตรอเบอรี่ ทั้งพันธุ์ปกติลูกใหญ่ๆ และพันธุ์พระราชทาน ๘๐ ที่มีขนาดเล็ก แต่หวานฉ่ำ ขายในราคาไม่หนีกันมาก บางเจ้าก็ดีมีการถามก่อนว่าจะทานวันไหน ถ้ายังไม่ทานให้ซื้อลูกที่ยังไม่แดงมาก เมื่อไปถึงที่หมายจะแดงทานได้อร่อยพอดี อันนี้ผมเคยมีประสบการณ์ที่ซื้อสตรอเบอรี่จากโอซาก้า ด้วยความฉลาดจังเลยเลยซื้อแบบแดงฉ่ำแพ็คกลับมา พอถึงบ้านเปิดดูนี่อย่างเซ็ง เริ่มจะเละเลยจ้า ...
เดินไปๆ มาๆ จู่ๆ รู้ตัวอีกทีก็มีของฝากถือมาเต็มมือซะแล้ว เอาล่ะ ภารกิจสำเร็จสำหรับเช้าวันนี้ ต่อไปคือการตามล่าของกินที่เขาว่าอร่อยในย่านฯ ร่างกายตอนนี้พร้อมที่จะยัดอาหารเต็มที่ ดูสิว่า จะตระเวนกินได้สักกี่เจ้ากันนะ?
อ่านต่อฉบับหน้า ...
สโลว์ไลฟ์มั้ยจ๊ะ ๑.๐ : เชียงใหม่ 3rd time.
สโลว์ไลฟ์มั้ยจ๊ะ ๑.๑ : ควันหลงโคมลอย ที่ท่าแพ
สโลว์ไลฟ์มั้ยจ๊ะ ๑.๒ : พิพิธภัณฑ์พื้นถิ่นล้านนา
สโลว์ไลฟ์มั้ยจ๊ะ ๑.๓ : "เทียนนกแก้ว" ที่สุดแห่ง "ดอยหลวงเชียงดาว"
สโลว์ไลฟ์มั้ยจ๊ะ ๑.๔ : “ดอยกิ่วลม” ดงดอกไม้ที่หาไม่ได้ในสยาม
๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ : ซอยนิมมานเหมินทร์ ๑๗ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
คืนสุดท้ายในเชียงใหม่ผมพักที่ย่านนิมมานฯ โซนที่เขาว่าเจริญ หรูหรา และเป็นที่อยู่ของคนมีกะตังค์ จริงเท็จอย่างไรผมก็ไม่แน่ใจเพราะไม่ใช่คนถิ่นและไม่เคยได้มาสัมผัสแบบจริงๆ จังๆ สักที แต่ขณะนี้รถสองแถวที่เหมามาจาก อ.เชียงดาว ได้มาส่งผมลงที่นี่ตามคำขอ พร้อมกับหมอสาวและพยาบาลศิริราชที่ผมชวนพวกเธอมาร่วมทานข้าวในละแวกนี้ก่อนจะบินกลับกรุงเทพฯ ในอีกไม่กี่ชั่วโมงถัดไป
"ถนนนิมมานเหมินทร์" แหมชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าน่าจะเป็นของสกุลนิมมานเหมินทร์ คนรุ่นใหม่ในเมืองกรุงอาจจะพอคุ้นกับชื่อของคุณธารินทร์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในยุครัฐบาลลุงชวน หลีกภัย ซึ่งถนนนี้เดิมทีเป็นที่ดินของคุณกี และกิมฮ้อ ปู่และย่าของคุณธารินทร์ นั่นเอง แต่ต่อมาได้บริจาคให้แก่สาธารณะเพื่อให้เทศบาลนครเชียงใหม่สร้างถนนทะลุเชื่อมระหว่างถนนสุเทพ กับ ถนนห้วยแก้ว มีความยาวรวม ๑,๓๒๗ เมตร ปัจจุบันอยู่ในความดูแลของกรมทางหลวง นอกจากนี้ทั้งคู่ยังได้ยกที่ดินเพื่อสร้างเป็นมหาวิทยาลัยเชียงใหม่อีกด้วย
จำได้ว่าครั้งล่าสุดที่เคยมาคือเพื่อนพาเข้าผับดังของถิ่นที่ชื่อ วอร์มอัพ ซึ่งมันอยู่ตรงข้ามกับไอ้ซอยที่ผมกำลังจะเข้าไปหาที่พักเลยครับ!! ว่าแต่จะได้มีโอกาสไปรำลึกความทรงจำมั้ยเนี่ย ... งวดนี้ผมเปลี่ยนแนวมาลองพักห้องเดี่ยวกันบ้าง กับบ้านพักที่ชื่อ “เลอ พลาโต” (Le Plateau) ชื่อดูฝรั่งเศสมากๆ เป็นตึกทาวน์เฮาส์ ๓ ชั้น ด้านล่างเป็นร้านกาแฟชื่อ บาริสซิเยร์ (Barissier) ส่วนห้องของผมอยู่ชั้น ๓ เป็นห้องใต้หลังคา ที่ตลกอย่างนึงก็คือ ชื่อที่พักเนี่ยฝรั๊งฝรั่งแต่ป้ายติดหน้าห้องพักแต่ละห้องเขียนชื่อ ถลาง ,เทพกษัตรี ...
หลังจากเอากระเป๋าไปเก็บก็ได้เวลาหาอะไรกินให้เต็มที่กันแล้ว!!
เพื่อเป็นการไม่ให้เสียเวลา ระหว่างที่ผมมาเช็กอินที่พัก ก็เลยวานให้น้องทั้ง ๒ คนไปจองที่ (โถ...คุณดรงค์ ช่างแมนจริมๆ) ที่ร้านอาหารท้องถิ่นสุดฮิตของนักท่องเที่ยวในย่านนี้ นั่นคือร้าน "ต๋อง เต็ม โต๊ะ" จัดว่าขึ้นชื่อในหลายเว็บไซต์ อยู่ในซอยนิมมานฯ ๑๓ เปิดตั้งแต่ ๑๑ โมง - สามทุ่ม และแน่นอน คิวเยอะมาก!! ขนาดผมทำธุระเสร็จเดินไปตามหาร้าน ใช้เวลาทั้งหมดราวๆ ๔๐ นาที เพิ่งจะได้คิว ภายในร้านมีทั้งโซนในร่มและด้านนอก แต่ทุกโต๊ะเต็มแน่นจริงๆ
เราสั่งกันตามใจปากมาก ไล่ตั้งแต่เมนู ออเดิร์ฟเมือง ที่มีไส้อั่ว แคปหมู หมูยอ จิ้นส้มหมกไข่ หรือแหนมหมูใส่ไข่ อันนี้แปลกๆ ดี แล้วก็ยังมีน้ำพริกหนุ่ม กับน้ำพริกอ่อง ไข่ต้ม พร้อมผักลวกอีกด้วย เสิร์ฟมาในจานใหญ่กับราคา ๑๘๗ บาท ต่อด้วยแกงคั่วเห็ดถอบ เห็ดทรงกลมขนาดเล็กหาได้เฉพาะถิ่น ชามนี้ ๑๑๓ บาท ,แกงฮังเล ที่มาคล้ายๆ มัสมั่น ถ้วยละ ๗๓ บาท สามชั้นทอดน้ำปลา จานละ ๗๓ บาท ผักหวานผัดไข่ จานนี้ ๘๓ บาท และ ไข่เจียวลาบเมือง จานละ ๗๓ บาท
ทั้งหมดที่ว่าเสิร์ฟมาในจานกระเบื้องสีขาวไร้ลวดลาย อารมณ์คล้ายกินที่บ้านยังไงอย่างนั้น ส่วนรสชาติบางอย่างก็อร่อยนะ อย่างหมูสามชั้นทอด,แกงคั่วเห็ดถอบก็ชอบ โดยเฉพาะเห็ดถอบเพิ่งเคยทานแบบจริงจังเป็นครั้งแรก ก็แปลกดี กัดกรอบเป๊าะในปาก ,จิ้นส้มก็ไม่เปรี้ยวกว่าที่คิด ก็ทำให้พอเข้าใจว่าทำไมเขาถึงยอมต่อคิวกัน ก็อาจเป็นเพราะกระแสด้วยส่วนนึง และที่นี่ยังตอบสนองคนที่ต้องการทานอาหารพื้นเมืองแต่ไม่รู้จะทานที่ไหนหรือกลัวไม่ถูกปาก แต่การบริการก็ตามสภาพร้านที่ยุ่งๆ
เห็นสั่งมาแค่นี้ก็ทำเอาเรา ๓ คนอิ่มพอสมควร จึงจัดแจงส่งน้องทั้ง ๒ ขึ้นรถแดงเข้าสนามบินฯ กลับสู่เมืองบางกอก ส่วนผมก็เตร็ดเตร่ต่อในถนนเส้นนี้ ซึ่งระหว่างนี้น้องๆ พยาบาลจากศรีราชา ที่ขึ้นดอยหลวงฯ ด้วยกัน ก็โทรมาชักชวนหัวหน้าแก๊งค์อย่างผมให้พาไปเดินเที่ยวแถวนี้หน่อย ... เอิ่ม ... ได้ข่าวว่าผมก็เพิ่งมาย่านนี้เป็นครั้งแรกนะ
ไม่นานนักเหล่าคุณพยาบาล และ ๑ หนุ่มนักบัญชีผู้ร่วมขบวนของพวกเธอก็มาถึงจุดนัดพบ ก่อนจะเดินไปสำรวจร่วมกัน (ใช้คำนี้น่าจะดีกว่าบอกว่าให้ผมนำไป เพราะผมเองก็ไม่ค่อยรู้อะไร) พาไปเรื่อยๆ จนถึงสี่แยกรินคำ หัวถนนนิมมานฯ ตรงนี้ดูเจริญมาก ฝั่งตรงข้ามมีศูนย์การค้าที่ตกแต่งได้ทันสมัยราวกับในเมืองหลวงชื่อ เมญ่า ไลฟ์สไตล์ช็อปปิ้งเซ็นเตอร์ เป็นห้าง ๘ ชั้น รวมชั้นใต้ดิน บนพื้นที่ ๙ ไร่ สร้างโดยบริษัทในเครือของเอสเอฟซีนีม่า เห็นว่าเพิ่งเปิดให้บริการเมื่อมกราคม ปี ๒๕๕๗ นี้เอง
ไอ้ผมเนี่ย ไม่ได้เดินข้ามไปดูหรอกครับ เพราะคิดว่าคงไม่ต่างอะไรกับห้างเซ็นทรัลแถวบ้านนัก แต่ฝั่งที่ผมยืนนี่ก็มีศูนย์การค้าย่อมๆ แบบคอมมูนิตี้มอลล์ที่เขากำลังฮิตๆ กัน ชื่อ ธิงค์พาร์ค (Think park) อยู่หน้าโรงแรมอิสติน ตัน เชียงใหม่ ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นของคุณตัน ภาสกรนที เจ้าของชาเขียวอิชิตัน ตัวโรงแรมเปิดให้บริการเมื่อปลายเดือนธันวาคมปีที่แล้ว (๒๕๕๗) ส่วนพื้นที่ด้านหน้าก็ไล่ๆ กัน ถ้ายังจำกันได้ตรงนี้นี่ล่ะที่เจ้าของแกเอาเกลือมาแสร้งเป็นหิมะให้คนมาถ่ายรูปจนบังเกิดดราม่ากันไปพักใหญ่
ศูนย์การค้านี้เผอิญผมจดมาว่ามีร้านเค้กของศิลปินคนหนึ่งเขาว่าอร่อยนัก ชื่อร้าน “โลคอล คาเฟ่” (Local cafe) ของน้าโน้ส อุดม แต้พานิช นักเดี่ยวไมโครโฟนเพื่อนต่างวัยของเจ้าของโรงแรมนั่นล่ะ ได้โอกาสครานี้คงต้องลองกันสักหน่อย ... ร้านนี้เขาดังเค้กแตงโม หลายเว็บอาหารต่างแนะนำให้มาทาน แต่ผมและคณะคงวาสนาไม่เพียงพอ มาไม่ทันได้ชิมสินค้ายอดฮิต ก็เลยต้องสั่งเมนูอื่นๆ อาทิ เค้กมอคค่าช็อกโก้ เค้กช็อกโกแลตผสมกาแฟราดซอสช็อกโกแลตและโปะมูสกาแฟ ไว้ด้านบน , แอปเปิ้ล มาเนีย ไอศกรีมแอปเปิ้ลก้อนเล็กๆ แปะบนผลแอปเปิ้ล ,ชาไทย ฮันนี่โทสต์ ไอศกรีมชาไทยรสเข้มข้น กับขนมปังอบเนยราดน้ำผึ้งโปะด้วยไอศกรีมวานิลลา
ซึ่งโดยรวมก็ดีครับ เสียดายไม่ได้ทานเมนูซิกเนเจอร์ของที่นี่ ร้านตกแต่งผสมสไตล์ญี่ปุ่น อาหารส่วนใหญ่จึงมีความเป็นลูกครึ่งระหว่างญี่ปุ่น ฝรั่ง ไทย ปนกัน ที่โดดเด่นอีกตัวก็คงเป็นชาเขียว เมื่อดูทั้งของหวานและสถานที่ก็แอบทำให้เรารู้สึกว่า นี่ไม่ได้อยู่เชียงใหม่ ไม่ได้อยู่ญี่ปุ่น ... แต่อยู่ในย่านซอยทองหล่อมากกว่า ยิ่งพอออกมานอกร้านตอนร้านเขาปิดราวๆ สี่ทุ่มแล้วเห็นบรรดาวัยรุ่นนั่งตามร้านเหล้าที่ดูทันสมัยในพื้นที่การค้า มันยิ่งใช่จริงๆ ....
และนี่ก็ได้เวลาอันสมควร จึงยืนโบกรถส่งสาวๆ ขึ้นรถแดงกลับที่พักย่านกาดสวนแก้วซึ่งไม่ไกลจากแถวนี้นัก ก่อนที่เราจะพาร่างตนเองกลับไปยังโรงแรมเพื่อพักผ่อนบ้าง ... ว่าจะแว่บไปนั่งดูสีสันยามราตรีสักหน่อยก็ไม่ไหวล่ะครับ สภาพตอนนี้อยากจะนอนให้มันเต็มอิ่มจริงๆ ...
๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ : เลอ พลาโต โฮเทล อ.เมือง จ.เชียงใหม่
วันสุดท้ายของการพักผ่อนแบบสโลว์ไลฟ์ ในช่วงเช้า ๘ โมงกว่าๆ คือเวลาตื่นเช้าๆ ของผม หวังจะใช้เวลาวันนี้เสียให้คุ้มค่า ด้วยการเดินหาอะไรกินในละแวกนี้ ถนนนิมมานฯ
แผนการของผมในช่วงเช้าจะไปหาซื้อของฝากกลับเมืองนนท์ ซึ่งตลาดเช้าที่อยู่ใกล้ที่สุดก็คือ “ตลาดสุเทพ” หรือ “กาดต้นพยอม” แหล่งของฝากที่ขึ้นชื่ออีกแห่งรองจากตลาดวโรรส หรือ กาดหลวง อยู่บนถนนสุเทพ หลัง ม.เชียงใหม่ ซึ่งจากตรงนี้เดินไปสุดถนนนิมมานฯ เลี้ยวขวา แล้วเดินอีกไปไม่ไกลก็เจอ ตามประวัติเขาว่า เริ่มมาจากพ่อค้าแม่ค้าเห็นช่องทางทำมาหากินหลังรัฐบาลเริ่มสร้าง ม.เชียงใหม่ และสนามบินเชียงใหม่ ในละแวกนี้เมื่อราว ๕๐ กว่าปีที่แล้ว จึงพากันนำของป่าและอาหารมาขายบริเวณใต้ต้นพะยอมใหญ่ ๓ ต้น จนกลายเป็นตลาดใหญ่ในปัจจุบัน
ทางเข้าตลาดเท่าที่สังเกตสามารถเข้าได้ ๒ ทาง คือด้าน ถนนสุเทพ และ ด้านถนนเลียบคลองชลประทาน ซึ่งที่นี่ก็ดูเหมือนตลาดสดทั่วไปด้านหน้าทางเข้ามีอาหารย่าง ทอดกันกลิ่นหอมฟุ้ง หรืออาหารสำเร็จไว้ใส่บาตร บ้างก็มีพระนั่งบิณฑบาตรอโยมมาถวาย แบบที่เราเห็นกันจนชินตา (นี่ก็ยังจะไปบ่นถึงอีกเนอะ) ... มาเรื่องอาหารดีกว่า แน่นอนว่านอกจากเนื้อสัตว์สด และผัก ผลไม้ แล้ว ของปรุงสุกก็มีหลายร้านที่น่าสนใจ อย่างพวกแกงพื้นเมือง แกงฮังเล แกงโฮะ น้ำพริกอ่อง พวกประเภทจิ้น หมก ก็มีขายหลายหลาก หรือของทอด หมู ไก่ ก็ได้รับความนิยม ทานกับข้าวเหนียวอุ่นๆ โอ้ยยย อร่อยเชียว
ที่ขาดไม่ได้สำหรับของฝากอันลือชื่อนั่นก็คือ แคบหมู ที่นี่มีหลายเจ้า หลายประเภทมาก ทั้งไร้มัน และ ติดมัน ติดมันก็แบ่งเป็นแบบแข็ง กับกรอบนอกนุ่มใน ซึ่งผมชอบกินอย่างนี้มาก ติดใจมากตั้งแต่สมัยเด็กๆ ที่เวลาไปเมืองตาก บ้านแม่มักจะต้องทำเมนูข้าวเปล่าคลุกน้ำปลาและแคบหมูกิน แต่เดี๋ยวนี้เขามีหมูกระจก ก็คือแคบหมูแบบเส้นทอดกรอบปรุงรสขายด้วยแหะ ลามมาถึงนี่กันเลยทีเดียวแหะ และที่ถือว่าเป็นของคู่กันก็คือน้ำพริกหนุ่ม ที่แต่ละเจ้าดูจะต่างกันตรงที่ความเผ็ดและการปรุง แต่ไอ้ผมเองก็ไม่รู้เจ้าไหนอร่อยเหมือนกัน
อีกเมนูหนึ่งที่จัดเป็นของฝากเมืองเหนือนั่นก็คือ ไส้อั่ว ไส้กรอกหมูผสมเครื่องแกงแบบท้องถิ่น อบ ย่าง ในเตาไฟฟ้ากันเห็นๆ หลายร้านมีป้ายการันตีความอร่อยจากงานต่างๆ แต่รสชาติก็น่าจะไม่ต่างกันมากมั้ง นอกจากนี้ก็ยังมีพวกผลไม้อบแห้ง และที่กำลังเริ่มขายดีมีผลผลิตก็คือ สตรอเบอรี่ ทั้งพันธุ์ปกติลูกใหญ่ๆ และพันธุ์พระราชทาน ๘๐ ที่มีขนาดเล็ก แต่หวานฉ่ำ ขายในราคาไม่หนีกันมาก บางเจ้าก็ดีมีการถามก่อนว่าจะทานวันไหน ถ้ายังไม่ทานให้ซื้อลูกที่ยังไม่แดงมาก เมื่อไปถึงที่หมายจะแดงทานได้อร่อยพอดี อันนี้ผมเคยมีประสบการณ์ที่ซื้อสตรอเบอรี่จากโอซาก้า ด้วยความฉลาดจังเลยเลยซื้อแบบแดงฉ่ำแพ็คกลับมา พอถึงบ้านเปิดดูนี่อย่างเซ็ง เริ่มจะเละเลยจ้า ...
เดินไปๆ มาๆ จู่ๆ รู้ตัวอีกทีก็มีของฝากถือมาเต็มมือซะแล้ว เอาล่ะ ภารกิจสำเร็จสำหรับเช้าวันนี้ ต่อไปคือการตามล่าของกินที่เขาว่าอร่อยในย่านฯ ร่างกายตอนนี้พร้อมที่จะยัดอาหารเต็มที่ ดูสิว่า จะตระเวนกินได้สักกี่เจ้ากันนะ?
อ่านต่อฉบับหน้า ...