ความเดิมตอนที่แล้ว อ่าน
Alone in Tokyo ๑.๐: สู่ดินแดนอาทิตย์อุทัย
Alone in Tokyo ๑.๑: ฟูจิซังไกลลิบๆ ที่ภูเขาทะคะโอะ
Alone in Tokyo ๑.๒ : สึคึจิ ตลาดปลา ใครเขาก็มากัน
Alone in Tokyo ๑.๓ : ยังกับหลุดไปในยุคเอโดะ!!
Alone in Tokyo ๑.๔ : ในความงามนั้นมีความเศร้า
Alone in Tokyo (จบภาค ๑): กรุงเทพน่าจะมีป่าแบบนี้บ้างเนอะ!!
Alone in Kyoto ๑.๐ : ฝ่าดงไผ่ นั่งรถไฟ ชมใบไม้เปลี่ยนสี
Alone in Kyoto ๑.๑ : กว่าจะถึงวัดศาลาทอง (คินคะคุจิ)
Alone in Nara : เขาสวนกวางในวันฝนพร่ำ
Alone in Kyoto ๑.๒ : วัดคิโยะมิซุ ยามอาทิตย์อัสดง
Alone in Osaka ๑.๐ : ของดีที่ ปราสาทโอซาก้า!!
Alone in Osaka ๑.๑ : สึเทนคะคุ หอคอยแห่งกาลเวลา
๒ ธันวาคม ๒๕๕๗ : ย่านนัมบะ เมืองโอซาก้า
เค้าว่า โอซาก้านี่เป็นจังหวัดหนึ่งที่ให้กำเนิดอาหารหลายๆ อย่าง หนึ่งในนั้น หลายคนอาจจะไม่รู้ ก็คือ ไอ้เจ้าซูชิ สายพาน ตามร้านอาหารญี่ปุ่น มีจุดเริ่มมาจากที่นี่ และตอนนี้ผมก็มายืนอยู่หน้าร้านข้าวปั้นประเภทนี้ กำลังจะเดินเข้าไปทดลองทาน หลังด้อมๆ มองๆ มาได้สักพัก ต้องบอกก่อนว่าร้านนี้ไม่ใช่ต้นตำรับนะครับ เดี๋ยวจะเข้าใจผิด แต่ผมมาที่นี่ได้ยังไง ผมเองก็จำไม่ได้ เพราะหลังจากนั่งรถไฟใต้ดินแถวๆ หอคอยเล่นมาเรื่อยๆ ต่อไป ๒ - ๓ สถานี สุดท้ายจับพลัดจับผลูจู่ๆ มาโผล่ที่ย่านนัมบะ ซะงั้น เพราะทริปนี้ ไม่มีอยู่ในแผนการที่วางไว้ ใช้วิธีดูตามแผนที่รถไฟและข้อมูลประชาสัมพันธ์ที่เขาแจกให้เท่านั้น
ตามประวัติเขาว่า “ซูชิสายพาน” หรือ “ไคเต็น ซูชิ” (Kaiten Sushi) ถูกคิดค้นโดยคุณ ชิระอิชิ โยชิอะคิ (Yoshiaki Shiraishi) ที่ได้ไอเดียจากการลำเรียงขวดเบียร์บนสายพาน จึงนำมาใช้แก้ปัญหาเด็กเสิร์ฟที่ให้บริการไม่ทั่วถึง เขาใช้เวลาพัฒนาร่วม ๕ ปีในที่สุดก็ได้ฤกษ์เอามาใช้ในร้านอาหาร มาวะรุ เก็นโระคุ ซูชิ (Mawaru Genroku Sushi) ของเขาที่อยู่ในอำเภอฮิงะชิโอซาก้า เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๑ หรือเกือบ ๖๐ ปีที่แล้วนี่เอง
ส่วนร้านนี้ซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่าชื่ออะไร รู้เพียงแต่มีหลายสาขา และที่สะดุดตาที่สุดคือ ราคาเพียง ๑๓๐ เยน ... ก็จานละ ๓๙ บาทเท่านั้น!!! เรามาดูกันครับว่า จะได้กินอะไรบ้าง ... พอเข้าไปในร้านเขาก็ให้เราไปนั่งหน้าบาร์ เหมือนร้านในบ้านเราน่ะครับ แต่ที่ไม่เหมือนคือมีก๊อกน้ำชาร้อนให้กดเติมอยู่ตรงหน้าเลยครับ มีเมนูเป็นภาษาญี่ปุ่น และอังกฤษนิดหน่อย เมื่อเรียนรู้ได้ความแล้วก็เริ่มรับประทานดีกว่า ดูตามสายพานโอ้โห ... น่ากินทั้งนั้น คว้ามาให้ขวัก ทั้งหน้าหอยเชลล์ เนื้อปูซูไว แซลมอน ทูน่า ฮามาจิ กินไปสักพัก แล้วก็เพิ่งฉลาดรู้ว่า เขาสามารถสั่งได้ด้วย ก็เลยเน้นชี้บอกพ่อครัว จัดไข่ปลาแซลมอน และไข่หอยเม่นมา ... บร๊ะเจ้า ไม่คิดว่าราคานี้จะหากินได้ในเมืองไทยแน่ๆ ...
เสร็จสรรพก็ได้กลับสู่โรงแรมที่พัก นอนหลับในคืนสุดท้ายที่ญี่ปุ่น พรุ่งนี้เราจะโบกมือบ๊ายบายแล้วครับ
๓ ธันวาคม ๒๕๕๗ : สถานีรถไฟใต้ดิน นิปปมบะชิ จ.โอซาก้า
เช้านี้ผมเก็บข้าวของก่อนลงมาเช็กเอาท์ที่พัก พร้อมกับฝากกระเป๋าไว้ในล๊อกเกอร์ของโรงแรม แล้วก็รีบเดินทางไปที่สถานีรถไฟใต้ดิน เพื่อไปสู่จุดหมายแรกของวันใหม่ กับที่นี่ “ตลาดสดคุโระมง” (Kuromon Ichiba) ตลาดนี้อยู่ในเขตจุโอะ เขาว่าตลาดนี้มีมาตั้งแต่ราว พ.ศ.๒๓๖๕ - ๖๖ เป็นตลาดที่มีพ่อค้าแม่ค้าจากจังหวัดวาคะยะมะ ที่อยู่ทางตอนใต้ของโอซาก้า และ เมืองซาไก นำปลาสดๆ มาขายเวลาประตูดำ (Kuro - mon) ของวัด เอ็นเมะอิ ตอนนั้นเรียกชื่อตลาดตามวัด จนในปี ๒๔๕๕ ก็เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ และก็เสียหายหนักอีกครั้งในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ หลังจากนั้นตลาดจึงได้สร้างขึ้นมาใหม่ และเปลี่ยนชื่อเป็นคุโระมง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ตลาดนี้มีความยาวราว ๕๘๐ เมตร ตั้งแต่หัวซอยตรงถนน เซนนิจิมาเอะ มีร้านค้ามากกว่า ๑๕๐ ร้าน ให้ผู้คนเลือกจับจ่ายใช้สอยกัน ซึ่งตอนนี้ผมก็มายืนอยู่ภายในตลาดแล้ว พูดถึงตลาดสภาพที่คิดในตอนแรกก็จะมาแนวตลาดปลา หรือตลาดสดบ้านเรา แต่ที่นี่เป็นเหมือนย่านการค้าห้องแถวที่มีอาหารสดขาย ทั้งผัก ปลา เนื้อสัตว์ เต้าหู้ และน้ำเต้าหู้ อันนี้ลองซื้อชิมด้วยครับ อื้อหือ ... ถึงรสกลิ่นนมถั่วเหลืองแท้ๆ ตีเข้าจมูกเต็มๆ สำหรับคนที่ไม่ชอบกินเต้าหู้อย่างผมนี่ถึงกับผะอืดผะอมเลยทีเดียว ฮ่าๆๆ นอกจากนี้ยังมีร้านขายเครื่องครัว กาแฟ และ ซูเปอร์มาร์เกตย่อมๆ มีสตรอเบอร์รี่จากจังหวัด คุมะโมะโตะมาขายในราคาถูกด้วย
ที่อาจจะดูน่าแปลกสำหรับคนไทยก็คือ “ร้านขายปลาปักเป้า” !! ใช่ครับ ไอ้ที่บ้านเราประกาศเตือนห้ามทานกันน่ะครับ ที่นี่เขากินกันได้ กินแบบสดๆ ด้วยนะ แต่เขาจะมีวิธีกรรมในการแล่ไม่ให้โดนช่วงพิษของมัน ถือเป็นทักษะที่ไม่ควรลอกเลียนแบบมาจับทำกินเองในบ้านแน่ๆ ฮ่าๆๆ บางร้านก็ขายผักดอง อาหารปรุงสุก รวมทั้งลูกชิ้นต้มในน้ำซุป หรือโอเด้งด้วย แน่นอนว่า วันสุดท้ายแล้วก็จัดหนักจัดเต็ม ผมก็เลยสอยมาลองชิม ... มันอร่อยกว่าในมินิมาร์ทหรือร้านบุฟเฟ่ต์แฟรนไชส์บ้านเรามากเลยครับ
ยิ่งสายคนยิ่งเยอะครับ นักท่องเที่ยวไทยก็ไม่ใช่น้อย ได้ยินสำเนียงภาษาแล้วไม่ผิดตัวแน่ ที่นี่นอกจากสัตว์น้ำที่นิยมกันแล้ว เนื้อโกเบก็มีหั่นขายเป็นสเต็กก็มีเปิดให้ได้ลิ้มลองในราคาย่อมเยาด้วย แต่ผมสนใจอันนี้ครับ หอยเชลล์ยักษ์ หรือ โฮตะเตะ เสียบไม้ย่างราดซอสหวานเค็ม ไม้ละ ๗๐๐ เยนแลดูแพงแต่ก็อยาก ข่มใจไม่ไหวขอสักไม้ อืมมมม์ อร่อยจริงๆ
ดูเวลาแล้วก็ถึงคราวที่ต้องไปกันต่อ เดินกลับมาที่สถานีรถไฟใต้ดินเดิม แล้วนั่งรถไฟไปลงสถานีมินะมิ โมริมะจิ แล้วเปลี่ยนไปนั่งสายสีม่วง เพื่อลงสถานีฮิงะชิ อุเมะดะ แล้วเดินไปยังสถานีรถไฟอุเมะดะ เพื่อนั่งรถสายฮันคิว ทาคะระซุคะ (Hankyu Takarazuka) ไปลงปลายทางของผมก็คือสถานี อิเคะดะ ในส่วนนี้ถือว่านอกเส้นทางบัตรเบ่งโอซาก้าอเมซซิ่งพาส ต้องเสียค่ารถเพิ่มครับ แล้วผมมาทำไม? ... ถ้าคนบ้ารีวิวมาม่าอย่างผม มาโอซาก้าแล้วไม่มาแหล่งกำเนิดของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยุคปัจจุบัน ก็คงเหมือนมาไม่ถึงญี่ปุ่นเป็นแน่แท้
เพราะที่นี่คือ “พิพิธภัณฑ์ราเม็งกึ่งสำเร็จรูป โมโมะฟุคุ อันโดะ” (The Momofuku Ando Instant Ramen Museum) หรือ เรียกง่ายๆ ก็คือพิพิธภัณฑ์นิชชินนั่นล่ะ จริงๆ มีอีกที่หนึ่งอยู่ในจังหวัดโยโกฮาม่า ที่นั่นชื่อว่า คัพนู้ดเดิ้ลส์มิวเซียม ส่วนที่นี่อยู่ในอำเภออิเคะดะ ห่างจากอำเภอเมืองไม่ไกลนัก พอลงรถไฟก็เดินเข้าซอยไปไม่ไกลมาก จะเห็นอาคารสีอิฐบล๊อกพร้อมรูปปั้นคุณตาโมโมะฟุคุ ผู้ก่อตั้งบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยี่ห้อนิชชินยืนสง่า นั่นทำให้รู้ว่า มาถึงที่หมายแล้ว
ภายในอาคารมีจัดนิทรรศการเกี่ยวกับความเป็นมาของยี่ห้อนี้ เข้าชมฟรีครับ ก็เริ่มจากกระท่อมเล็กๆ ที่คุณตาโมโมะฟุคุ แกใช้ทดลองทำบะหมี่จนสำเร็จ (ตรงนี้เคยเขียนไว้ ตามไปอ่านได้ใน "บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป กับความอร่อยเสมือนจริง" ) ภายในถูกจำลองอุปกรณ์ เครื่องใช้ เครื่องรีดบะหมี่ เตา กระทะ และวัตถุดิบ ไว้ทั้งหมด เสมือนว่าเราย้อนเวลาแอบเข้าไปในห้องทดลองของเขาเลย ทุกอย่างดูราวกับบะหมี่เพิ่งเสร็จสมบูรณ์ไปไม่นานมานี้
ห้องถัดมาก็เป็นวิวัฒนาการการผลิตบะหมี่จากพ.ศ.๒๔๘๘ เรื่อยมา จนถึงปี ๒๕๑๔ ที่ผลิตบะหมี่ถ้วยเป็นเจ้าแรก และสู่ยุคปัจจุบัน ที่ผลิตเป็นอาหารส่งนักบินอวกาศ ในห้องนี้ก็ทำได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ ทั้งอุปกรณ์การทำบะหมี่ ซอง การขาย ไปจนถึงภายในบะหมี่ถ้วยนั้นมีอะไรใส่ลงไปบ้าง เขาไม่ได้มีฟิวเจอร์บอร์ดแปะๆ ให้เราอ่านดูหรือใส่สิ่งของไว้ในตู้กระจกให้ทำได้แค่มอง แต่มีการนำกลไกมาใช้ให้คนสนใจ ทั้งในรูปแบบ ภาพ เสียง หุ่นจำลอง ไปจนถึงการให้ผู้ชมได้ทำกิจกรรมเพื่อชมสิ่งของภายในด้วย อันนี้ก็เริ่มจะเห็นในหลายๆ พิพิธภัณฑ์รุ่นใหม่ๆ ของบ้านเรานะ
แต่ที่น่าเศร้าใจ คือ ... มันเขียนเป็นภาษาญี่ปุ่นหมดเลยล่ะสิ ...
โซนถัดมาเป็นโต๊ะเกมความรู้ให้เด็กๆ ได้ลองเล่น แล้วก็มีอุโมงค์ผลิตภัณฑ์นิชชินรสต่างๆ ที่ผลิตขายตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงปัจจุบัน กว่า ๘๐๐ ชิ้น อ่อ มีห้องฉายวีดีทัศน์ประวัติการคิดค้นด้วยนะ ถัดจากฮอลล์นี้ก็จะเป็นไฮไลท์ของที่พิพิธภัณฑ์แล้วล่ะครับ นั่นคือ การทำราเม็งกึ่งสำเร็จรูปถ้วยเดียวในโลก.... ก่อนอื่นต้องเสียค่าใช้จ่าย ๓๐๐ เยน เพื่อซื้อถ้วยบะหมี่เปล่าๆ จากนั้นก็ล้างมือ แล้วก็ไปนั่งวาดรูปไก่ หรืออะไรก็ได้เรื่องของคุณ พอละเลงจนพอใจแล้ว (ใช้คำนี้สำหรับผมคนเดียวนะ ฮ่าๆๆๆๆ ) ก็เอาไปให้เขาจัดการเอาไปครอบบะหมี่ แล้วคุณก็จะต้องมาใช้มือหมุนเครื่องเพื่อบีบอัดบะหมี่ให้บรรจุลงในถ้วยได้สำเร็จ ค่อยมาเลือกรสกันครับ มีทั้งหมด ๔ รส คือดั่งเดิม ซีฟู้ด กะหรี่ และซอสพริกผสมมะเขือเทศ เลือกได้เพียงรสเดียว
ต่อมาก็ต้องเลือกวัตถุดิบก็มี กุ้ง หมูอบอัดเป็นลูกเต๋า ไข่ ต้นหอมญี่ปุ่น ลูกชิ้นปลารูปฮิโยะโกะจัง กระเทียม ถั่วลันเตา เชดดาร์ชีส ปูอัด และพริกป่น เสร็จแล้วเขาก็แพ็กปิดฝา แล้วส่งมอบให้เราเอาไปใส่ในถุงลูกโป่งประหลาดๆ ฮ่าๆๆ เป็นอันเสร็จพิธี ... ส่วนอร่อยมั้ย ว่ากันอีกเรื่อง
ส่วนจัดแสดงถัดไปเป็นพวกเครื่องราชย์ รางวัล และเครื่องใช้ส่วนตัวของคุณตาโมโมะฟุคุ ครับ แล้วก็มีผลิตภัณฑ์นิชชินในต่างแดน รวมทั้งของที่ขายในบ้านเราก็ถูกนำมาโชว์ด้วยนะ ... อาคารนี้มีบันไดขึ้นไปอีกชั้นนึง ด้วยความอยากรู้ และไม่ได้มีป้ายห้ามใดๆ ผมจึงลองขึ้นไปดู และก็เจอเลยครับ!! ห้องการทำบะหมี่ คือพิพิธภัณฑ์นี้เขาเปิดให้นักท่องเที่ยวมาทดลองเรียนการทำบะหมี่ด้วย มีค่าใช้จ่าย ๕๐๐ เยน เริ่มตั้งแต่การนวดแป้ง ผสม ตัดเส้น ทอด อบ อะไรก็ว่าไป คือตอนแรกผมกะว่าจะมาเสี่ยงเอาดาบหน้าหาวิธีลงเรียนกับเขาด้วย แต่เขารับจองทั้งทางเว็บไซต์และโทรศัพท์ ก็เลยจบกัน ...
กลับลงมาชั้นล่าง ด้านนอกจะมีโซนตู้ขายบะหมี่ถ้วยอัตโนมัติให้กดซื้อมาชิมรองท้องกันได้ ส่วนด้านทางเข้าก็มีร้านค้าของที่ระลึกเกี่ยวกับเจ้าลูกเจี๊ยบฮิโยะโกะจัง มาสคอตของนิชชินรสซุปไก่รุ่นบุกเบิก ให้ได้เลือกซื้อหาฝากกลับบ้าน ส่วนผมได้มาม่า เอ๊ย นิชชินถ้วยเดียวในโลกมานี่ก็พอใจแล้ว ... กลับเข้าเมืองดีกว่า ... อ่อ พิพิธภัณฑ์นี้ เปิดตั้งแต่ ๙.๓๐ - ๑๖.๐๐ น. หยุดเฉพาะวันอังคาร ใครสนใจมาลองดูได้นะครับ
รถไฟที่นั่งมาได้พากลับไปยังสถานีต้นทางอีกครั้ง แล้วมุ่งหน้าสู่สถานที่เป้าหมายใหม่ ซึ่งอยู่ไม่ไกลมากนัก นั่นคือ “ตึกแฝดอุเมะดะ สกาย” (Umeda sky building) อาคารนี้รูปทรงดูประหลาดดี เป็นตึกคู่แต่ชั้นบนสุดทำเป็นชั้นเชื่อมระหว่างตึกแถมมีรูตรงกลาง พลันนึกถึงตอนเล่นเลโก้สมัยเด็กๆ ที่สร้างตึกแล้วเอาส่วนประกอบที่ไม่เข้าพวกมาวางเชื่อมกัน ฮ่าๆๆๆ แต่เดี๋ยวเราจะขึ้นไปดูไอ้ตรงนั้นกันครับ
ตึกนี้มีทั้งหมด ๔๐ ชั้น ความสูงรวม ๑๗๓ เมตร สร้างเสร็จใน พ.ศ.๒๕๓๖ เป็นที่ตั้งของศูนย์การค้า โรงภาพยนต์ ร้านอาหาร สำนักงาน รวมไปถึงสถานกงสุลเยอรมันประจำเมืองโอซาก้า ส่วนที่น่าสนใจของนักท่องเที่ยวก็คือชั้นบนสุดที่เรียกว่า “สวนชมวิวลอยฟ้า” (The Floating Garden Observatory) ตอนที่ผมมาถึงด้านล่างนี่เต็มไปด้วยร้านค้าและการตกแต่งรองรับกับเทศกาลคริสต์มาสอย่างสวยงาม แต่เราต้องขึ้นลิฟท์ไปที่ชั้น ๓๙ เพื่อต่อไปยังจุดชมวิว ... ที่นี่แน่นอนว่าต้องเสียค่าเข้าชมครับในราคา ๘๐๐ เยน แต่!!! เรามีบัตรเบ่งซะอย่าง เข้าได้สบายหายห่วง
จากชั้นนี้เราต้องขึ้นบันไดเลื่อนพุ่งพาดผ่ากลางรูไปสู่ชั้น ๔๐ แค่ยืนชมตรงนี้ก็วิวดีแล้วครับ พอถึงด้านบน ช่วงนี้เขามีให้เขียนอธิษฐานลงบนดาวด้วย ผมก็ไม่พลาดแน่นอน ก่อนจะมานั่งพักชมวิวผ่านกระจกบนเก้าอี้โซฟาทรงกลมให้อารมณ์แปลกๆ ไปอีกแบบ แต่ถ้าจะให้ดีต้องขึ้นไปสู่บนดาดฟ้า ตรงนี้เห็นทิวทัศน์ ๓๖๐ องศารอบใจกลางเมือง พร้อมกับลมเย็นๆ พัดผ่าน ถ้าสายตาดีๆ ก็จะเห็นไปถึงปราสาทโอซาก้าเลยด้วย บนชั้นนี้เปิดตั้งแต่ ๑๐ โมง - สี่ทุ่มครึ่งของทุกวัน แต่ถ้ามาช่วงโพล้เพล้น่าจะได้เห็นพระอาทิตย์ตกดิน พร้อมกับแสดงสว่างจากตึกต่างๆ นี่คงสวยกว่าที่ผมเห็นนี้เยอะ
ในตึกนี้ชั้นใต้ดินเป็นโซนร้านอาหารครับ แต่จำลองบรรยากาศแบบยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ ในชื่อ ทาคิมิโคะจิ และที่นี่เองก็มีร้านนึงที่ผมลิสต์เอาไว้ว่าจะมาลองชิมให้ได้ด้วย เขาขายโอโคโนมิยากิ หรือพิซซ่าญี่ปุ่น ของดังอีกอย่างในเมืองนี้ ส่วนร้านนี้มีชื่อว่า “โอโคโนมิยากิคิจิ” (Okonomiyakikiji) ที่ตลกก็คือ พอผมเปิดประตูเข้าไปนี่ถึงกับอึ้งเลยครับ ไม่มีลูกค้าสักคน แถมพนักงานเหลือคุณลุงกำลังยืนเตรียมวัตถุดิบอยู่ แกเห็นผมก็เลยบอกว่า เปิดร้านนะ แต่ผมคิดในใจว่าไม่ใช่แน่ๆ แต่แกคงเห็นว่าเป็นต่างชาติเลยอยากบริการให้กระมัง
ลุงแกให้ผมนั่งที่หน้าบาร์ มีกระทะร้อนๆ พร้อมรอพ่อครัวได้โชว์ฝีมือการทำอาหารขึ้นชื่อ แกถามว่าเอาอะไร พร้อมเมนูรูปภาพ ผมบอกตามสิ่งที่อยาก แล้วแกก็เริ่มจัดให้ คนแป้งผสมผักและไข่ให้เข้ากันแล้วเทลงไป โปะใบชิโสะตามด้วยหมูสามชั้นแร่แนวยาว พลิกอีกด้าน ราดซอส และใส่ผักป่นสีเขียวๆ แล้วทานได้เลย ... (ลวกปากสิครับ) ร้านนี้ไม่เหมือนกับที่กินในไทยตรงที่บ้านเราจะมีปลาโอแผ่นฝอยโรยด้วย แต่รสชาติก็อร่อยดีครับ ติดตรงที่ซอสน้อยไปหน่อย แต่จะขอก็กระไรอยู่ พูดก็ไม่เป็น แกก็มองตอนเรากินด้วย ฮ่าๆๆ ระหว่างนั้นลูกน้องแกก็เริ่มเข้าร้านมา ผมจึงคิดว่า ใช่ล่ะ นี่มันเวลาพักของเขาชัดๆ สักพักเขาก็เริ่มสนทนากับผมแบบงูๆ ปลาๆ กันหลายคน ก็สนุกดี เสร็จสรรพจ่ายค่าเสียหาย ราวๆ ๗๐๐ เยน เห็นจะได้
จากตึกนี้ต้องเดินย้อนกลับไปยังสถานีรถไฟใต้ดินอุเมะดะ เพื่อนั่งไปลงสถานีชินไซบะชิ ทำภารกิจสุดท้าย คือเดินเที่ยวในย่านช้อปปิ้ง แถวนี้ก็มีย่าน “ชินไซบะชิซุจิ” (Shinsaibashi suji) เป็นย่านการค้าชื่อดัง พูดถึงชื่อตามประวัติว่า มาจากพ่อค้าที่ชื่อ ชินไซ โอคะดะ มาสร้างสะพานข้ามคลองนางะโฮะริ (ซึ่งตอนนี้กลายเป็นถนน) เอาไว้ เมื่อปี ๒๑๖๕ คำว่าสะพานในภาษาญี่ปุ่นก็คือ บะชิ นั่นเอง ... อาเขตนี้มีความยาวประมาณ ๕๘๐ เมตร เริ่มจากถนน นางะโฮะริ ทะลุไปจนถึงถนน โซเอะมง โจ มีร้านค้ารวมเกือบ ๒๐๐ ร้าน และห้างใหญ่อย่างไดมารุ และโซโก สมัยยุคเอโดะ เป็นแหล่งช๊อปปิ้งพวกเครื่องเขียน หนังสือ กิโมโน อุปกรณ์ต่างๆ และของเก่า จนในยุคเมจิเริ่มมีสินค้าต่างประเทศเข้ามาขายจนเป็นที่นิยมถึงปัจจุบัน
ส่วนอีกที่หนึ่งอยู่ข้ามฟากถนนมิโดะ ซุจิ คือย่าน “อะเมะ มุระ” (America - mura) ที่นี่แต่ก่อนเป็นคลังเก็บถ่าน ราว พ.ศ.๒๕๐๓ กลายเป็นพื้นที่คลังสินค้า และลานจอดรถ แต่อีก ๑๐ ปีต่อมามีคนมาเช่าเปิดร้านขายเสื้อผ้า กางเกงยีนส์ แผ่นเสียง และเครื่องประดับมือสองจากอเมริกา ส่วนชื่อ หมู่บ้านอเมริกัน นี้ มาจากการจัดเทศกาล อเมริกา มุระ นัทสึ โนะ จิน (America Mura Natsu No Jin) เท่าที่ผมเดินสำรวจก็เห็นมีร้านขายเสื้อผ้าสไตล์แบบอเมริกันเยอะมากจริงๆ ห้างที่ดังๆ ก็อย่างบิ๊กสเต๊ป แต่จุดที่วัยรุ่นนิยมมารวมตัวกันก็คือ สวนซังคะคุ (Sankaku Koen) ลานกว้างๆ ใจกลางย่าน อารมณ์แบบ เซ็นเตอร์พ้อยท์ สยาม สมัยก่อนนั่นล่ะ มีการแสดงดนตรี และโชว์ต่างๆ อยู่เป็นประจำ
นอกจากนี้แล้วยังมีแลนด์มาร์กที่โดดเด่นอย่างรูปปั้นเทพีเสรีภาพบนตึก และรูปศิลปะแสดงอุทิศแด่สันติภาพบนโลกใบนี้ (อันนี้ผมหาไม่เจอแหะ) ... เจอแต่ร้านทาโกะยากิชื่อ “โคอุงะริวอุ” (Kougaryuu) ร้านนี้ดังถึงขนาดมีภาพสาวๆ ไอดอล วงเอเคบี ๔๘ มาทานด้วยนะ อยู่แถวสวนเลยครับ หาไม่ยาก เขาว่าเปิดขายมานานกว่า ๔๐ ปี และที่นี่คือสาขาแรกครับ รสชาติก็อร่อยดี แต่เสียอย่างเดียวใช้โฟมเป็นภาชนะแทนกระทงเรือซะงั้น
ถัดจากตรงนี้ก็ไม่ไกลจากปลายทางของผม ... นั่นคือ “ป้ายไฟกูลิโกะ” ริมคลอง “โดตมโบะริ” (Dotonbori) อย่างแรกผมต้องข้ามถนนกลับมาฝั่งชินไซบะชิ แล้วเดินไปในซอยมันจะทะลุถึงแลนด์มาร์กอีกแห่งของเมืองเลยครับ พูดถึงคลองก่อน ตัวคลองนี้ถูกขุดในปี ๒๑๕๕ โดย โดะตง ยะสุอิ (Yasui Doton) นักพัฒนาท้องถิ่น เพื่อขยายเชื่อมต่อเส้นทางคมนาคมทางน้ำ แต่ภายหลังได้เสียชีวิตในยุทธการล้อมโอซาก้า และต่อมาญาติๆ ก็ช่วยกันขุดต่อจนเสร็จ ในปี ๒๑๕๘ ต่อมาโชกุนก็ได้มีแผนให้แถวนี้เป็นย่านความบันเทิง โดยมีโรงละครเกิดขึ้นมากมาย ก่อนที่จะหมดยุคไปหลังสงครามโลกที่ได้ทำลายล้างสิ้น
ปัจจุบันก็ยังมีการใช้คลองในการเดินเรือท่องเที่ยว ซึ่งไอ้เจ้าบัตรเบ่งนี้ก็สามารถใช้เที่ยวได้นะ แต่ผมเกรงว่าจะไม่ทันเที่ยวบิน จึงขอเอาไว้โอกาสหน้าดีกว่า
ส่วนไอ้เจ้าป้ายกูลิโกะ อย่างที่บอกว่า เป็นเสมือนสัญลักษณ์ประจำเมือง เพราะสินค้ายี่ห้อนี้กำเนิดขึ้นที่นี่ โดยป้ายถูกนำมาติดตั้งด้วยไฟหลอดนีออนเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๘ แล้วทำไมพี่แกต้องวิ่งชูมือดีใจด้วย นั่นก็เพราะว่า ผลิตภัณฑ์ชิ้นแรกลูกอมกูลิโกะนี้ให้พลังงานเท่ากับการวิ่ง ๓๐๐ เมตรนี่เอง!! และผมจะบอกอีกอย่างว่า ป้ายที่เห็นนี่เป็นเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด เพิ่งเอามาติดตั้งไม่กี่วันที่ผ่านมานี่เอง (ขอโม้หน่อย...) เป็นป้ายที่เปลี่ยนรูปแบบของฉากลู่วิ่งด้านหลังกูลิโกะแมนไปเรื่อยๆ
อีกจุดที่ดังไม่แพ้กันก็คือป้ายรูปปูยักษ์ และแถวนี้เองก็มีขาปูยักษ์ย่างขายกันสดๆ ด้วยเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวอย่างมาก แต่ผมไม่ได้ลองหรอกนะ เดินเที่ยวเตร่ไปเรื่อยในย่านที่มีร้านค้ามากมายเต็มไปหมด คือมันเยอะจนละลานตาไปทางไหนก็มีแต่ร้าน พอลงใต้ไปเรื่อยๆ ก็จะไปโผล่ในแถวๆ สถานีนัมบะ ผมก็เตร็ดเตร่อยู่นาน เข้าซอยโน้นออกตรอกนี้ จนสมควรแก่เวลาก็นั่งรถไฟใต้ดินกลับไปสู่โรงแรมที่พัก เพื่อเอากระเป๋าที่ฝากไว้แล้วนั่งรถไฟต่อไปยังสนามบิน ...
แล้วมันก็มีเรื่องที่ทำเอาเกือบไม่ได้กลับไทยซะแล้ว
ผมนั่งรถไฟใต้ดินไปลงสถานีเทนโนจิ เพื่อต่อรถไฟเจอาร์ คันไซ แอร์พอร์ต ราปิด เซอร์วิส ไปลงที่ปลายทางสนามบินนานาชาติคันไซ ซึ่งอยู่ตรงชานชาลาที่ ๑๕ รถไฟออกเวลา ๓ ทุ่ม ส่วนเครื่องบินสายการบินแอร์เอเชียเอ็กซ์ ที่ผมต้องโดยสารกลับออกประมาณเที่ยงคืนกว่าได้ และจากที่นี่ผมจะใช้เวลาไปถึงก็ราวเกือบ ๑ ชั่วโมง ...นั่นก็ยังไม่ใช่ปัญหาครับ เมื่อรถไฟมาผมก็รีบขึ้นโดยไม่ได้ดูอะไร ... จนกระทั่ง ... ผมมองดูที่จอมอนิเตอร์บอกเส้นทาง มีการเตือนเกี่ยวกับโบกกี้รถไฟ ประมาณว่า รถไฟขบวนนี้มันแบ่งเป็น ๒ เส้นทาง คือ ไปสนามบิน ในโบกี้ที่ ๑ - ๔ กับ ไป จ.วาคะยะมะ ในโบกี้ที่ ๕ - ๘
อ้าวเฮ้ย ... แล้วเราอยู่โบกี้ไหนวะ?
ผมก็เลยถามคุณลุงที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ว่า ขบวนนี้ไปสนามบินหรือไม่ ... ลุงแกบอกว่า ไม่ใช่ เอ็งต้องไปขึ้นอีก ๒ โบกี้ถัดไป เพราะนี่คือโบกี้ที่ ๖ ... โอ้ จอร์จ .. ทำไมกูโง่อย่างนี้.... พอรถไฟจอดที่สถานีที่ใกล้จุดแยกจากกัน ผมจึงขอบคุณคุณลุงแล้วรีบวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตเพื่อไปขึ้นยังโบกี้ที่ ๔ ให้ทัน ซึ่งก็ถือว่าโชคดีที่ผมถาม ถ้าไม่อย่างนั้นล่ะก็ ... ผมคงไม่ได้มาถึงสนามบินอย่างในตอนนี้หรอกครับ!!
๘ วันที่ผ่านไปเป็นประสบการณ์อันหาซื้อไม่ได้ และยากจะลืมเลือน กับครั้งแรกในการท่องเที่ยวบนแผ่นดินญี่ปุ่น เราได้เห็นการบริการที่สุดยอด คนที่ดูใจดี อาหารที่ส่วนใหญ่มักถูกปากและน่าลิ้มลอง สถานที่ท่องเที่ยวอันน่าตื่นตาตื่นใจ การรักษาสถาปัตยกรรม ธรรมชาติ และสภาพแวดล้อมให้น่าอยู่ ความมีระเบียบวินัยอย่างสูงที่หาไม่ค่อยได้ในบ้านเรา และความเชื่อในชาตินิยมอันแข็งแกร่ง
แต่ในอีกมุมหนึ่งก็กลับรู้สึกว่า ... ที่นี่คงไม่เหมาะหรอก ที่คนอย่างเราจะมาอยู่ในดินแดนอันเข้มงวดและจริงจังแห่งนี้ ... สำหรับผม ชาติสยาม แม้จะดูซับซ้อน ไร้ระเบียบ และวุ่นวาย แต่มันก็เป็นที่ที่ผมสามารถอยู่ได้อย่างสบายใจ อย่างที่เขาว่า ไม่มีที่ใดสุขใจเท่าบ้านเรา จริงๆ นะ
ขอบคุณที่ติดตามทนอ่านกันมาตั้งแต่เหยียบสนามบินนาริตะ จนจบในบทนี้
ผมก็ได้แต่หวังว่า จะได้เดินทางสู่แดนอาทิตย์อุทัยอีกครั้ง ๒ ครั้ง และหลายๆ ครั้ง แล้วได้นำกลับมาเล่าให้ได้อ่านกัน (ถ้ายังไม่เบื่อนะ) เพราะญี่ปุ่น มีอะไรให้น่าค้นหาอีกเยอะ รวมทั้งในบางที่ ที่ผมเองก็อยากจะกลับไปพิสูจน์อะไรบางอย่าง... ด้วยตัวเองสักครั้ง
ขอบคุณครับ อาริงะโตะ โกไซมัส
ข้อมูลบางส่วน : http://kuromon.com/en.php , http://www.osaka-info.jp/th/shopping/_kuromonichiba.html ,http://www.instantramen-museum.jp/ ,http://www.kuchu-teien.com/english/observatory.html ,http://www.takimikoji.jp/shop/kiji ,http://tabelog.com/en/osaka/A2701/A270101/27000322/ ,http://www.osaka-info.jp/th/shopping/_shinsaibashisuji_shotengai.html , http://www.shinsaibashi.or.jp/lang/en/histories/chronology.html ,http://americamura.jp/en/history.php ,http://www.osaka-info.jp/th/shopping/americamura.html ,http://www.kougaryu.jp/index.html, วิกิพีเดีย
Alone in Tokyo ๑.๐: สู่ดินแดนอาทิตย์อุทัย
Alone in Tokyo ๑.๑: ฟูจิซังไกลลิบๆ ที่ภูเขาทะคะโอะ
Alone in Tokyo ๑.๒ : สึคึจิ ตลาดปลา ใครเขาก็มากัน
Alone in Tokyo ๑.๓ : ยังกับหลุดไปในยุคเอโดะ!!
Alone in Tokyo ๑.๔ : ในความงามนั้นมีความเศร้า
Alone in Tokyo (จบภาค ๑): กรุงเทพน่าจะมีป่าแบบนี้บ้างเนอะ!!
Alone in Kyoto ๑.๐ : ฝ่าดงไผ่ นั่งรถไฟ ชมใบไม้เปลี่ยนสี
Alone in Kyoto ๑.๑ : กว่าจะถึงวัดศาลาทอง (คินคะคุจิ)
Alone in Nara : เขาสวนกวางในวันฝนพร่ำ
Alone in Kyoto ๑.๒ : วัดคิโยะมิซุ ยามอาทิตย์อัสดง
Alone in Osaka ๑.๐ : ของดีที่ ปราสาทโอซาก้า!!
Alone in Osaka ๑.๑ : สึเทนคะคุ หอคอยแห่งกาลเวลา
๒ ธันวาคม ๒๕๕๗ : ย่านนัมบะ เมืองโอซาก้า
เค้าว่า โอซาก้านี่เป็นจังหวัดหนึ่งที่ให้กำเนิดอาหารหลายๆ อย่าง หนึ่งในนั้น หลายคนอาจจะไม่รู้ ก็คือ ไอ้เจ้าซูชิ สายพาน ตามร้านอาหารญี่ปุ่น มีจุดเริ่มมาจากที่นี่ และตอนนี้ผมก็มายืนอยู่หน้าร้านข้าวปั้นประเภทนี้ กำลังจะเดินเข้าไปทดลองทาน หลังด้อมๆ มองๆ มาได้สักพัก ต้องบอกก่อนว่าร้านนี้ไม่ใช่ต้นตำรับนะครับ เดี๋ยวจะเข้าใจผิด แต่ผมมาที่นี่ได้ยังไง ผมเองก็จำไม่ได้ เพราะหลังจากนั่งรถไฟใต้ดินแถวๆ หอคอยเล่นมาเรื่อยๆ ต่อไป ๒ - ๓ สถานี สุดท้ายจับพลัดจับผลูจู่ๆ มาโผล่ที่ย่านนัมบะ ซะงั้น เพราะทริปนี้ ไม่มีอยู่ในแผนการที่วางไว้ ใช้วิธีดูตามแผนที่รถไฟและข้อมูลประชาสัมพันธ์ที่เขาแจกให้เท่านั้น
ตามประวัติเขาว่า “ซูชิสายพาน” หรือ “ไคเต็น ซูชิ” (Kaiten Sushi) ถูกคิดค้นโดยคุณ ชิระอิชิ โยชิอะคิ (Yoshiaki Shiraishi) ที่ได้ไอเดียจากการลำเรียงขวดเบียร์บนสายพาน จึงนำมาใช้แก้ปัญหาเด็กเสิร์ฟที่ให้บริการไม่ทั่วถึง เขาใช้เวลาพัฒนาร่วม ๕ ปีในที่สุดก็ได้ฤกษ์เอามาใช้ในร้านอาหาร มาวะรุ เก็นโระคุ ซูชิ (Mawaru Genroku Sushi) ของเขาที่อยู่ในอำเภอฮิงะชิโอซาก้า เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๑ หรือเกือบ ๖๐ ปีที่แล้วนี่เอง
ส่วนร้านนี้ซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่าชื่ออะไร รู้เพียงแต่มีหลายสาขา และที่สะดุดตาที่สุดคือ ราคาเพียง ๑๓๐ เยน ... ก็จานละ ๓๙ บาทเท่านั้น!!! เรามาดูกันครับว่า จะได้กินอะไรบ้าง ... พอเข้าไปในร้านเขาก็ให้เราไปนั่งหน้าบาร์ เหมือนร้านในบ้านเราน่ะครับ แต่ที่ไม่เหมือนคือมีก๊อกน้ำชาร้อนให้กดเติมอยู่ตรงหน้าเลยครับ มีเมนูเป็นภาษาญี่ปุ่น และอังกฤษนิดหน่อย เมื่อเรียนรู้ได้ความแล้วก็เริ่มรับประทานดีกว่า ดูตามสายพานโอ้โห ... น่ากินทั้งนั้น คว้ามาให้ขวัก ทั้งหน้าหอยเชลล์ เนื้อปูซูไว แซลมอน ทูน่า ฮามาจิ กินไปสักพัก แล้วก็เพิ่งฉลาดรู้ว่า เขาสามารถสั่งได้ด้วย ก็เลยเน้นชี้บอกพ่อครัว จัดไข่ปลาแซลมอน และไข่หอยเม่นมา ... บร๊ะเจ้า ไม่คิดว่าราคานี้จะหากินได้ในเมืองไทยแน่ๆ ...
เสร็จสรรพก็ได้กลับสู่โรงแรมที่พัก นอนหลับในคืนสุดท้ายที่ญี่ปุ่น พรุ่งนี้เราจะโบกมือบ๊ายบายแล้วครับ
๓ ธันวาคม ๒๕๕๗ : สถานีรถไฟใต้ดิน นิปปมบะชิ จ.โอซาก้า
เช้านี้ผมเก็บข้าวของก่อนลงมาเช็กเอาท์ที่พัก พร้อมกับฝากกระเป๋าไว้ในล๊อกเกอร์ของโรงแรม แล้วก็รีบเดินทางไปที่สถานีรถไฟใต้ดิน เพื่อไปสู่จุดหมายแรกของวันใหม่ กับที่นี่ “ตลาดสดคุโระมง” (Kuromon Ichiba) ตลาดนี้อยู่ในเขตจุโอะ เขาว่าตลาดนี้มีมาตั้งแต่ราว พ.ศ.๒๓๖๕ - ๖๖ เป็นตลาดที่มีพ่อค้าแม่ค้าจากจังหวัดวาคะยะมะ ที่อยู่ทางตอนใต้ของโอซาก้า และ เมืองซาไก นำปลาสดๆ มาขายเวลาประตูดำ (Kuro - mon) ของวัด เอ็นเมะอิ ตอนนั้นเรียกชื่อตลาดตามวัด จนในปี ๒๔๕๕ ก็เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ และก็เสียหายหนักอีกครั้งในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ หลังจากนั้นตลาดจึงได้สร้างขึ้นมาใหม่ และเปลี่ยนชื่อเป็นคุโระมง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ตลาดนี้มีความยาวราว ๕๘๐ เมตร ตั้งแต่หัวซอยตรงถนน เซนนิจิมาเอะ มีร้านค้ามากกว่า ๑๕๐ ร้าน ให้ผู้คนเลือกจับจ่ายใช้สอยกัน ซึ่งตอนนี้ผมก็มายืนอยู่ภายในตลาดแล้ว พูดถึงตลาดสภาพที่คิดในตอนแรกก็จะมาแนวตลาดปลา หรือตลาดสดบ้านเรา แต่ที่นี่เป็นเหมือนย่านการค้าห้องแถวที่มีอาหารสดขาย ทั้งผัก ปลา เนื้อสัตว์ เต้าหู้ และน้ำเต้าหู้ อันนี้ลองซื้อชิมด้วยครับ อื้อหือ ... ถึงรสกลิ่นนมถั่วเหลืองแท้ๆ ตีเข้าจมูกเต็มๆ สำหรับคนที่ไม่ชอบกินเต้าหู้อย่างผมนี่ถึงกับผะอืดผะอมเลยทีเดียว ฮ่าๆๆ นอกจากนี้ยังมีร้านขายเครื่องครัว กาแฟ และ ซูเปอร์มาร์เกตย่อมๆ มีสตรอเบอร์รี่จากจังหวัด คุมะโมะโตะมาขายในราคาถูกด้วย
ที่อาจจะดูน่าแปลกสำหรับคนไทยก็คือ “ร้านขายปลาปักเป้า” !! ใช่ครับ ไอ้ที่บ้านเราประกาศเตือนห้ามทานกันน่ะครับ ที่นี่เขากินกันได้ กินแบบสดๆ ด้วยนะ แต่เขาจะมีวิธีกรรมในการแล่ไม่ให้โดนช่วงพิษของมัน ถือเป็นทักษะที่ไม่ควรลอกเลียนแบบมาจับทำกินเองในบ้านแน่ๆ ฮ่าๆๆ บางร้านก็ขายผักดอง อาหารปรุงสุก รวมทั้งลูกชิ้นต้มในน้ำซุป หรือโอเด้งด้วย แน่นอนว่า วันสุดท้ายแล้วก็จัดหนักจัดเต็ม ผมก็เลยสอยมาลองชิม ... มันอร่อยกว่าในมินิมาร์ทหรือร้านบุฟเฟ่ต์แฟรนไชส์บ้านเรามากเลยครับ
ยิ่งสายคนยิ่งเยอะครับ นักท่องเที่ยวไทยก็ไม่ใช่น้อย ได้ยินสำเนียงภาษาแล้วไม่ผิดตัวแน่ ที่นี่นอกจากสัตว์น้ำที่นิยมกันแล้ว เนื้อโกเบก็มีหั่นขายเป็นสเต็กก็มีเปิดให้ได้ลิ้มลองในราคาย่อมเยาด้วย แต่ผมสนใจอันนี้ครับ หอยเชลล์ยักษ์ หรือ โฮตะเตะ เสียบไม้ย่างราดซอสหวานเค็ม ไม้ละ ๗๐๐ เยนแลดูแพงแต่ก็อยาก ข่มใจไม่ไหวขอสักไม้ อืมมมม์ อร่อยจริงๆ
ดูเวลาแล้วก็ถึงคราวที่ต้องไปกันต่อ เดินกลับมาที่สถานีรถไฟใต้ดินเดิม แล้วนั่งรถไฟไปลงสถานีมินะมิ โมริมะจิ แล้วเปลี่ยนไปนั่งสายสีม่วง เพื่อลงสถานีฮิงะชิ อุเมะดะ แล้วเดินไปยังสถานีรถไฟอุเมะดะ เพื่อนั่งรถสายฮันคิว ทาคะระซุคะ (Hankyu Takarazuka) ไปลงปลายทางของผมก็คือสถานี อิเคะดะ ในส่วนนี้ถือว่านอกเส้นทางบัตรเบ่งโอซาก้าอเมซซิ่งพาส ต้องเสียค่ารถเพิ่มครับ แล้วผมมาทำไม? ... ถ้าคนบ้ารีวิวมาม่าอย่างผม มาโอซาก้าแล้วไม่มาแหล่งกำเนิดของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยุคปัจจุบัน ก็คงเหมือนมาไม่ถึงญี่ปุ่นเป็นแน่แท้
เพราะที่นี่คือ “พิพิธภัณฑ์ราเม็งกึ่งสำเร็จรูป โมโมะฟุคุ อันโดะ” (The Momofuku Ando Instant Ramen Museum) หรือ เรียกง่ายๆ ก็คือพิพิธภัณฑ์นิชชินนั่นล่ะ จริงๆ มีอีกที่หนึ่งอยู่ในจังหวัดโยโกฮาม่า ที่นั่นชื่อว่า คัพนู้ดเดิ้ลส์มิวเซียม ส่วนที่นี่อยู่ในอำเภออิเคะดะ ห่างจากอำเภอเมืองไม่ไกลนัก พอลงรถไฟก็เดินเข้าซอยไปไม่ไกลมาก จะเห็นอาคารสีอิฐบล๊อกพร้อมรูปปั้นคุณตาโมโมะฟุคุ ผู้ก่อตั้งบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยี่ห้อนิชชินยืนสง่า นั่นทำให้รู้ว่า มาถึงที่หมายแล้ว
ภายในอาคารมีจัดนิทรรศการเกี่ยวกับความเป็นมาของยี่ห้อนี้ เข้าชมฟรีครับ ก็เริ่มจากกระท่อมเล็กๆ ที่คุณตาโมโมะฟุคุ แกใช้ทดลองทำบะหมี่จนสำเร็จ (ตรงนี้เคยเขียนไว้ ตามไปอ่านได้ใน "บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป กับความอร่อยเสมือนจริง" ) ภายในถูกจำลองอุปกรณ์ เครื่องใช้ เครื่องรีดบะหมี่ เตา กระทะ และวัตถุดิบ ไว้ทั้งหมด เสมือนว่าเราย้อนเวลาแอบเข้าไปในห้องทดลองของเขาเลย ทุกอย่างดูราวกับบะหมี่เพิ่งเสร็จสมบูรณ์ไปไม่นานมานี้
ห้องถัดมาก็เป็นวิวัฒนาการการผลิตบะหมี่จากพ.ศ.๒๔๘๘ เรื่อยมา จนถึงปี ๒๕๑๔ ที่ผลิตบะหมี่ถ้วยเป็นเจ้าแรก และสู่ยุคปัจจุบัน ที่ผลิตเป็นอาหารส่งนักบินอวกาศ ในห้องนี้ก็ทำได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ ทั้งอุปกรณ์การทำบะหมี่ ซอง การขาย ไปจนถึงภายในบะหมี่ถ้วยนั้นมีอะไรใส่ลงไปบ้าง เขาไม่ได้มีฟิวเจอร์บอร์ดแปะๆ ให้เราอ่านดูหรือใส่สิ่งของไว้ในตู้กระจกให้ทำได้แค่มอง แต่มีการนำกลไกมาใช้ให้คนสนใจ ทั้งในรูปแบบ ภาพ เสียง หุ่นจำลอง ไปจนถึงการให้ผู้ชมได้ทำกิจกรรมเพื่อชมสิ่งของภายในด้วย อันนี้ก็เริ่มจะเห็นในหลายๆ พิพิธภัณฑ์รุ่นใหม่ๆ ของบ้านเรานะ
แต่ที่น่าเศร้าใจ คือ ... มันเขียนเป็นภาษาญี่ปุ่นหมดเลยล่ะสิ ...
โซนถัดมาเป็นโต๊ะเกมความรู้ให้เด็กๆ ได้ลองเล่น แล้วก็มีอุโมงค์ผลิตภัณฑ์นิชชินรสต่างๆ ที่ผลิตขายตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงปัจจุบัน กว่า ๘๐๐ ชิ้น อ่อ มีห้องฉายวีดีทัศน์ประวัติการคิดค้นด้วยนะ ถัดจากฮอลล์นี้ก็จะเป็นไฮไลท์ของที่พิพิธภัณฑ์แล้วล่ะครับ นั่นคือ การทำราเม็งกึ่งสำเร็จรูปถ้วยเดียวในโลก.... ก่อนอื่นต้องเสียค่าใช้จ่าย ๓๐๐ เยน เพื่อซื้อถ้วยบะหมี่เปล่าๆ จากนั้นก็ล้างมือ แล้วก็ไปนั่งวาดรูปไก่ หรืออะไรก็ได้เรื่องของคุณ พอละเลงจนพอใจแล้ว (ใช้คำนี้สำหรับผมคนเดียวนะ ฮ่าๆๆๆๆ ) ก็เอาไปให้เขาจัดการเอาไปครอบบะหมี่ แล้วคุณก็จะต้องมาใช้มือหมุนเครื่องเพื่อบีบอัดบะหมี่ให้บรรจุลงในถ้วยได้สำเร็จ ค่อยมาเลือกรสกันครับ มีทั้งหมด ๔ รส คือดั่งเดิม ซีฟู้ด กะหรี่ และซอสพริกผสมมะเขือเทศ เลือกได้เพียงรสเดียว
ต่อมาก็ต้องเลือกวัตถุดิบก็มี กุ้ง หมูอบอัดเป็นลูกเต๋า ไข่ ต้นหอมญี่ปุ่น ลูกชิ้นปลารูปฮิโยะโกะจัง กระเทียม ถั่วลันเตา เชดดาร์ชีส ปูอัด และพริกป่น เสร็จแล้วเขาก็แพ็กปิดฝา แล้วส่งมอบให้เราเอาไปใส่ในถุงลูกโป่งประหลาดๆ ฮ่าๆๆ เป็นอันเสร็จพิธี ... ส่วนอร่อยมั้ย ว่ากันอีกเรื่อง
ส่วนจัดแสดงถัดไปเป็นพวกเครื่องราชย์ รางวัล และเครื่องใช้ส่วนตัวของคุณตาโมโมะฟุคุ ครับ แล้วก็มีผลิตภัณฑ์นิชชินในต่างแดน รวมทั้งของที่ขายในบ้านเราก็ถูกนำมาโชว์ด้วยนะ ... อาคารนี้มีบันไดขึ้นไปอีกชั้นนึง ด้วยความอยากรู้ และไม่ได้มีป้ายห้ามใดๆ ผมจึงลองขึ้นไปดู และก็เจอเลยครับ!! ห้องการทำบะหมี่ คือพิพิธภัณฑ์นี้เขาเปิดให้นักท่องเที่ยวมาทดลองเรียนการทำบะหมี่ด้วย มีค่าใช้จ่าย ๕๐๐ เยน เริ่มตั้งแต่การนวดแป้ง ผสม ตัดเส้น ทอด อบ อะไรก็ว่าไป คือตอนแรกผมกะว่าจะมาเสี่ยงเอาดาบหน้าหาวิธีลงเรียนกับเขาด้วย แต่เขารับจองทั้งทางเว็บไซต์และโทรศัพท์ ก็เลยจบกัน ...
กลับลงมาชั้นล่าง ด้านนอกจะมีโซนตู้ขายบะหมี่ถ้วยอัตโนมัติให้กดซื้อมาชิมรองท้องกันได้ ส่วนด้านทางเข้าก็มีร้านค้าของที่ระลึกเกี่ยวกับเจ้าลูกเจี๊ยบฮิโยะโกะจัง มาสคอตของนิชชินรสซุปไก่รุ่นบุกเบิก ให้ได้เลือกซื้อหาฝากกลับบ้าน ส่วนผมได้มาม่า เอ๊ย นิชชินถ้วยเดียวในโลกมานี่ก็พอใจแล้ว ... กลับเข้าเมืองดีกว่า ... อ่อ พิพิธภัณฑ์นี้ เปิดตั้งแต่ ๙.๓๐ - ๑๖.๐๐ น. หยุดเฉพาะวันอังคาร ใครสนใจมาลองดูได้นะครับ
รถไฟที่นั่งมาได้พากลับไปยังสถานีต้นทางอีกครั้ง แล้วมุ่งหน้าสู่สถานที่เป้าหมายใหม่ ซึ่งอยู่ไม่ไกลมากนัก นั่นคือ “ตึกแฝดอุเมะดะ สกาย” (Umeda sky building) อาคารนี้รูปทรงดูประหลาดดี เป็นตึกคู่แต่ชั้นบนสุดทำเป็นชั้นเชื่อมระหว่างตึกแถมมีรูตรงกลาง พลันนึกถึงตอนเล่นเลโก้สมัยเด็กๆ ที่สร้างตึกแล้วเอาส่วนประกอบที่ไม่เข้าพวกมาวางเชื่อมกัน ฮ่าๆๆๆ แต่เดี๋ยวเราจะขึ้นไปดูไอ้ตรงนั้นกันครับ
ตึกนี้มีทั้งหมด ๔๐ ชั้น ความสูงรวม ๑๗๓ เมตร สร้างเสร็จใน พ.ศ.๒๕๓๖ เป็นที่ตั้งของศูนย์การค้า โรงภาพยนต์ ร้านอาหาร สำนักงาน รวมไปถึงสถานกงสุลเยอรมันประจำเมืองโอซาก้า ส่วนที่น่าสนใจของนักท่องเที่ยวก็คือชั้นบนสุดที่เรียกว่า “สวนชมวิวลอยฟ้า” (The Floating Garden Observatory) ตอนที่ผมมาถึงด้านล่างนี่เต็มไปด้วยร้านค้าและการตกแต่งรองรับกับเทศกาลคริสต์มาสอย่างสวยงาม แต่เราต้องขึ้นลิฟท์ไปที่ชั้น ๓๙ เพื่อต่อไปยังจุดชมวิว ... ที่นี่แน่นอนว่าต้องเสียค่าเข้าชมครับในราคา ๘๐๐ เยน แต่!!! เรามีบัตรเบ่งซะอย่าง เข้าได้สบายหายห่วง
จากชั้นนี้เราต้องขึ้นบันไดเลื่อนพุ่งพาดผ่ากลางรูไปสู่ชั้น ๔๐ แค่ยืนชมตรงนี้ก็วิวดีแล้วครับ พอถึงด้านบน ช่วงนี้เขามีให้เขียนอธิษฐานลงบนดาวด้วย ผมก็ไม่พลาดแน่นอน ก่อนจะมานั่งพักชมวิวผ่านกระจกบนเก้าอี้โซฟาทรงกลมให้อารมณ์แปลกๆ ไปอีกแบบ แต่ถ้าจะให้ดีต้องขึ้นไปสู่บนดาดฟ้า ตรงนี้เห็นทิวทัศน์ ๓๖๐ องศารอบใจกลางเมือง พร้อมกับลมเย็นๆ พัดผ่าน ถ้าสายตาดีๆ ก็จะเห็นไปถึงปราสาทโอซาก้าเลยด้วย บนชั้นนี้เปิดตั้งแต่ ๑๐ โมง - สี่ทุ่มครึ่งของทุกวัน แต่ถ้ามาช่วงโพล้เพล้น่าจะได้เห็นพระอาทิตย์ตกดิน พร้อมกับแสดงสว่างจากตึกต่างๆ นี่คงสวยกว่าที่ผมเห็นนี้เยอะ
ในตึกนี้ชั้นใต้ดินเป็นโซนร้านอาหารครับ แต่จำลองบรรยากาศแบบยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ ในชื่อ ทาคิมิโคะจิ และที่นี่เองก็มีร้านนึงที่ผมลิสต์เอาไว้ว่าจะมาลองชิมให้ได้ด้วย เขาขายโอโคโนมิยากิ หรือพิซซ่าญี่ปุ่น ของดังอีกอย่างในเมืองนี้ ส่วนร้านนี้มีชื่อว่า “โอโคโนมิยากิคิจิ” (Okonomiyakikiji) ที่ตลกก็คือ พอผมเปิดประตูเข้าไปนี่ถึงกับอึ้งเลยครับ ไม่มีลูกค้าสักคน แถมพนักงานเหลือคุณลุงกำลังยืนเตรียมวัตถุดิบอยู่ แกเห็นผมก็เลยบอกว่า เปิดร้านนะ แต่ผมคิดในใจว่าไม่ใช่แน่ๆ แต่แกคงเห็นว่าเป็นต่างชาติเลยอยากบริการให้กระมัง
ลุงแกให้ผมนั่งที่หน้าบาร์ มีกระทะร้อนๆ พร้อมรอพ่อครัวได้โชว์ฝีมือการทำอาหารขึ้นชื่อ แกถามว่าเอาอะไร พร้อมเมนูรูปภาพ ผมบอกตามสิ่งที่อยาก แล้วแกก็เริ่มจัดให้ คนแป้งผสมผักและไข่ให้เข้ากันแล้วเทลงไป โปะใบชิโสะตามด้วยหมูสามชั้นแร่แนวยาว พลิกอีกด้าน ราดซอส และใส่ผักป่นสีเขียวๆ แล้วทานได้เลย ... (ลวกปากสิครับ) ร้านนี้ไม่เหมือนกับที่กินในไทยตรงที่บ้านเราจะมีปลาโอแผ่นฝอยโรยด้วย แต่รสชาติก็อร่อยดีครับ ติดตรงที่ซอสน้อยไปหน่อย แต่จะขอก็กระไรอยู่ พูดก็ไม่เป็น แกก็มองตอนเรากินด้วย ฮ่าๆๆ ระหว่างนั้นลูกน้องแกก็เริ่มเข้าร้านมา ผมจึงคิดว่า ใช่ล่ะ นี่มันเวลาพักของเขาชัดๆ สักพักเขาก็เริ่มสนทนากับผมแบบงูๆ ปลาๆ กันหลายคน ก็สนุกดี เสร็จสรรพจ่ายค่าเสียหาย ราวๆ ๗๐๐ เยน เห็นจะได้
จากตึกนี้ต้องเดินย้อนกลับไปยังสถานีรถไฟใต้ดินอุเมะดะ เพื่อนั่งไปลงสถานีชินไซบะชิ ทำภารกิจสุดท้าย คือเดินเที่ยวในย่านช้อปปิ้ง แถวนี้ก็มีย่าน “ชินไซบะชิซุจิ” (Shinsaibashi suji) เป็นย่านการค้าชื่อดัง พูดถึงชื่อตามประวัติว่า มาจากพ่อค้าที่ชื่อ ชินไซ โอคะดะ มาสร้างสะพานข้ามคลองนางะโฮะริ (ซึ่งตอนนี้กลายเป็นถนน) เอาไว้ เมื่อปี ๒๑๖๕ คำว่าสะพานในภาษาญี่ปุ่นก็คือ บะชิ นั่นเอง ... อาเขตนี้มีความยาวประมาณ ๕๘๐ เมตร เริ่มจากถนน นางะโฮะริ ทะลุไปจนถึงถนน โซเอะมง โจ มีร้านค้ารวมเกือบ ๒๐๐ ร้าน และห้างใหญ่อย่างไดมารุ และโซโก สมัยยุคเอโดะ เป็นแหล่งช๊อปปิ้งพวกเครื่องเขียน หนังสือ กิโมโน อุปกรณ์ต่างๆ และของเก่า จนในยุคเมจิเริ่มมีสินค้าต่างประเทศเข้ามาขายจนเป็นที่นิยมถึงปัจจุบัน
ส่วนอีกที่หนึ่งอยู่ข้ามฟากถนนมิโดะ ซุจิ คือย่าน “อะเมะ มุระ” (America - mura) ที่นี่แต่ก่อนเป็นคลังเก็บถ่าน ราว พ.ศ.๒๕๐๓ กลายเป็นพื้นที่คลังสินค้า และลานจอดรถ แต่อีก ๑๐ ปีต่อมามีคนมาเช่าเปิดร้านขายเสื้อผ้า กางเกงยีนส์ แผ่นเสียง และเครื่องประดับมือสองจากอเมริกา ส่วนชื่อ หมู่บ้านอเมริกัน นี้ มาจากการจัดเทศกาล อเมริกา มุระ นัทสึ โนะ จิน (America Mura Natsu No Jin) เท่าที่ผมเดินสำรวจก็เห็นมีร้านขายเสื้อผ้าสไตล์แบบอเมริกันเยอะมากจริงๆ ห้างที่ดังๆ ก็อย่างบิ๊กสเต๊ป แต่จุดที่วัยรุ่นนิยมมารวมตัวกันก็คือ สวนซังคะคุ (Sankaku Koen) ลานกว้างๆ ใจกลางย่าน อารมณ์แบบ เซ็นเตอร์พ้อยท์ สยาม สมัยก่อนนั่นล่ะ มีการแสดงดนตรี และโชว์ต่างๆ อยู่เป็นประจำ
นอกจากนี้แล้วยังมีแลนด์มาร์กที่โดดเด่นอย่างรูปปั้นเทพีเสรีภาพบนตึก และรูปศิลปะแสดงอุทิศแด่สันติภาพบนโลกใบนี้ (อันนี้ผมหาไม่เจอแหะ) ... เจอแต่ร้านทาโกะยากิชื่อ “โคอุงะริวอุ” (Kougaryuu) ร้านนี้ดังถึงขนาดมีภาพสาวๆ ไอดอล วงเอเคบี ๔๘ มาทานด้วยนะ อยู่แถวสวนเลยครับ หาไม่ยาก เขาว่าเปิดขายมานานกว่า ๔๐ ปี และที่นี่คือสาขาแรกครับ รสชาติก็อร่อยดี แต่เสียอย่างเดียวใช้โฟมเป็นภาชนะแทนกระทงเรือซะงั้น
ถัดจากตรงนี้ก็ไม่ไกลจากปลายทางของผม ... นั่นคือ “ป้ายไฟกูลิโกะ” ริมคลอง “โดตมโบะริ” (Dotonbori) อย่างแรกผมต้องข้ามถนนกลับมาฝั่งชินไซบะชิ แล้วเดินไปในซอยมันจะทะลุถึงแลนด์มาร์กอีกแห่งของเมืองเลยครับ พูดถึงคลองก่อน ตัวคลองนี้ถูกขุดในปี ๒๑๕๕ โดย โดะตง ยะสุอิ (Yasui Doton) นักพัฒนาท้องถิ่น เพื่อขยายเชื่อมต่อเส้นทางคมนาคมทางน้ำ แต่ภายหลังได้เสียชีวิตในยุทธการล้อมโอซาก้า และต่อมาญาติๆ ก็ช่วยกันขุดต่อจนเสร็จ ในปี ๒๑๕๘ ต่อมาโชกุนก็ได้มีแผนให้แถวนี้เป็นย่านความบันเทิง โดยมีโรงละครเกิดขึ้นมากมาย ก่อนที่จะหมดยุคไปหลังสงครามโลกที่ได้ทำลายล้างสิ้น
ปัจจุบันก็ยังมีการใช้คลองในการเดินเรือท่องเที่ยว ซึ่งไอ้เจ้าบัตรเบ่งนี้ก็สามารถใช้เที่ยวได้นะ แต่ผมเกรงว่าจะไม่ทันเที่ยวบิน จึงขอเอาไว้โอกาสหน้าดีกว่า
ส่วนไอ้เจ้าป้ายกูลิโกะ อย่างที่บอกว่า เป็นเสมือนสัญลักษณ์ประจำเมือง เพราะสินค้ายี่ห้อนี้กำเนิดขึ้นที่นี่ โดยป้ายถูกนำมาติดตั้งด้วยไฟหลอดนีออนเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๘ แล้วทำไมพี่แกต้องวิ่งชูมือดีใจด้วย นั่นก็เพราะว่า ผลิตภัณฑ์ชิ้นแรกลูกอมกูลิโกะนี้ให้พลังงานเท่ากับการวิ่ง ๓๐๐ เมตรนี่เอง!! และผมจะบอกอีกอย่างว่า ป้ายที่เห็นนี่เป็นเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด เพิ่งเอามาติดตั้งไม่กี่วันที่ผ่านมานี่เอง (ขอโม้หน่อย...) เป็นป้ายที่เปลี่ยนรูปแบบของฉากลู่วิ่งด้านหลังกูลิโกะแมนไปเรื่อยๆ
อีกจุดที่ดังไม่แพ้กันก็คือป้ายรูปปูยักษ์ และแถวนี้เองก็มีขาปูยักษ์ย่างขายกันสดๆ ด้วยเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวอย่างมาก แต่ผมไม่ได้ลองหรอกนะ เดินเที่ยวเตร่ไปเรื่อยในย่านที่มีร้านค้ามากมายเต็มไปหมด คือมันเยอะจนละลานตาไปทางไหนก็มีแต่ร้าน พอลงใต้ไปเรื่อยๆ ก็จะไปโผล่ในแถวๆ สถานีนัมบะ ผมก็เตร็ดเตร่อยู่นาน เข้าซอยโน้นออกตรอกนี้ จนสมควรแก่เวลาก็นั่งรถไฟใต้ดินกลับไปสู่โรงแรมที่พัก เพื่อเอากระเป๋าที่ฝากไว้แล้วนั่งรถไฟต่อไปยังสนามบิน ...
แล้วมันก็มีเรื่องที่ทำเอาเกือบไม่ได้กลับไทยซะแล้ว
ผมนั่งรถไฟใต้ดินไปลงสถานีเทนโนจิ เพื่อต่อรถไฟเจอาร์ คันไซ แอร์พอร์ต ราปิด เซอร์วิส ไปลงที่ปลายทางสนามบินนานาชาติคันไซ ซึ่งอยู่ตรงชานชาลาที่ ๑๕ รถไฟออกเวลา ๓ ทุ่ม ส่วนเครื่องบินสายการบินแอร์เอเชียเอ็กซ์ ที่ผมต้องโดยสารกลับออกประมาณเที่ยงคืนกว่าได้ และจากที่นี่ผมจะใช้เวลาไปถึงก็ราวเกือบ ๑ ชั่วโมง ...นั่นก็ยังไม่ใช่ปัญหาครับ เมื่อรถไฟมาผมก็รีบขึ้นโดยไม่ได้ดูอะไร ... จนกระทั่ง ... ผมมองดูที่จอมอนิเตอร์บอกเส้นทาง มีการเตือนเกี่ยวกับโบกกี้รถไฟ ประมาณว่า รถไฟขบวนนี้มันแบ่งเป็น ๒ เส้นทาง คือ ไปสนามบิน ในโบกี้ที่ ๑ - ๔ กับ ไป จ.วาคะยะมะ ในโบกี้ที่ ๕ - ๘
อ้าวเฮ้ย ... แล้วเราอยู่โบกี้ไหนวะ?
ผมก็เลยถามคุณลุงที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ว่า ขบวนนี้ไปสนามบินหรือไม่ ... ลุงแกบอกว่า ไม่ใช่ เอ็งต้องไปขึ้นอีก ๒ โบกี้ถัดไป เพราะนี่คือโบกี้ที่ ๖ ... โอ้ จอร์จ .. ทำไมกูโง่อย่างนี้.... พอรถไฟจอดที่สถานีที่ใกล้จุดแยกจากกัน ผมจึงขอบคุณคุณลุงแล้วรีบวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตเพื่อไปขึ้นยังโบกี้ที่ ๔ ให้ทัน ซึ่งก็ถือว่าโชคดีที่ผมถาม ถ้าไม่อย่างนั้นล่ะก็ ... ผมคงไม่ได้มาถึงสนามบินอย่างในตอนนี้หรอกครับ!!
๘ วันที่ผ่านไปเป็นประสบการณ์อันหาซื้อไม่ได้ และยากจะลืมเลือน กับครั้งแรกในการท่องเที่ยวบนแผ่นดินญี่ปุ่น เราได้เห็นการบริการที่สุดยอด คนที่ดูใจดี อาหารที่ส่วนใหญ่มักถูกปากและน่าลิ้มลอง สถานที่ท่องเที่ยวอันน่าตื่นตาตื่นใจ การรักษาสถาปัตยกรรม ธรรมชาติ และสภาพแวดล้อมให้น่าอยู่ ความมีระเบียบวินัยอย่างสูงที่หาไม่ค่อยได้ในบ้านเรา และความเชื่อในชาตินิยมอันแข็งแกร่ง
แต่ในอีกมุมหนึ่งก็กลับรู้สึกว่า ... ที่นี่คงไม่เหมาะหรอก ที่คนอย่างเราจะมาอยู่ในดินแดนอันเข้มงวดและจริงจังแห่งนี้ ... สำหรับผม ชาติสยาม แม้จะดูซับซ้อน ไร้ระเบียบ และวุ่นวาย แต่มันก็เป็นที่ที่ผมสามารถอยู่ได้อย่างสบายใจ อย่างที่เขาว่า ไม่มีที่ใดสุขใจเท่าบ้านเรา จริงๆ นะ
ขอบคุณที่ติดตามทนอ่านกันมาตั้งแต่เหยียบสนามบินนาริตะ จนจบในบทนี้
ผมก็ได้แต่หวังว่า จะได้เดินทางสู่แดนอาทิตย์อุทัยอีกครั้ง ๒ ครั้ง และหลายๆ ครั้ง แล้วได้นำกลับมาเล่าให้ได้อ่านกัน (ถ้ายังไม่เบื่อนะ) เพราะญี่ปุ่น มีอะไรให้น่าค้นหาอีกเยอะ รวมทั้งในบางที่ ที่ผมเองก็อยากจะกลับไปพิสูจน์อะไรบางอย่าง... ด้วยตัวเองสักครั้ง
ขอบคุณครับ อาริงะโตะ โกไซมัส
ข้อมูลบางส่วน : http://kuromon.com/en.php , http://www.osaka-info.jp/th/shopping/_kuromonichiba.html ,http://www.instantramen-museum.jp/ ,http://www.kuchu-teien.com/english/observatory.html ,http://www.takimikoji.jp/shop/kiji ,http://tabelog.com/en/osaka/A2701/A270101/27000322/ ,http://www.osaka-info.jp/th/shopping/_shinsaibashisuji_shotengai.html , http://www.shinsaibashi.or.jp/lang/en/histories/chronology.html ,http://americamura.jp/en/history.php ,http://www.osaka-info.jp/th/shopping/americamura.html ,http://www.kougaryu.jp/index.html, วิกิพีเดีย