ความเดิมตอนที่แล้ว อ่าน
Alone in Tokyo ๑.๐: สู่ดินแดนอาทิตย์อุทัย
Alone in Tokyo ๑.๑: ฟูจิซังไกลลิบๆ ที่ภูเขาทะคะโอะ
Alone in Tokyo ๑.๒ : สึคึจิ ตลาดปลา ใครเขาก็มากัน
Alone in Tokyo ๑.๓ : ยังกับหลุดไปในยุคเอโดะ!!
Alone in Tokyo ๑.๔ : ในความงามนั้นมีความเศร้า
Alone in Tokyo (จบภาค ๑): กรุงเทพน่าจะมีป่าแบบนี้บ้างเนอะ!!
Alone in Kyoto ๑.๐ : ฝ่าดงไผ่ นั่งรถไฟ ชมใบไม้เปลี่ยนสี
Alone in Kyoto ๑.๑ : กว่าจะถึงวัดศาลาทอง (คินคะคุจิ)
Alone in Nara : เขาสวนกวางในวันฝนพร่ำ
Alone in Kyoto ๑.๒ : วัดคิโยะมิซุ ยามอาทิตย์อัสดง
๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ : สถานีรถไฟฮังคิว อุเมะดะ จ.โอซาก้า
การได้นั่งรถไฟยาวๆ หลังจากเดินมาหลายชั่วโมงนี่ก็เหมือนได้พักเท้าสักพักนึงก่อนจะได้พักกันจริงๆ ตอนนอนหลับที่โรงแรม ความเพลียทำให้ผมงีบหลับไปหลายจังหวะ รถไฟคันนี้คนไม่ค่อยมากเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะไม่ใช่เวลาเร่งด่วนกระมัง ค่ารถ ๔๐๐ เยน ข้ามจังหวัดจากสถานีคาระวะมะจิ ใจกลางเกียวโต สู่ อุเมะดะ ใจกลางโอซาก้า กับเวลา ๔๔ นาที ทำให้ได้คลายความเมื่อยล้าไปได้สักนิดนึง...
และภารกิจของผมกับที่นี่ก็คือ เดินไปหาร้านทาโกยากิ ขึ้นชื่อของย่าน ซึ่งอยู่ในห้องแถวตรงด้านหน้าสถานี ใต้สะพานลอยของรถไฟเจอาร์ ใกล้ๆ กับทางเดินที่ข้ามถนนไปสู่สถานีเจอาร์โอซาก้า แถวนี้เต็มไปด้วยร้านอาหารเล็กๆ ห้องแถวราวๆ ๒ คูหา มี ๒ ชั้น สภาพก็ประมาณลิโด้ สยามบ้านเรา แต่ร้านนี้อยู่หัวมุมครับ ผมก็เดินวนหาไปเรื่อย เพราะในกูเกิ้ลสตรีทมันมองไม่เห็น จนในที่สุดก็เจอ ชื่อร้าน “ฮานะดะโกะ” (Hanadako) ขายแต่ทาโกยากิล้วนๆ ภายในร้านในชายหนุ่มใส่ชุดพ่อครัวสีขาวกำลังช่วยกันผลิตขนมครกญี่ปุ่นไส้ปลาหมึกยักษ์อย่างคึกคัก ในเว็บชิมอาหารของญี่ปุ่นนี่มีคนรีวิวกันเยอะมาก ก็เลยต้องขอลองเสียหน่อย หน้าร้านก็มีแค่บาร์เล็กๆ ให้ยืนทานเท่านั้นเอง
เมนูฮิตของเขาก็คือ ทาโกยากิโรยต้นหอมญี่ปุ่น ๖ ลูก ๕๒๐ เยน ผมก็สั่งเลย ใช้นิ้วชี้รูปให้เขาดู เขาก็รีบทำให้ตามออเดอร์ แต่ คือ ต้นหอมพี่แกใส่มาเป็นกองภูเขาแล้วราดซอสมายองเนส บนบาร์มีขวดซอสโอโคโนมิยากิ วางให้ลูกค้าเติมรสด้วย เมื่อได้ของก็ต้องลองชิมดูก็อร่อยดีครับ หนวดปลาหมึกชิ้นใหญ่ได้เรื่องอยู่ เมื่อมากินกับต้นหอมแล้วตัดเลี่ยนได้ดีมากเลย
กินเสร็จแล้วก็ได้เวลากลับสู่ที่พัก ด้วยรถไฟใต้ดิน หมดสิ้นไปอีก ๑ วัน
๒ ธันวาคม ๒๕๕๗ : สถานีรถไฟใต้ดิน โดบุทสึเอ็น มาเอะ จ.โอซาก้า
เช้าวันนี้ ... ไม่สิ ๙ โมงกว่าเขาไม่เรียกว่าเช้านะคุณดรงค์!! ... สายวันนี้ ผมจะทัวร์รอบเมืองโอซาก้าครับ ด้วยบัตร “โอซาก้า อเมซซิ่ง พาส” (Osaka Amazing pass) ที่ผมซื้อมาเมื่อวันเสาร์ บัตรนี้ ดียังไง คร่าวๆ ก็คือ มันสามารถใช้นั่งรถไฟใต้ดิน รถราง และรถเมล์ ได้ทั่วเมืองโอซาก้า แบบไม่จำกัดจำนวนครั้ง และยังเข้าสถานที่ท่องเที่ยวหลักๆ ๒๘ แห่งได้ฟรี อาทิ ขึ้นเรือล่องแม่น้ำทมโบริ เข้าพิพิธภัณฑ์ต่างๆ แถมมีส่วนลดต่างๆ ทั้งค่าสถานที่ท่องเที่ยวนอกเหนือจากที่เข้าฟรี และอื่นๆ ด้วย มีแบบ ๑ และ ๒ วัน ราคา ๒,๓๐๐ เยน และ ๓,๐๐๐ เยน แต่ตั๋ววันเดียวจะพิเศษกว่าตรงที่ สามารถนั่งรถไฟสายเอกชนของยี่ห้อฮังคิว , เคย์ฮัง ,นันไค ,ฮังชิน และคินเท๊ทสึ ในพื้นที่รอบเมืองได้ด้วย
พูดถึงก็ดูเหมือนคุ้มกว่าตั๋ว ๒ วัน แต่สำหรับผม พอมาดูแต่ละจุดที่จะไปแล้ว มันใช้แค่รถไฟใต้ดินเท่านั้น จึงคิดว่าซื้อตั๋วแบบนี้จะดีกว่า อย่างน้อยก็ได้ใช้นั่งรถไฟฟรีเที่ยวไปทั่วล่ะ แต่เอาเข้าจริงๆ ถ้าเน้นล่าแต้มกันนี่ ๒ วันก็ดูท่าไม่น่าจะครบทั้ง ๒๘ จุดหรอกนะ
และสถานที่แรกที่ผมจะไปวันนี้ก็คือ ... ตลาดปลา (อีกแล้ว) ครับ!!
ผมประเดิมใช้บัตรโดยสารนั่งรถไฟใต้ดินจากที่พักไปเปลี่ยนรถที่สถานีนัมบะ แล้วมุ่งตรงสู่ปลายทาง สถานีทามะงะวะ เดินย้อนกลับมาทางสะพานข้ามแม่น้ำ มีความยาวราวๆ ๑ กิโลเมตรกว่าๆ ได้ วันนี้ฝนไม่ตก ดีใจ เย้ๆ แต่ .. ลมแรงมากครับ ผนวกกับอากาศที่เย็นจัดก็ทำให้ผมถึงกับหนาวสั่น แต่ไหนๆ มาแล้วก็ลุยสิครับ ไม่นานนักก็ถึงกับ “โอซาก้า จูโอะ โอโระชิ อุริ อิจิบะ” หรือ ตลาดกลางค้าส่งเทศบาลเมืองโอซาก้า (Osaka Chuo Oroshi-uri Ichiba) ตลาดเก่าแก่ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน ๒๔๗๔ ก็ ๘๐ กว่าปีแล้ว
แน่นอนว่า ในช่วงเช้าก็ต้องมีการประมูลปลากันเหมือนที่ตลาดสึคิจิ ในกรุงโตเกียว และเพียงไม่นานนักตลาดก็จะวายไม่มีของขาย อย่างเช่น .. เวลาที่ผมมาถึงนี่ไง ร้านค้าทยอยปิดกันไปเพียบ เท่าที่ดูเหมือนว่า ด้านในตลาดหลักจะมีชั้นบนด้วย เห็นว่าขายผัก แล้วก็ยังมีตึกที่ขายเฉพาะผลไม้ กับอาหารแห้งด้วย ส่วนด้านหน้าสุดมีโซนตึกแถว ขายอาหารแห้งและปรุงสำเร็จ ราคาค่อนข้างถูก และอีกฝั่งเป็นห้องแถวไม่กี่ห้องก็มีร้านอาหารญี่ปุ่นอยู่ ที่ดังๆ ก็ซูชิ เอ็นโดะ และแน่นอนว่า ผมไม่ได้ทาน .. อันนี้เป็นความกากเฉพาะตัวมากๆ เห็นร้านมันปิดประตูอยู่ ก็เลยคิดว่าเขาคงไม่ขาย ..
โถ... พ่อคู๊ณณณณณ
ตัดภาพกลับมาที่สถานีรถไฟใต้ดินทามะงะวะ เพื่อนั่งรถสายสีชมพูไปลงที่สถานีโอซาก้า อุเอะฮงมะจิ แล้วเปลี่ยนไปนั่งสายสีม่วง ลงที่สถานีทานิมะจิ ยนโจเมะ มาสู่สถานที่สำคัญสัญลักษณ์ของเมือง นั่นคือ “ปราสาทโอซาก้า” !! เราใช้เวลาเดินไม่นานก็ถึงด้านหน้าซึ่งเป็นสวนสาธารณะ นอกกำแพงปราสาทถูกล้อมรอบไปด้วยคูน้ำ มีป้อมปราการอยู่ด้านในกำแพงด้วย พอเดินข้ามสะพานผ่านประตูปราสาทเข้าไป อารมณ์ของผมตอนนี้มีความรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในฉากหนังสงครามและเรากำลังจะบุกเข้าไปยังตัวปราสาทแล้ว ... เฮ้!!!
ว่าแล้วก็ย้อนอดีตกันสักหน่อยครับ กลับไปเมื่อ พ.ศ.๒๐๓๙ ตอนนั้นที่นี่ยังไม่มี ปราสาทโอซาก้า (Osaka jo) แต่มีหลวงพ่อเร็งเนียว (Rennyo) ภิกษุในพุทธศาสนาได้มาตั้งวัดเล็กๆ แถวนี้ๆ ในชื่อ อิชิยะมะ โกโบะ (Ishiyama Gobo ) ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นวัดอิชิยะมะ ฮนงัน (Ishiyama Honganji) เมื่อปี ๒๐๗๖ และได้กลายเป็นฉากหนึ่งในประวัติศาสตร์สงครามญี่ปุ่น ในปี ๒๑๑๓ เมื่อเหล่านักบวชอิคโคะ อิคคิ และชาวนาได้รวมตัวกัน โดยได้รับการสนับสนุนจากตระกูลโมริ เพื่อต่อต้านการเข้ามายึดครองดินแดนของ ไดเมียวผู้ยิ่งใหญ่ โนบุนะงะ โอดะ (Oda Nobunaga) ผู้แรกเริ่มแห่งการรวมแดนอาทิตย์อุทัยเป็นหนึ่ง กองทัพของโนบุนะงะ ได้ทำการล้อมบริเวณนี้ไว้ และมีการทำสงครามกันประปราย ถึง ๑๐ ปี จนกระทั่งหลวงพ่อโฆสะ เจ้าอาวาสได้ยอมจำนนขอสงบศึก
ต่อมาภายหลังโนบุนะงะ ได้เสียชีวิตลง ๑ ปีใน พ.ศ.๒๑๒๖ ไดเมียว “ฮิเดะโยะชิ โทโยะโทะมิ” (Toyotomi Hideyoshi) ครองอำนาจแทน และได้สร้างปราสาทโอซาก้าขึ้นในปีเดียวกันนี้ โดยตัวปราสาทสร้างสถาปัตยกรรมคล้าย กับปราสาทอะซุจิ ของโนบุนะงะ ซึ่งเสร็จในอีก ๒ ปีต่อมา หลังจากนั้นก็ได้มีการสร้างต่อเติมให้พื้นที่รอบนอกแข็งแกร่งและสามารถป้องกันภัยจากศัตรูได้มากขึ้น โดยสร้างเสร็จสมบูรณ์ใน พ.ศ.๒๑๔๑ แต่ทว่าไดเมียวฮิเดะโยะชิ กลับเสียชีวิต ฮิเดะโยะริ โมยะโทมิ บุตรชายจึงได้มาอยู่ที่ปราสาทนี้แทน
บริเวณปราสาทนี่อลังการมาก อย่างเขื่อนกำแพงฐานปราสาทนี่ทำจากหินแกรนิตมีความสูง ๒๐ เมตร ใช้หินทั้งหมดน่าจะเยอะถึง ๑ ล้านก้อนเลย ส่วนป้อมปราการที่เห็นในตอนแรกชื่อว่า โรกุบัง (Rokuban yagura) ซุ้มประตูทางเข้าด่านแรกสุดชื่อ โอเตะมง (Otemon) ส่วนซุ้มด้านในคือ ซากุระมง (Sakuramon) เมื่อผ่านตรงนี้มาก็จะพบกับปราสาทโอซาก้านั่นเอง ...
ตัวปราสาทดูสูงเด่นมากๆ มีหลังคาสีเขียว หน้าจั่วและกำแพงสีขาว ถ้าเราเดินอยู่ด้านนอกบริเวณนี้ ไม่เสียตังค์ครับ แต่ถ้าเราเข้าไปภายในซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์และจุดชมวิวเรามีค่าใช้จ่ายทันที ๖๐๐ เยน ... แต่เดี๋ยวก่อน!! ในเมื่อเรามีบัตรเบ่งอเมซซิ่งโอซาก้าอยู่ทั้งใบ ก็ต้องใช้มันเข้าฟรีสิครับ ฮี่ๆๆๆ พอเราเข้ามาเขาก็จะพาเราขึ้นลิฟท์!! มีลิฟท์ด้วย!! ขึ้นไปยังชั้น ๕ ชั้นนี้จัดแสดงเรื่องราวสงครามการยึดครองปราสาทโอซาก้าของกองทัพโชกุนอิเอะยะสุ โทกุงะวะ แห่งเอโดะ กับตระกูลโทโยะโทะมิ พูดแล้วต้องขยายความสักนิดครับ ภายหลังจากที่ไดเมียวฮิเดะโยะชิ เสียชีวิต บุตรชายจึงครองเมืองแทน และขุนนางในรัฐบาลก็เกิดการแบ่งแยกกันเป็น ๒ พวก ก็คือไดเมียวฝั่งตะวันตก ผู้สวามิภักดิ์ต่อตระกูลโทโยะโทมิ กับอีกฝ่ายไดเมียวฝั่งตะวันออก ที่นำโดยอิเอะยะสุ จนเกิดสงครามที่ชื่อว่า ยุทธการเซกิงะฮะระ (Sekigahara) ใน พ.ศ.๒๑๔๓ และแน่นอน อิเอะยะสุ เป็นฝ่ายชนะ นั่นทำให้เขาได้กลายเป็นผู้ครองอำนาจในแผ่นดินญี่ปุ่น และดำรงตำแหน่งโชกุนคนแรกในตระกูลโทกุงะวะ เมื่อ พ.ศ. ๒๑๔๖
หลังจากนั้นเขาก็สละตำแหน่งให้แก่บุตรชายชื่อ ฮิเดะทะดะ ขึ้นเป็นโชกุน แล้วเปลี่ยนเป็น โอโงโช หรือโชกุนผู้สละตำแหน่งแทน แต่ในปี ๒๑๕๗ อิเอะยะสุ และโชกุนฮิเดะทะดะ ก็ได้นำทัพใหญ่นับแสนมาล้อมปราสาทโอซาก้า ภายหลังมีข่าวว่าทางไดเมียวฮิเดะโยะริ ซ่องสุมกำลังเพื่อจะชิงอำนาจ ก่อนจะทำการเผด็จศึกได้สำเร็จในวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๑๕๘ ผลในครั้งนี้เป็นเหตุให้บุตรชายของฮิเดะโยชิ และมารดา ต้องกระทำการเซปปุกุ คว้านท้องตนเองเสียชีวิต และที่นี่เองในปีนี้ก็มีการจัดนิทรรศการ ๔๐๐ ปีแห่งการศึกอันนำมาสู่การล่มสลายของตระกูลโทโยะโทมิ ด้วย
จากชั้น ๕ เดินขึ้นผ่านชั้น ๖ สู่ชั้น ๗ บนนี้มีเรื่องราวของวัด และชีวะประวัติของไดเมียวฮิเดะโยชิ และการก่อสร้างปราสาท ส่วนชั้นบนสุดเป็นจุดชมวิว ความสูงจากพื้นประมาณ ๕๐ เมตร ด้านในมีของที่ระลึกขายเพียบเลย แต่ลมวันนี้แรงจริงๆ ผมไปเดินวนรอบๆ นี่หนาวเลย ผมสังเกตุตรงช่อฟ้าหลังคาจะมีรูปปั้นปลามังกรทองคำประดับอยู่ด้วย
ตัวปราสาทนี้ จริงๆ ถูกสร้างขึ้นใหม่หลายครั้ง อย่างภายหลังสงครามนี่ก็ได้มีการสร้างเป็นครั้งที่ ๒ โดยรัฐบาลเอโดะ ใน พ.ศ. ๒๑๖๓ จนเสร็จในอีก ๙ ปีต่อมา แต่ทว่า ใน พ.ศ.๒๒๐๘ ก็กลับถูกฟ้าผ่าจนเกิดไฟไหม้พังเสียหาย ก่อนจะถูกปล่อยทิ้งร้างมาหลายร้อยปี จนกระทั่งในพ.ศ.๒๓๘๖ ก็ได้มีการซ่อมแซมด้วยเงินบริจาคจากชาวบ้าน แต่ไม่นานนักตัวปราสาทก็ถูกทำลายลงด้วยน้ำมือของกองทัพผู้ต่อต้านรัฐบาลและเชิดชูสมเด็จพระจักรพรรดิ์เมจิ ในสงครามโบชิง ซึ่งโชกุนโยชิโนะบุ โทกุงะวะ โชกุนคนสุดท้ายได้บัญชาการรบอยู่ที่นี่ ก่อนที่จะกลับไปสู่เมืองเอโดะ ใน พ.ศ.๒๔๑๑ ในเวลาต่อมาพื้นที่ปราสาทได้กลายเป็นคลังแสงผลิตยุทโธปกรณ์ของกองทัพญี่ปุ่น และตัวปราสาทก็ได้ถูกก่อสร้างขึ้นใหม่เป็นครั้งที่ ๓ เมื่อปี ๒๔๗๔ แต่สุดท้ายที่นี่ก็ถูกฝรั่งระเบิดทำลายจนเสียหายหลายจุด เมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ ๒ ในปี ๒๔๘๘
และที่เรายืนอยู่เพิ่งได้รับการบูรณะครั้งล่าสุดเสร็จใน พ.ศ.๒๕๔๐ นี่เอง
ชมวิวจนพอใจแล้วจึงลงมาด้านล่าง ขอบอกว่าของดีไม่ได้อยู่แค่ชั้นบนสุดครับ!! ... พอเดินลงบันไดมาเรื่อยๆ จนถึงชั้นที่ ๔ และ ๓ ตรงนี้มีป้ายแปะไว้ ห้ามถ่ายรูป เอ๊ะ ทำไมถึงห้ามกันนะ ... แน่นอนครับมันมีสิ่งสำคัญอยู่ ในชั้นนี้จะมีศาตราวุธ ยุทโธปกรณ์ในยุคนั้น รวมทั้งเครื่องแต่งกาย วัตถุโบราณต่างๆ นำมาจัดแสดง และที่สำคัญ ผมถือว่าโชคดีมาก ที่เห็นชุดเกราะโบราณของพวกไดเมียว และนักรบมาโชว์ด้วย โห แบบ บรรยายไม่ถูกเลยครับ ชุดส่วนใหญ่เป็นรูปสัตว์ เช่น กวาง หมี ดูน่าเกรงขามมาก เหมือนที่เราเคยเห็นเขาใส่ในทีวี หรือการ์ตูน แต่นี่คือของจริง ใช้งานจริง (เค้าว่านะ) เห็นว่า ในโซนนี้จะเปลี่ยนการแสดงไปทุก ๒ เดือน นอกจากนี้ยังมีปราสาทจำลองในยุคโทโยะโทมิ และยุคโทกุงะวะ และห้องน้ำชาจำลองมาจากปราสาทฟุชิมิของไดเมียวฮิเดะโยชิ ด้วย
ชั้นล่างก็จะมีจุดให้นักท่องเที่ยวได้สวมชุดเกราะซามูไรจำลองให้ได้ลองถ่ายรูปเล่น เสีย ๓๐๐ เยน แน่นอนว่าผมคงปฏิเสธ ... พอออกมาจากตัวปราสาท ก็เห็นบรรดาผู้คนต่างหลั่งไหลกันมาไม่ขาดสาย มีกลุ่มนักเรียนมัธยมปลายอีกหลายๆ กลุ่มใหญ่ มารอเข้าชมภายใน คิดๆ ไปก็คงจะคล้ายๆ กับที่โรงเรียนเกณฑ์เด็กไปดูพิพิธภัณฑ์ในบ้านเรา ด้านนอกนี้มีของขาย ทั้งรถขายอาหารกลางแจ้ง แจ้งจริงๆ ตากแดด ไม่มีร่มกาง กับซุ้มการแสดงนินจา ส่วนตึกเก่าๆ ทรงยุโรป นี่สมัยก่อนเคยเป็นที่ตั้งของกองทัพภาคที่ ๔ สร้างในยุคสมเด็จพระจักรพรรดิโชวะ ต่อมาหลังสงครามโลกได้กลายเป็นสำนักงานตำรวจนครโอซาก้า และกลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์เมืองโอซาก้า เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๓ ก่อนจะเลิกให้บริการในปี ๔๔ นี่เอง
พอหันหลังให้ตัวปราสาท เดินตรงมาสู่ทางออก เราก็จะเห็นสิ่งที่เราอาจไม่ได้สังเกตเลยเมื่อตอนเข้าไปว่า ตรงนี้มีเสาโทริอิ บ่งบอกว่า เป็นเขตศาลเจ้าด้วยนะ และภายในนั้นก็มีรูปปั้นของคนคนหนึ่งอยู่ด้วย เขาเป็นใครกัน .. ต้องเดินเข้าไปดูครับ .. เป็นชายชรายืนสง่ามือซ้ายจับประคองดาบมือขวาถือพัดใบไม้ เขาก็คือเจ้าของปราสาทผู้ล่วงลับ ไดเมียวฮิเดะโยชิ นั่นเอง ศาลเจ้านี้มีชื่อว่า “โฮโคะคุ” (Hokoku jinja) เพื่อให้ได้สักการะแก่บุคคลสำคัญแห่งโอซาก้าคนนี้
ในยุคอาซุจิ โมโมะยะมะ (Azuchi-Momoyama) เขาคือผู้ที่สามารถสานปณิธานของไดเมียวโนบุนะงะ ในการรวมชาติได้สำเร็จนั่นเอง และถ้าย้อนกลับไปดูประวัติของเขาก็ถือว่า ไม่ธรรมดา เขาเกิดมาจากตระกูลนักรบชาวนา หนีออกจากบ้านไปเสี่ยงโชคเป็นข้ารับใช้ซามูไร ยุกิสึนะ มัตสึชิตะ ก่อนกลับบ้านมารับใช้ตระกูลโอะดะ ทำหน้าที่ดูแลรองเท้า ต่อมาได้สร้างวีรกรรมอันเลื่องลือ ด้วยการปีนเขาหาทางลัดให้กองทัพเข้าโจมตีปราสาทกิฟุ และติดตามทัพเข้ายึดกรุงเกียวโต ทำสงครามรับใช้จนได้เลื่อนขั้นเป็นแม่ทัพ และไดเมียวแคว้นโอมิ
ต่อมาใน พ.ศ.๒๑๑๙ ได้ยกทัพไปโจมตีภูมิภาคตะวันตก จนพิชิตหลายแคว้นผ่านไปถึง ๖ ปี ก็ต้องนำทัพกลับสู่เมืองหลังทราบข่าวว่า โนบุนะงะ ถูกคนสนิทลอบสังหารในเกียวโต และได้ทำการล้างแค้นได้สำเร็จในที่สุด แต่ทว่านี่คือจุดเริ่มต้นแห่งการยึดครองอำนาจของเขา ด้วยการแต่งตั้งหลานชายของโนบุนะงะ วัย ๒ ขวบ เป็นผู้สืบทอดตระกูล นั่นก็ทำให้เกิดความขัดแย้งแบ่งเป็น ๒ ฝ่าย จนเขาต้องทำสงครามปราบปรามผู้ต่อต้าน อย่าง คัตสึอิเอะ ชิบะตะ แม่ทัพคู่ใจของโนบุนะงะ ในยุทธการชิซุงะตะเกะ ก่อนเอาชนะได้ และก็ต้องรบกับไดเมียวอิเอะยะสุ ด้วยเช่นกัน แต่ในครั้งนี้กลับไม่รู้แพ้รู้ชนะจนต้องสงบศึก จากนั้นจึงเริ่มทำการรวมประเทศในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ หรือ คัมปะกุ เข้าโจมตีจนยึดครองทั้งญี่ปุ่นได้เป็นผลสำเร็จ นอกจากนี้ยังขยายอิทธิพลด้วยการเข้ารุกรานเกาหลี และปราบปรามชาวคริสเตียน บนเกาะคิวชู
แต่ทว่าไม่มีใครอยู่ได้ค้ำฟ้า ฮิเดะโยะชิ ล้มป่วยลงจึงแต่งตั้งไดเมียวผู้ทรงอำนาจ ๕ คนมาเป็นคณะผู้สำเร็จราชการแทนบุตรชายของตน ซึ่งขณะนั้นอยู่ในวัย ๕ ขวบ ก่อนจะสิ้นชีวิตในปราสาทฟุชิมิ ทางตอนใต้กรุงเกียวโต และก็เกิดเหตุอย่างที่เล่าไปเมื่อตอนต้นเกี่ยวกับปราสาทโอซาก้านั้นแล ...
กงล้อประวัติศาสตร์สุดท้ายมันก็วนเวียนแบบเดิมให้เห็นอยู่บ่อยๆ อาจเกิดขึ้นในยุคของเขา ลูก หลาน เหลน โหลน เจเนอเรชั่นถัดๆ ไปก็ได้ เพียงแต่ผู้มีอำนาจนั้นจะทำความเข้าใจกับมันและพยายามไม่ให้ผิดซ้ำซาก หรือหลงไหลมัวเมาในอำนาจจนลืมไปว่าสิ่งใด สิ่งนั้น จะก่อให้เกิดปัญหาอันใดในอนาคตหรือไม่ ..
จริงๆ แล้วภายในอาณาเขตของปราสาทที่กว้างใหญ่นี้ยังมีสวนสาธารณะที่น่าสนใจชื่อว่า นิชิโนะมะรุ ในช่วงหน้าซากุระบานที่นี่จะเต็มไปด้วยผู้คนที่มาเยี่ยมชมดอกไม้โดยมีปราสาทเป็นฉากหลัง เอาไว้หากมีโอกาสก็อยากจะมาดูชาวนิฮงชมซากุระที่นี่เหมือนกันแหะ
บ่นมากไปแล้ว ... เดินทางต่อดีกว่า นี่เพิ่งแค่ยังไม่ถึงครึ่งวันเลยนะ ฮ่าๆๆ
อ่านต่อฉบับหน้า...
ข้อมูลบางส่วน : http://tabelog.com/en/osaka/A2701/A270101/27012248/ , https://www.osaka-info.jp/osp/en/pdf/guide.pdf , http://www.honjo-osaka.or.jp/shohisha-ayumi-80th/ http://www.osakacastle.net/english/history/index.html
Alone in Tokyo ๑.๐: สู่ดินแดนอาทิตย์อุทัย
Alone in Tokyo ๑.๑: ฟูจิซังไกลลิบๆ ที่ภูเขาทะคะโอะ
Alone in Tokyo ๑.๒ : สึคึจิ ตลาดปลา ใครเขาก็มากัน
Alone in Tokyo ๑.๓ : ยังกับหลุดไปในยุคเอโดะ!!
Alone in Tokyo ๑.๔ : ในความงามนั้นมีความเศร้า
Alone in Tokyo (จบภาค ๑): กรุงเทพน่าจะมีป่าแบบนี้บ้างเนอะ!!
Alone in Kyoto ๑.๐ : ฝ่าดงไผ่ นั่งรถไฟ ชมใบไม้เปลี่ยนสี
Alone in Kyoto ๑.๑ : กว่าจะถึงวัดศาลาทอง (คินคะคุจิ)
Alone in Nara : เขาสวนกวางในวันฝนพร่ำ
Alone in Kyoto ๑.๒ : วัดคิโยะมิซุ ยามอาทิตย์อัสดง
๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ : สถานีรถไฟฮังคิว อุเมะดะ จ.โอซาก้า
การได้นั่งรถไฟยาวๆ หลังจากเดินมาหลายชั่วโมงนี่ก็เหมือนได้พักเท้าสักพักนึงก่อนจะได้พักกันจริงๆ ตอนนอนหลับที่โรงแรม ความเพลียทำให้ผมงีบหลับไปหลายจังหวะ รถไฟคันนี้คนไม่ค่อยมากเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะไม่ใช่เวลาเร่งด่วนกระมัง ค่ารถ ๔๐๐ เยน ข้ามจังหวัดจากสถานีคาระวะมะจิ ใจกลางเกียวโต สู่ อุเมะดะ ใจกลางโอซาก้า กับเวลา ๔๔ นาที ทำให้ได้คลายความเมื่อยล้าไปได้สักนิดนึง...
และภารกิจของผมกับที่นี่ก็คือ เดินไปหาร้านทาโกยากิ ขึ้นชื่อของย่าน ซึ่งอยู่ในห้องแถวตรงด้านหน้าสถานี ใต้สะพานลอยของรถไฟเจอาร์ ใกล้ๆ กับทางเดินที่ข้ามถนนไปสู่สถานีเจอาร์โอซาก้า แถวนี้เต็มไปด้วยร้านอาหารเล็กๆ ห้องแถวราวๆ ๒ คูหา มี ๒ ชั้น สภาพก็ประมาณลิโด้ สยามบ้านเรา แต่ร้านนี้อยู่หัวมุมครับ ผมก็เดินวนหาไปเรื่อย เพราะในกูเกิ้ลสตรีทมันมองไม่เห็น จนในที่สุดก็เจอ ชื่อร้าน “ฮานะดะโกะ” (Hanadako) ขายแต่ทาโกยากิล้วนๆ ภายในร้านในชายหนุ่มใส่ชุดพ่อครัวสีขาวกำลังช่วยกันผลิตขนมครกญี่ปุ่นไส้ปลาหมึกยักษ์อย่างคึกคัก ในเว็บชิมอาหารของญี่ปุ่นนี่มีคนรีวิวกันเยอะมาก ก็เลยต้องขอลองเสียหน่อย หน้าร้านก็มีแค่บาร์เล็กๆ ให้ยืนทานเท่านั้นเอง
เมนูฮิตของเขาก็คือ ทาโกยากิโรยต้นหอมญี่ปุ่น ๖ ลูก ๕๒๐ เยน ผมก็สั่งเลย ใช้นิ้วชี้รูปให้เขาดู เขาก็รีบทำให้ตามออเดอร์ แต่ คือ ต้นหอมพี่แกใส่มาเป็นกองภูเขาแล้วราดซอสมายองเนส บนบาร์มีขวดซอสโอโคโนมิยากิ วางให้ลูกค้าเติมรสด้วย เมื่อได้ของก็ต้องลองชิมดูก็อร่อยดีครับ หนวดปลาหมึกชิ้นใหญ่ได้เรื่องอยู่ เมื่อมากินกับต้นหอมแล้วตัดเลี่ยนได้ดีมากเลย
กินเสร็จแล้วก็ได้เวลากลับสู่ที่พัก ด้วยรถไฟใต้ดิน หมดสิ้นไปอีก ๑ วัน
๒ ธันวาคม ๒๕๕๗ : สถานีรถไฟใต้ดิน โดบุทสึเอ็น มาเอะ จ.โอซาก้า
เช้าวันนี้ ... ไม่สิ ๙ โมงกว่าเขาไม่เรียกว่าเช้านะคุณดรงค์!! ... สายวันนี้ ผมจะทัวร์รอบเมืองโอซาก้าครับ ด้วยบัตร “โอซาก้า อเมซซิ่ง พาส” (Osaka Amazing pass) ที่ผมซื้อมาเมื่อวันเสาร์ บัตรนี้ ดียังไง คร่าวๆ ก็คือ มันสามารถใช้นั่งรถไฟใต้ดิน รถราง และรถเมล์ ได้ทั่วเมืองโอซาก้า แบบไม่จำกัดจำนวนครั้ง และยังเข้าสถานที่ท่องเที่ยวหลักๆ ๒๘ แห่งได้ฟรี อาทิ ขึ้นเรือล่องแม่น้ำทมโบริ เข้าพิพิธภัณฑ์ต่างๆ แถมมีส่วนลดต่างๆ ทั้งค่าสถานที่ท่องเที่ยวนอกเหนือจากที่เข้าฟรี และอื่นๆ ด้วย มีแบบ ๑ และ ๒ วัน ราคา ๒,๓๐๐ เยน และ ๓,๐๐๐ เยน แต่ตั๋ววันเดียวจะพิเศษกว่าตรงที่ สามารถนั่งรถไฟสายเอกชนของยี่ห้อฮังคิว , เคย์ฮัง ,นันไค ,ฮังชิน และคินเท๊ทสึ ในพื้นที่รอบเมืองได้ด้วย
พูดถึงก็ดูเหมือนคุ้มกว่าตั๋ว ๒ วัน แต่สำหรับผม พอมาดูแต่ละจุดที่จะไปแล้ว มันใช้แค่รถไฟใต้ดินเท่านั้น จึงคิดว่าซื้อตั๋วแบบนี้จะดีกว่า อย่างน้อยก็ได้ใช้นั่งรถไฟฟรีเที่ยวไปทั่วล่ะ แต่เอาเข้าจริงๆ ถ้าเน้นล่าแต้มกันนี่ ๒ วันก็ดูท่าไม่น่าจะครบทั้ง ๒๘ จุดหรอกนะ
และสถานที่แรกที่ผมจะไปวันนี้ก็คือ ... ตลาดปลา (อีกแล้ว) ครับ!!
ผมประเดิมใช้บัตรโดยสารนั่งรถไฟใต้ดินจากที่พักไปเปลี่ยนรถที่สถานีนัมบะ แล้วมุ่งตรงสู่ปลายทาง สถานีทามะงะวะ เดินย้อนกลับมาทางสะพานข้ามแม่น้ำ มีความยาวราวๆ ๑ กิโลเมตรกว่าๆ ได้ วันนี้ฝนไม่ตก ดีใจ เย้ๆ แต่ .. ลมแรงมากครับ ผนวกกับอากาศที่เย็นจัดก็ทำให้ผมถึงกับหนาวสั่น แต่ไหนๆ มาแล้วก็ลุยสิครับ ไม่นานนักก็ถึงกับ “โอซาก้า จูโอะ โอโระชิ อุริ อิจิบะ” หรือ ตลาดกลางค้าส่งเทศบาลเมืองโอซาก้า (Osaka Chuo Oroshi-uri Ichiba) ตลาดเก่าแก่ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน ๒๔๗๔ ก็ ๘๐ กว่าปีแล้ว
แน่นอนว่า ในช่วงเช้าก็ต้องมีการประมูลปลากันเหมือนที่ตลาดสึคิจิ ในกรุงโตเกียว และเพียงไม่นานนักตลาดก็จะวายไม่มีของขาย อย่างเช่น .. เวลาที่ผมมาถึงนี่ไง ร้านค้าทยอยปิดกันไปเพียบ เท่าที่ดูเหมือนว่า ด้านในตลาดหลักจะมีชั้นบนด้วย เห็นว่าขายผัก แล้วก็ยังมีตึกที่ขายเฉพาะผลไม้ กับอาหารแห้งด้วย ส่วนด้านหน้าสุดมีโซนตึกแถว ขายอาหารแห้งและปรุงสำเร็จ ราคาค่อนข้างถูก และอีกฝั่งเป็นห้องแถวไม่กี่ห้องก็มีร้านอาหารญี่ปุ่นอยู่ ที่ดังๆ ก็ซูชิ เอ็นโดะ และแน่นอนว่า ผมไม่ได้ทาน .. อันนี้เป็นความกากเฉพาะตัวมากๆ เห็นร้านมันปิดประตูอยู่ ก็เลยคิดว่าเขาคงไม่ขาย ..
โถ... พ่อคู๊ณณณณณ
ตัดภาพกลับมาที่สถานีรถไฟใต้ดินทามะงะวะ เพื่อนั่งรถสายสีชมพูไปลงที่สถานีโอซาก้า อุเอะฮงมะจิ แล้วเปลี่ยนไปนั่งสายสีม่วง ลงที่สถานีทานิมะจิ ยนโจเมะ มาสู่สถานที่สำคัญสัญลักษณ์ของเมือง นั่นคือ “ปราสาทโอซาก้า” !! เราใช้เวลาเดินไม่นานก็ถึงด้านหน้าซึ่งเป็นสวนสาธารณะ นอกกำแพงปราสาทถูกล้อมรอบไปด้วยคูน้ำ มีป้อมปราการอยู่ด้านในกำแพงด้วย พอเดินข้ามสะพานผ่านประตูปราสาทเข้าไป อารมณ์ของผมตอนนี้มีความรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในฉากหนังสงครามและเรากำลังจะบุกเข้าไปยังตัวปราสาทแล้ว ... เฮ้!!!
ว่าแล้วก็ย้อนอดีตกันสักหน่อยครับ กลับไปเมื่อ พ.ศ.๒๐๓๙ ตอนนั้นที่นี่ยังไม่มี ปราสาทโอซาก้า (Osaka jo) แต่มีหลวงพ่อเร็งเนียว (Rennyo) ภิกษุในพุทธศาสนาได้มาตั้งวัดเล็กๆ แถวนี้ๆ ในชื่อ อิชิยะมะ โกโบะ (Ishiyama Gobo ) ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นวัดอิชิยะมะ ฮนงัน (Ishiyama Honganji) เมื่อปี ๒๐๗๖ และได้กลายเป็นฉากหนึ่งในประวัติศาสตร์สงครามญี่ปุ่น ในปี ๒๑๑๓ เมื่อเหล่านักบวชอิคโคะ อิคคิ และชาวนาได้รวมตัวกัน โดยได้รับการสนับสนุนจากตระกูลโมริ เพื่อต่อต้านการเข้ามายึดครองดินแดนของ ไดเมียวผู้ยิ่งใหญ่ โนบุนะงะ โอดะ (Oda Nobunaga) ผู้แรกเริ่มแห่งการรวมแดนอาทิตย์อุทัยเป็นหนึ่ง กองทัพของโนบุนะงะ ได้ทำการล้อมบริเวณนี้ไว้ และมีการทำสงครามกันประปราย ถึง ๑๐ ปี จนกระทั่งหลวงพ่อโฆสะ เจ้าอาวาสได้ยอมจำนนขอสงบศึก
ต่อมาภายหลังโนบุนะงะ ได้เสียชีวิตลง ๑ ปีใน พ.ศ.๒๑๒๖ ไดเมียว “ฮิเดะโยะชิ โทโยะโทะมิ” (Toyotomi Hideyoshi) ครองอำนาจแทน และได้สร้างปราสาทโอซาก้าขึ้นในปีเดียวกันนี้ โดยตัวปราสาทสร้างสถาปัตยกรรมคล้าย กับปราสาทอะซุจิ ของโนบุนะงะ ซึ่งเสร็จในอีก ๒ ปีต่อมา หลังจากนั้นก็ได้มีการสร้างต่อเติมให้พื้นที่รอบนอกแข็งแกร่งและสามารถป้องกันภัยจากศัตรูได้มากขึ้น โดยสร้างเสร็จสมบูรณ์ใน พ.ศ.๒๑๔๑ แต่ทว่าไดเมียวฮิเดะโยะชิ กลับเสียชีวิต ฮิเดะโยะริ โมยะโทมิ บุตรชายจึงได้มาอยู่ที่ปราสาทนี้แทน
บริเวณปราสาทนี่อลังการมาก อย่างเขื่อนกำแพงฐานปราสาทนี่ทำจากหินแกรนิตมีความสูง ๒๐ เมตร ใช้หินทั้งหมดน่าจะเยอะถึง ๑ ล้านก้อนเลย ส่วนป้อมปราการที่เห็นในตอนแรกชื่อว่า โรกุบัง (Rokuban yagura) ซุ้มประตูทางเข้าด่านแรกสุดชื่อ โอเตะมง (Otemon) ส่วนซุ้มด้านในคือ ซากุระมง (Sakuramon) เมื่อผ่านตรงนี้มาก็จะพบกับปราสาทโอซาก้านั่นเอง ...
ตัวปราสาทดูสูงเด่นมากๆ มีหลังคาสีเขียว หน้าจั่วและกำแพงสีขาว ถ้าเราเดินอยู่ด้านนอกบริเวณนี้ ไม่เสียตังค์ครับ แต่ถ้าเราเข้าไปภายในซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์และจุดชมวิวเรามีค่าใช้จ่ายทันที ๖๐๐ เยน ... แต่เดี๋ยวก่อน!! ในเมื่อเรามีบัตรเบ่งอเมซซิ่งโอซาก้าอยู่ทั้งใบ ก็ต้องใช้มันเข้าฟรีสิครับ ฮี่ๆๆๆ พอเราเข้ามาเขาก็จะพาเราขึ้นลิฟท์!! มีลิฟท์ด้วย!! ขึ้นไปยังชั้น ๕ ชั้นนี้จัดแสดงเรื่องราวสงครามการยึดครองปราสาทโอซาก้าของกองทัพโชกุนอิเอะยะสุ โทกุงะวะ แห่งเอโดะ กับตระกูลโทโยะโทะมิ พูดแล้วต้องขยายความสักนิดครับ ภายหลังจากที่ไดเมียวฮิเดะโยะชิ เสียชีวิต บุตรชายจึงครองเมืองแทน และขุนนางในรัฐบาลก็เกิดการแบ่งแยกกันเป็น ๒ พวก ก็คือไดเมียวฝั่งตะวันตก ผู้สวามิภักดิ์ต่อตระกูลโทโยะโทมิ กับอีกฝ่ายไดเมียวฝั่งตะวันออก ที่นำโดยอิเอะยะสุ จนเกิดสงครามที่ชื่อว่า ยุทธการเซกิงะฮะระ (Sekigahara) ใน พ.ศ.๒๑๔๓ และแน่นอน อิเอะยะสุ เป็นฝ่ายชนะ นั่นทำให้เขาได้กลายเป็นผู้ครองอำนาจในแผ่นดินญี่ปุ่น และดำรงตำแหน่งโชกุนคนแรกในตระกูลโทกุงะวะ เมื่อ พ.ศ. ๒๑๔๖
หลังจากนั้นเขาก็สละตำแหน่งให้แก่บุตรชายชื่อ ฮิเดะทะดะ ขึ้นเป็นโชกุน แล้วเปลี่ยนเป็น โอโงโช หรือโชกุนผู้สละตำแหน่งแทน แต่ในปี ๒๑๕๗ อิเอะยะสุ และโชกุนฮิเดะทะดะ ก็ได้นำทัพใหญ่นับแสนมาล้อมปราสาทโอซาก้า ภายหลังมีข่าวว่าทางไดเมียวฮิเดะโยะริ ซ่องสุมกำลังเพื่อจะชิงอำนาจ ก่อนจะทำการเผด็จศึกได้สำเร็จในวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๑๕๘ ผลในครั้งนี้เป็นเหตุให้บุตรชายของฮิเดะโยชิ และมารดา ต้องกระทำการเซปปุกุ คว้านท้องตนเองเสียชีวิต และที่นี่เองในปีนี้ก็มีการจัดนิทรรศการ ๔๐๐ ปีแห่งการศึกอันนำมาสู่การล่มสลายของตระกูลโทโยะโทมิ ด้วย
จากชั้น ๕ เดินขึ้นผ่านชั้น ๖ สู่ชั้น ๗ บนนี้มีเรื่องราวของวัด และชีวะประวัติของไดเมียวฮิเดะโยชิ และการก่อสร้างปราสาท ส่วนชั้นบนสุดเป็นจุดชมวิว ความสูงจากพื้นประมาณ ๕๐ เมตร ด้านในมีของที่ระลึกขายเพียบเลย แต่ลมวันนี้แรงจริงๆ ผมไปเดินวนรอบๆ นี่หนาวเลย ผมสังเกตุตรงช่อฟ้าหลังคาจะมีรูปปั้นปลามังกรทองคำประดับอยู่ด้วย
ตัวปราสาทนี้ จริงๆ ถูกสร้างขึ้นใหม่หลายครั้ง อย่างภายหลังสงครามนี่ก็ได้มีการสร้างเป็นครั้งที่ ๒ โดยรัฐบาลเอโดะ ใน พ.ศ. ๒๑๖๓ จนเสร็จในอีก ๙ ปีต่อมา แต่ทว่า ใน พ.ศ.๒๒๐๘ ก็กลับถูกฟ้าผ่าจนเกิดไฟไหม้พังเสียหาย ก่อนจะถูกปล่อยทิ้งร้างมาหลายร้อยปี จนกระทั่งในพ.ศ.๒๓๘๖ ก็ได้มีการซ่อมแซมด้วยเงินบริจาคจากชาวบ้าน แต่ไม่นานนักตัวปราสาทก็ถูกทำลายลงด้วยน้ำมือของกองทัพผู้ต่อต้านรัฐบาลและเชิดชูสมเด็จพระจักรพรรดิ์เมจิ ในสงครามโบชิง ซึ่งโชกุนโยชิโนะบุ โทกุงะวะ โชกุนคนสุดท้ายได้บัญชาการรบอยู่ที่นี่ ก่อนที่จะกลับไปสู่เมืองเอโดะ ใน พ.ศ.๒๔๑๑ ในเวลาต่อมาพื้นที่ปราสาทได้กลายเป็นคลังแสงผลิตยุทโธปกรณ์ของกองทัพญี่ปุ่น และตัวปราสาทก็ได้ถูกก่อสร้างขึ้นใหม่เป็นครั้งที่ ๓ เมื่อปี ๒๔๗๔ แต่สุดท้ายที่นี่ก็ถูกฝรั่งระเบิดทำลายจนเสียหายหลายจุด เมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ ๒ ในปี ๒๔๘๘
และที่เรายืนอยู่เพิ่งได้รับการบูรณะครั้งล่าสุดเสร็จใน พ.ศ.๒๕๔๐ นี่เอง
ชมวิวจนพอใจแล้วจึงลงมาด้านล่าง ขอบอกว่าของดีไม่ได้อยู่แค่ชั้นบนสุดครับ!! ... พอเดินลงบันไดมาเรื่อยๆ จนถึงชั้นที่ ๔ และ ๓ ตรงนี้มีป้ายแปะไว้ ห้ามถ่ายรูป เอ๊ะ ทำไมถึงห้ามกันนะ ... แน่นอนครับมันมีสิ่งสำคัญอยู่ ในชั้นนี้จะมีศาตราวุธ ยุทโธปกรณ์ในยุคนั้น รวมทั้งเครื่องแต่งกาย วัตถุโบราณต่างๆ นำมาจัดแสดง และที่สำคัญ ผมถือว่าโชคดีมาก ที่เห็นชุดเกราะโบราณของพวกไดเมียว และนักรบมาโชว์ด้วย โห แบบ บรรยายไม่ถูกเลยครับ ชุดส่วนใหญ่เป็นรูปสัตว์ เช่น กวาง หมี ดูน่าเกรงขามมาก เหมือนที่เราเคยเห็นเขาใส่ในทีวี หรือการ์ตูน แต่นี่คือของจริง ใช้งานจริง (เค้าว่านะ) เห็นว่า ในโซนนี้จะเปลี่ยนการแสดงไปทุก ๒ เดือน นอกจากนี้ยังมีปราสาทจำลองในยุคโทโยะโทมิ และยุคโทกุงะวะ และห้องน้ำชาจำลองมาจากปราสาทฟุชิมิของไดเมียวฮิเดะโยชิ ด้วย
ชั้นล่างก็จะมีจุดให้นักท่องเที่ยวได้สวมชุดเกราะซามูไรจำลองให้ได้ลองถ่ายรูปเล่น เสีย ๓๐๐ เยน แน่นอนว่าผมคงปฏิเสธ ... พอออกมาจากตัวปราสาท ก็เห็นบรรดาผู้คนต่างหลั่งไหลกันมาไม่ขาดสาย มีกลุ่มนักเรียนมัธยมปลายอีกหลายๆ กลุ่มใหญ่ มารอเข้าชมภายใน คิดๆ ไปก็คงจะคล้ายๆ กับที่โรงเรียนเกณฑ์เด็กไปดูพิพิธภัณฑ์ในบ้านเรา ด้านนอกนี้มีของขาย ทั้งรถขายอาหารกลางแจ้ง แจ้งจริงๆ ตากแดด ไม่มีร่มกาง กับซุ้มการแสดงนินจา ส่วนตึกเก่าๆ ทรงยุโรป นี่สมัยก่อนเคยเป็นที่ตั้งของกองทัพภาคที่ ๔ สร้างในยุคสมเด็จพระจักรพรรดิโชวะ ต่อมาหลังสงครามโลกได้กลายเป็นสำนักงานตำรวจนครโอซาก้า และกลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์เมืองโอซาก้า เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๓ ก่อนจะเลิกให้บริการในปี ๔๔ นี่เอง
พอหันหลังให้ตัวปราสาท เดินตรงมาสู่ทางออก เราก็จะเห็นสิ่งที่เราอาจไม่ได้สังเกตเลยเมื่อตอนเข้าไปว่า ตรงนี้มีเสาโทริอิ บ่งบอกว่า เป็นเขตศาลเจ้าด้วยนะ และภายในนั้นก็มีรูปปั้นของคนคนหนึ่งอยู่ด้วย เขาเป็นใครกัน .. ต้องเดินเข้าไปดูครับ .. เป็นชายชรายืนสง่ามือซ้ายจับประคองดาบมือขวาถือพัดใบไม้ เขาก็คือเจ้าของปราสาทผู้ล่วงลับ ไดเมียวฮิเดะโยชิ นั่นเอง ศาลเจ้านี้มีชื่อว่า “โฮโคะคุ” (Hokoku jinja) เพื่อให้ได้สักการะแก่บุคคลสำคัญแห่งโอซาก้าคนนี้
ในยุคอาซุจิ โมโมะยะมะ (Azuchi-Momoyama) เขาคือผู้ที่สามารถสานปณิธานของไดเมียวโนบุนะงะ ในการรวมชาติได้สำเร็จนั่นเอง และถ้าย้อนกลับไปดูประวัติของเขาก็ถือว่า ไม่ธรรมดา เขาเกิดมาจากตระกูลนักรบชาวนา หนีออกจากบ้านไปเสี่ยงโชคเป็นข้ารับใช้ซามูไร ยุกิสึนะ มัตสึชิตะ ก่อนกลับบ้านมารับใช้ตระกูลโอะดะ ทำหน้าที่ดูแลรองเท้า ต่อมาได้สร้างวีรกรรมอันเลื่องลือ ด้วยการปีนเขาหาทางลัดให้กองทัพเข้าโจมตีปราสาทกิฟุ และติดตามทัพเข้ายึดกรุงเกียวโต ทำสงครามรับใช้จนได้เลื่อนขั้นเป็นแม่ทัพ และไดเมียวแคว้นโอมิ
ต่อมาใน พ.ศ.๒๑๑๙ ได้ยกทัพไปโจมตีภูมิภาคตะวันตก จนพิชิตหลายแคว้นผ่านไปถึง ๖ ปี ก็ต้องนำทัพกลับสู่เมืองหลังทราบข่าวว่า โนบุนะงะ ถูกคนสนิทลอบสังหารในเกียวโต และได้ทำการล้างแค้นได้สำเร็จในที่สุด แต่ทว่านี่คือจุดเริ่มต้นแห่งการยึดครองอำนาจของเขา ด้วยการแต่งตั้งหลานชายของโนบุนะงะ วัย ๒ ขวบ เป็นผู้สืบทอดตระกูล นั่นก็ทำให้เกิดความขัดแย้งแบ่งเป็น ๒ ฝ่าย จนเขาต้องทำสงครามปราบปรามผู้ต่อต้าน อย่าง คัตสึอิเอะ ชิบะตะ แม่ทัพคู่ใจของโนบุนะงะ ในยุทธการชิซุงะตะเกะ ก่อนเอาชนะได้ และก็ต้องรบกับไดเมียวอิเอะยะสุ ด้วยเช่นกัน แต่ในครั้งนี้กลับไม่รู้แพ้รู้ชนะจนต้องสงบศึก จากนั้นจึงเริ่มทำการรวมประเทศในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ หรือ คัมปะกุ เข้าโจมตีจนยึดครองทั้งญี่ปุ่นได้เป็นผลสำเร็จ นอกจากนี้ยังขยายอิทธิพลด้วยการเข้ารุกรานเกาหลี และปราบปรามชาวคริสเตียน บนเกาะคิวชู
แต่ทว่าไม่มีใครอยู่ได้ค้ำฟ้า ฮิเดะโยะชิ ล้มป่วยลงจึงแต่งตั้งไดเมียวผู้ทรงอำนาจ ๕ คนมาเป็นคณะผู้สำเร็จราชการแทนบุตรชายของตน ซึ่งขณะนั้นอยู่ในวัย ๕ ขวบ ก่อนจะสิ้นชีวิตในปราสาทฟุชิมิ ทางตอนใต้กรุงเกียวโต และก็เกิดเหตุอย่างที่เล่าไปเมื่อตอนต้นเกี่ยวกับปราสาทโอซาก้านั้นแล ...
กงล้อประวัติศาสตร์สุดท้ายมันก็วนเวียนแบบเดิมให้เห็นอยู่บ่อยๆ อาจเกิดขึ้นในยุคของเขา ลูก หลาน เหลน โหลน เจเนอเรชั่นถัดๆ ไปก็ได้ เพียงแต่ผู้มีอำนาจนั้นจะทำความเข้าใจกับมันและพยายามไม่ให้ผิดซ้ำซาก หรือหลงไหลมัวเมาในอำนาจจนลืมไปว่าสิ่งใด สิ่งนั้น จะก่อให้เกิดปัญหาอันใดในอนาคตหรือไม่ ..
จริงๆ แล้วภายในอาณาเขตของปราสาทที่กว้างใหญ่นี้ยังมีสวนสาธารณะที่น่าสนใจชื่อว่า นิชิโนะมะรุ ในช่วงหน้าซากุระบานที่นี่จะเต็มไปด้วยผู้คนที่มาเยี่ยมชมดอกไม้โดยมีปราสาทเป็นฉากหลัง เอาไว้หากมีโอกาสก็อยากจะมาดูชาวนิฮงชมซากุระที่นี่เหมือนกันแหะ
บ่นมากไปแล้ว ... เดินทางต่อดีกว่า นี่เพิ่งแค่ยังไม่ถึงครึ่งวันเลยนะ ฮ่าๆๆ
อ่านต่อฉบับหน้า...
ข้อมูลบางส่วน : http://tabelog.com/en/osaka/A2701/A270101/27012248/ , https://www.osaka-info.jp/osp/en/pdf/guide.pdf , http://www.honjo-osaka.or.jp/shohisha-ayumi-80th/ http://www.osakacastle.net/english/history/index.html