ความเดิมตอนที่แล้ว อ่าน
Alone in Tokyo ๑.๐: สู่ดินแดนอาทิตย์อุทัย
Alone in Tokyo ๑.๑: ฟูจิซังไกลลิบๆ ที่ภูเขาทะคะโอะ
Alone in Tokyo ๑.๒ : สึคึจิ ตลาดปลา ใครเขาก็มากัน
Alone in Tokyo ๑.๓ : ยังกับหลุดไปในยุคเอโดะ!!
Alone in Tokyo ๑.๔ : ในความงามนั้นมีความเศร้า
Alone in Tokyo (จบภาค ๑): กรุงเทพน่าจะมีป่าแบบนี้บ้างเนอะ!!
Alone in Kyoto ๑.๐ : ฝ่าดงไผ่ นั่งรถไฟ ชมใบไม้เปลี่ยนสี
๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ : สถานีรถไฟฟ้า เคย์ฟุคุ คิตะโนะ ฮาคุบะอิโจ กรุงเกียวโต
อันที่จริงแล้ว ผมไม่ได้ตั้งใจจะนั่งรถไฟมาจนสุดทางที่นี่ในแผนแรกที่เคยวางเอาไว้เมื่อก่อนออกเดินทาง ตอนทำแผนก็คิดว่าไว้ว่าจะไปลงที่สถานีโอมุโระ นินนะจิ แล้วตระเวนไล่เที่ยววัดนินนะ วัดเรียวอัน แล้วก็ไปจบที่วัดคินคะคุ แต่พอลองคำนวนเวลาดีๆ มันไม่สามารถจริงๆ ครับ ผมอาจต้องใช้เวลาในการเที่ยวแต่ละวัดที่มีขนาดใหญ่มากไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมงต่อสถานที่ จึงต้องคิดใหม่และมาเดินทางในแผนที่กำลังพาไปอยู่ในขณะนี้ ...
รถไฟฟ้าเคย์ฟุคุ นี่มี ๒ สายครับ จากอาระชิยะมะ ถ้านั่งไปจนสุดทางโดยไม่ต่อรถคือสถานีชิโจะ โอมิยะ ตรงนี้จะสามารถไปเที่ยวปราสาทนิโจะได้ใกล้ที่สุด แต่ถ้าจะไปวัดคินคะคุ ต้องนั่งมาเปลี่ยนขบวนไปรถไฟฟ้าสายคิตะโนะ ที่สถานี คาตะบิระโนะสึจิ แล้วก็นั่งไปจนสุดสาย รถไฟฟ้าเส้นนี้นี่หวานเย็นมากครับ ฉึกฉักๆ เลาะไปตามถนน หรือหลังบ้านเรือนชาวบ้าน อารมณ์รถไฟวงเวียนใหญ่นั่งไปมหาชัย อะไรประมาณนี้ สภาพภายนอกและภายในก็ดูคลาสสิคราวกับนั่งรถย้อนยุคดีจัง
*สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำหรับนักเรียน
พอถึงสถานีปลายทางที่ดูเหมือนเป็นโรงเก็บรถใหญ่ๆ จากนี่เราต้องเดินไปอีกประมาณ ๒ กิโลเมตร ก็จะถึงวัดคินคะคุ แต่ ไหนๆ ก็มาแถวนี้ ขอเที่ยวชมความงามของเมืองฆ่าเวลา ดีกว่านั่งรถเมล์ไปลงเสียทีเดียว จากจุดเริ่มต้นผมเดินต่อมาอีก ๕๐๐ เมตรก็จะถึงสถานที่แรกที่เราจะมาเยี่ยมชม .. นั่นคือ “ศาลเจ้าคิตาโนะ” (Kitano Tenman-gu) ศาลเจ้าในศาสนาพุทธชินโต ตามประวัติบอกว่าแต่เดิมสร้างตั้งแต่ในยุคเฮอัน ราว พ.ศ.๑๔๙๐ เพื่อสักการะแด่ยอดนักปราชญ์ มิจิซะเนะ ซุงะวะระ (Sugawara no Michizane) เพราะเชื่อกันว่า เป็นผู้ที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหวและพายุครั้งใหญ่ ภายหลังเขาลี้ภัยไปสิ้นชีวิตที่เกาะคิวชู เพราะถูกใส่ร้าย ก็เลยคิดว่าแกสาปเอาไว้มั้ง
ที่นี่มีเทศกาลชงชาด้วยสาวๆ ไมโกะ ในเดือนกุมภาพันธ์ด้วยนะ ภายในศาลเจ้าผมเดินเข้ามาไม่ค่อยพบต่างชาติเท่าไหร่แหะ มีการตั้งร้านเอาอาหารมาวางขายกันด้วย ศาลผมสังเกตุเห็นรูปปั้นวัวอยู่ด้านหน้าซุ้มทางเข้าด่านแรก แล้วก็มีเด็กนักเรียนไปทำอะไรสักอย่างกับมัน ผมก็เลยเดินเข้าไปถาม ได้ความประมาณว่า ให้มาขอพรด้วยการลูบหัววัว
พอเดินเข้ามาสักพักก็จะเห็นซุ้มประตูสวยๆ อีกแห่ง ผ่านทะลุตรงนี้ไปก็จะเจอศาลเจ้า ผู้คนกำลังต่อแถวรอสั่นกระดิ่งขอพรกันยาวเหยียด ว่ากันว่า ตัวอาคารบางส่วนนี่สร้างโดย ๑ ในผู้ยิ่งใหญ่แห่งญี่ปุ่น ฮิเดะโยะชิ โทโยะโทะมิ ไดเมียวแห่งปราสาทโอซาก้า เมื่อ พ.ศ.๒๑๕๐ แน่นอนว่าผมไม่มีทางพลาดหรอกครับ ยืนต่อแถวใช้เวลาประมาณ ๑๐ นาที ก็ได้ขอพรกับเขาแล้ว ศาลนี้จะมีเด็กๆ นักเรียนมากันเยอะ เพราะเขาเชื่อว่า หากมาขอพรที่นี่แล้วจะสามารถทำให้สอบผ่านสำเร็จลุล่วงทางการศึกษา จริงๆ ทางด้านข้างของศาลเจ้ามีสวนหย่อมให้เดินเที่ยวด้วย รวมทั้งห้องพิธีชงชาให้ได้เรียนรู้ แต่เห็นว่า ทั้ง ๒ อย่างนี่ต้องเสียค่าเข้านะ
ทางด้านหลังก็ยังมีศาลเจ้าเล็กน้อยอีกหลายแห่ง ผมเห็นผู้เฒ่าต่างควงคู่กันมาสักการะ ก็ไม่รู้ว่าเป็นศาลอะไร แต่ใบไม้สีเหลืองที่ร่วงหล่นลงมาบนหลังคาจนกลบสีเดิมนี่มันเป็นความสวยงามที่หาดูไม่ได้ในฤดูกาลอื่นจริงๆ แต่เวลาที่งวดเข้ามาเรื่อยๆ ทำให้ผมไม่สามารถยืนชมความงามได้ละเอียดนัก เราต้องไปต่อสู่ทางออกด้านหลัง คือตอนแรกผมดูในกูเกิ้ลแมพก็คิดว่ามันออกไม่ได้ครับ จนลองส่องดูแบบสตรีทวิวจึงได้เห็นว่า มันมีทางออกอยู่จริงๆ ซึ่งตรงนี้ผมได้เห็นคุณลุงคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่กับพื้น วาดรูปซุ้มประตูทางออกด้วยสีน้ำ (?) บนสมุดวาดเขียนของตัวเองอย่างใจจดใจจ่อ ภาพที่เห็นนี่ไม่ธรรมดาเลยครับ ลายเส้นสวยเสมือนจริงเลย
พูดถึงเรื่องเวลา จริงๆ ผมมาถึงที่หน้าศาลเจ้าตั้งนานแล้วครับ และก็วางแผนไว้ว่า จะไปกินน้ำแข็งใสร้านดังตามเว็บอาหารของญี่ปุ่นเขา ชื่อร้าน คิตะโนะ โคะโนะฮะนะ ในเว็บบอกว่า ร้านดังเรื่องน้ำแข็งใสรสต่างๆ แต่เท่าที่เห็น รูปที่โฆษณาหน้าร้านมีแต่ผลิตภัณฑ์จากเต้าหู้ เพราะแถวนี้เขาดังมาก ตรงข้ามศาลเจ้านี่ก็มีร้านขายเต้าหู้ชื่อดังอยู่ แต่ผมกับเต้าหู้นี่ไม่ค่อยถูกลิ้นกันสักเท่าไหร่ เลยต้องขอบาย
พอถึงร้านเราก็เงอะๆ ง้านๆ เห็นลูกค้าหลายคนนั่งรออยู่ด้านนอก ก็เลยถามว่า จะเข้าไปกินต้องทำอย่างไร เขาก็บอกให้ลงชื่อไว้ ... เวรล่ะครับ ลำพังภาษาญี่ปุ่นก็อ่านไม่ออก นี่ยังต้องมาเขียนด้วย งง กันเข้าไปใหญ่ ผู้ใหญ่ใจดีที่นั่งรออยู่กับสามีก็เห็นใจช่วยเขียนให้ คือพอบอกชื่อแกปั๊บแกไม่ลังเลแล้วลงมือเขียนเลย สงสัยจะเขียนง่ายมั้ง "ดะรง" คงใกล้กับสำเนียงบ้านเขา แต่แปลว่าอะไรนี่ ใครรู้บอกผมที ฮ่าๆๆ สักพักผมก็ถามว่า ร้านนี้อะไรอร่อย แกก็บอกจะมากินต้มซุปเต้าหู้ แถมบอกด้วยว่า ถ้ามาที่นี่ต้องกินให้ได้ ... เอิ่ม ไม่นะ ไม่ไหวจริงๆ ผมก็เอารูปน้ำแข็งใสที่ผมก๊อปมาโชว์ให้เขาดูว่า เนี่ยผมจะกินไอ้นี่ พอพนักงานเสิร์ฟเดินออกมาดูคิว เจ๊แกก็รีบเข้าไปคุยให้ คือซึ้งใจมากๆ T-T ก่อนที่เด็กเสิร์ฟจะเรียกชื่อเรา แล้วพูดญี่ปุ่นใส่ เจ๊แกก็ทรานสเลเตอร์ให้ ... แล้วบอกว่า ... เมนูนี้หมดแล้วค่ะ
ผมนี่อึ้งไปเลย ... น้ำแข็งใสหมด หรือน้ำแข็งหมด หรือน้ำราดหมด แต่ ไม่ว่าอะไรจะหมด เราก็อดกินสิครับ ... หมดเวลาไปกับการรอคอยประมาณ ครึ่งชั่วโมงได้...
*ศาลเจ้าสวนซากุระ
จากศาลเจ้าใหญ่ ผมเดินมาตามเส้นทางเพื่อมาอีกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ไม่ใกล้กันนัก นั่นคือ ”ศาลเจ้าฮิระโนะ” (Hirano Jinja) หน้าทางเข้าเราจะเห็นเสาโทริอิสีส้มขนาดใหญ่แสดงสัญลักษณ์ศาสนสถาน พร้อมเสาสีส้มติดโคมไฟนำทางเข้าไปสู่ภายในวิหาร ตามประวัติว่าถูกสร้างเมื่อ พ.ศ.๑๓๓๗ โดยสมเด็จพระจักรพรรดิ์คัมมุ ในช่วงที่ย้ายเมืองหลวงกลับไปยังเมืองเฮย์อัน และยังเป็นศาลเจ้าที่สำคัญของราชวงศ์ด้วย
ผมก็เพิ่งทราบมาว่า ศาลเจ้านี้ดังเรื่องซากุระครับ ในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่นี่จะเต็มไปด้วยดอกซากุระที่บานสพรั่งเต็มสวน เขาว่าปลูกกันมาตั้งแต่ พ.ศ.๑๕๒๘ ตามพระบัญชาของสมเด็จพระจักรพรรดิ์คาซาน จนปัจจุบันนี่มีมากถึง ๕๐๐ ต้น และในทุกปีก็จะมีเทศกาลชมซากุระที่เก่าแก่ที่สุดของ จ.เกียวโต เลยด้วย แต่เวลานี้ ... ไม่มีครับ ไม่ใช่หน้าของเขาล่ะ
เท่าที่สำรวจ ตรงลานศาลเจ้าจะมีศาลาตั้งตรงกลาง บนขอบหลังคามีภาพวาดเหล่าโชกุนอยู่ ส่วนด้านหลังเป็นวิหารขนาดใหญ่ แล้วก็มีต้นไม้ใหญ่ ๑ ต้น ที่ดูไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านเขา คือถูกสร้างทางเดินล้อมเอาไว้ ลำตันมีเชือกล้อมแบบในการ์ตูนญี่ปุ่น ผมก็รอให้ใครสักคนลองเดินขึ้นไป และก็มีผู้โชคดีนำวิถีครับ เขาเดินวนไปทางด้านขวามือ อ้อมต้นไม้ แล้วลงมาไหว้ ไม่รู้ทำทำไม แต่ผมก็ทำตามนะ คิดไปเองว่า คงขอพรอะไรสักอย่างแน่ๆ ฮ่าๆๆ
เสียดาย ถ้ามาช่วงชมซากุระคงจะสวยมากแน่ๆ เลย
*วัดศาลาทอง แลนด์มาร์กแห่งกรุงเกียวโต
เราเดินทางกันต่อไปตามถนนนิชิโอะจิ ไปเรื่อยๆ จนถึงแยกแล้วก็เลี้ยวซ้ายเข้าถนนคุระมะ-งุจิ ตรงอย่างเดียวก็จะถึงทางเข้าวัด ระยะทางจากตรงนี้รวม ๑ กิโลเมตรกว่าๆ ได้ ทำไมต้องเดิน สารภาพตามตรงว่า ไม่อยากเปลืองตังค์ และกลัวนั่งรถผิด ฮ่าๆๆๆ เวลานี้ก็เริ่มเย็นแล้ว แต่ทำไมคนยังเยอะแยะอยู่เลยแหะ แน่นอนวัดนี้เป็นที่นิยมของคนทั่วโลก ๑ ในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของกรุงเกียวโต ไม่มาก็เหมือนมาไม่ถึง เขาว่าอย่างงั้น (เขาน่ะใครวะ) อย่างรุ่นผมอาจจะคุ้นๆ ตากับวัดนี้ในการ์ตูนเรื่องอิคคิวซัง ที่มีฉากศาลาสีทองเป็นที่อยู่ของโชกุนที่ชอบนิมนต์เณรน้อยมาไขปริศนาที่ปวดหมองอยู่บ่อยๆ
นั่นก็คือ “วัดคินคะคุ” (Kinkaku-ji) หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ “วัดโรคุอน” (Rokuon-ji) ถ้าคนไทยก็เรียกวัดทอง , วัดศาลาทอง ประมาณนี้
จากซุ้มประตูรั้วเข้ามาด้านในจะเห็นอาคารด้านขวามือดูโอ่โถง เป็นโซนกุฏิสงฆ์ เข้าไม่ได้ครับ ถ่ายรูปอย่างเดียว ถัดมาไม่ไกลนักก็จะพบกับที่จำหน่ายตั๋ว เสียค่าเข้า ๔๐๐ เยน ได้บัตรพร้อมสูจิบัตร ท่ามกลางฝูงชนมหาศาล และเสียงภาษาไทยที่คุ้นเคยจากบางคน ที่ยืนล้อมสระน้ำเพื่อถ่ายภาพศาลาสีทอง ต่างคนต่างหามุมถ่ายให้ได้ภาพที่งามสุดๆ แต่ทว่าเจ้าเป็ดน้อยกลับไม่เป็นใจว่ายไปมาสบายใจจนน้ำกระเพื่อม ไม่นิ่งพอที่จะประดิษฐ์ภาพเงาศาลาอยู่ในน้ำอย่างไม่สั่นไหว
วัดศาลาทองนี้ แต่เดิมเป็นอาณาเขตบ้านของคินสึเนะ ไซองจิ (Saionji Kintsune) รัฐบุรุษคนสำคัญของยุค ต่อมาโชกุนโยชิมิตสึ อาชิคะงะ (Ashikaga Yoshimitsu) ได้เข้ายึดครองจากตระกูลไซองจิ และนำมาสร้างเป็นคฤหาสน์ของตน ในชื่อคิตะยะมะ (Kitayama-den) เมื่อ พ.ศ.๑๙๔๐ พร้อมกับสร้างสวนและศาลาทอง คินคะคุ โดยบางส่วนถูกใช้เป็นเรือนรับรองแขกของโชกุน รวมไปถึงสมเด็จพระจักพรรดิ์โกโคมัตสึ (Gakomatsu) บิดาของพระอิคคิวชื่อดังด้วย ภายหลังโชกุนเสียชีวิต ตระกูลอาชิคะงะ ได้มอบพื้นที่นี้ได้กลายเป็นธรณีสงฆ์ แล้วเชิญหลวงพ่อโซเซะคิ มุโสะ (Muso Soseki) เป็นเจ้าอาวาส
ศาลาทอง ที่เห็นอยู่นี่ เป็นของสร้างใหม่ครับ ตามประวัติว่าบางส่วนถูกทำลายในช่วงเริ่มสงครามโอนิง ที่พวกคนในรัฐบาลเขาเผากรุงเกียวโตแย่งชิงอำนาจกันราวๆ พ.ศ.๒๐๑๐ ต่อมาก็ได้มีการบูรณะขึ้น แต่ก็เพิ่งมาถูกเผาอีกครั้งโดยน้ำมือของพระโยเค็น ฮายะชิ (Hayashi Yoken) ภิกษุวัย ๒๒ ที่มีอาการป่วยทางจิต เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๓ ซึ่งได้มีการสร้างใหม่จนเสร็จใน พ.ศ.๒๔๙๘ ตัวอาคารนี่มี ๓ ชั้น ชั้น ๒ กับ ชั้นบนสุดเขาใช้แผ่นทองคำเคลือบไว้หมดเลย โดยชั้นล่างประดิษฐานพระพุทธรูป และรูปปั้นโชกุนโยชิมิตสึ ชั้น ๒ มีพระโพธิสัตว์กวนอิมประดิษฐาน พร้อมเทพเจ้าทั้ง ๔ อยู่ ด้านชั้น ๓ เป็นห้องโล่งๆ มีแท่นบูชาอยู่กลางห้อง ส่วนยอดศาลามีรูปปั้นนกหงส์ไฟ หรือนกฟินิกส์ทองคำ
ทางบังคับเดินให้อ้อมเห็นด้านหลังของตัวศาลา ลัดเลาะขึ้นเขาไปเรื่อยๆ ให้ได้ชมอาคารในมุมสูง ก็สวยดีครับ เพราะมีใบไม้สีแดง ส้ม สลับเขียว ที่กำลังจะร่วงโรยแต่งเติมภาพให้มีสีสัน ตรงใกล้ทางออกก็จะมีวิหารฟุโดะ (Fudo-do) ภายในมีรูปภาพนรูปปั้นเทพเจ้า ฟุโดะ เมียว โอะ ให้ได้สักการะ แถวนี้มีขายของที่ระลึก ร้านค้า เยอะไม่น้อย ไปๆ มาๆ เดินพ้นจากวัดนี่ก็ฟ้าเริ่มจะมืดล่ะ ใช้เวลานานเหมือนกันนะที่นี่
เป็นอันเสร็จพิธีการท่องเที่ยวเกียวโตใน ๑ วัน ยังได้เพียงแค่ซีกเดียวเอง...
แต่ภารกิจของผมยังไม่จบครับ ผมเดินกลับไปยัง ถนนนิชิโอะจิ เพื่อนั่งรถเมล์สาย ๑๐๑ ไปลงที่ป้าย เกียวโต เอคิ มะเอะ ในราคาค่าโดยสาร ๒๓๐ เยน รถเมล์คันนี้ต้องขึ้นจากด้านหลัง แล้วพอจะลงค่อยไปจ่ายเงินด้านหน้าคนขับ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะซื้อบัตรพวกวันเดย์พาส จะคุ้มกว่า แต่เผอิญผมเป็นคนส่วนน้อย ใช้แค่เที่ยวเดียวก็พอแล้ว บนรถก็ลักษณะคล้ายๆ ปอ.๓๐ สีเหลืองที่วิ่งผ่านแถวๆ กองบก. ต่างที่มีแผนที่เส้นทางรถแผ่นใหญ่ๆ ให้ได้ดูตรงหลังเบาะคนขับ แล้วก็มีจอทีวีบอกป้ายหน้าให้เห็นทั้งภาษาอังกฤษและท้องถิ่น .. จากแถววัดมาสถานีรถไฟเกียวโตก็ไกลไม่มาก แต่รถติดบรรลัยเอาเรื่องอยู่ หลับๆ ตื่นๆ ไปหลายรอบเหมือนกัน
จนถึงสถานีรถไฟก็ฟ้ามืดพอดี เข้าไปตามหาล๊อคเกอร์ เอากระเป๋าเดินทางออกมา แล้วมุ่งหน้าสู่ที่พัก ที่ จ.โอซาก้า ไม่ไกลกันมากครับ โดยไปขึ้นรถไฟธรรมดา ชานชาลาที่ ๕ ลงสถานีรถไฟโอซาก้า ค่าโดยสาร ๕๖๐ เยน จากนั้นก็ต่อรถไฟใต้ดินอีก แต่ก่อนจะถึงพิธีนั้น ผมต้องไปหาซื้อบัตรท่องเที่ยวภายในโอซาก้าที่เรียกว่า โอซาก้า อเมซซิ่ง พาส แบบ ๒ วัน ในราคา ๓,๐๐๐ เยน ที่ศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยว จ.โอซาก้า (Osaka Visitors' Information Center) ภายในสถานีรถไฟ เสียก่อน เพราะที่ผมรู้คือ ตรงนี้เป็น ๑ ในไม่กี่ที่ที่มีตั๋ว ๒ วันขาย ตอนซื้อคนขายก็ย้ำแล้วย้ำอีกเกี่ยวกับข้อดีและเสียของบัตรนี้ เดี๋ยวไว้คราวหน้าจะเล่าให้ฟัง
เสร็จสรรพก็นั่งรถไฟใต้ดินจากสถานีอุเมะดะ (UMEDA) ไม่ไกลกันเท่าไหร่ ไปลงสถานี โดบุทสีเอ็น มาเอะ (DOBUTSUEN-MAE) เพื่อเข้าที่พักคือโรงแรมจูโอะ โอเอซิส โอซาก้า ย่านนี้น่าจะเป็นเขตเมืองเก่า ทางเข้าซอยที่พักนี่มีรูปสัตว์ติดไว้ด้วย เป็นเหมือนทางเดินโซนร้านค้ามีหลังคาคลุม ผมต้องเดินเลี้ยวขวาแยกในซอยหน้า โรงแรมนี้มีหลายชั้น ผมพักห้องเดี่ยว อยู่ชั้นบน เสียค่าใช้จ่ายจองผ่านเว็บก่อนไปประมาณ ๒ – ๓ เดือน ในราคา ๙๐๐ บาทกว่าๆ เป็นห้องปลอดบุหรี่ มีเตียง โต๊ะ ทีวี เครื่องฟอกอากาศ มีห้องน้ำในตัวพร้อมอุปกรณ์ไฮเทคชักโครกแบบรีโมต พร้อมครีมอาบน้ำและยาสระผมยี่ห้อดัง โอ้...สบายแน่ๆ
พอเคลียร์ทุกอย่างเรียบร้อยผมก็ออกไปเดินเล่นตามวิสัยที่ชอบสำรวจโน้นนี่นั่น ผมเดินไปถึงย่านสถานีเทนโนะจิ เขาว่ามีตึกสูงกว่า ๓๐๐ ชั้นอยู่แถวนี้ แต่ภารกิจของผมคือ สำรวจซูเปอร์มาร์เก็ตในห้างอาเบะโนะ คิว’ส์ มอลล์ ที่เป็นเหมือนซูเปอร์ของเซเว่นอิเลฟเว่นร่วมทุนกับบริษัทของที่นั่น เพราะมีสินค้าของเซเว่นขายเพียบเลย และที่นี่ผมก็ได้อาหารลดราคามาหลายอย่างเพื่อประทังชีวิต ตั้งแต่ทูน่าดิบ สเต็กเนื้อบด ข้าวหน้าเนื้อปู พร้อมกับซื้อมาม่าแปลกๆ มาเก็บไว้เอากลับไทย (มารู้ภายหลังว่า บางตัวบ้านเราก็มี แบกมาทำไมเนี่ย T-T)
มีเรื่องประหลาดอยู่อย่างหนึ่งครับ ตอนผมเดินกลับไปตามถนนใหญ่ ในเวลาสามทุ่ม รถแทบจะไม่มีวิ่งเลย แถมไฟก็ไม่สว่างมาก เดินๆ อยู่ก็เจอสตรีในชุดพนักงานออฟฟิศกำลังเดินสวนมา เธอมองหน้าผม แล้วก็รีบวิ่งๆๆๆ ไปประมาณ ๕๐ เมตร ผมก็ตกใจ เฮ้ย วิ่งหนีอะไรวะ ก็เลยมองตามไป สักพักเธอก็หยุดแล้วหันมามองผม สีหน้าตาตื่น แล้วก็เดินจากไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ... งงสิครับ .. (มาทราบภายหลังว่า แถวนี้เป็นอีกย่านหนึ่งที่มีมนุษย์กล่องกลุ่มคนไร้บ้านอยู่ เขาคงตกใจเพราะเห็นผมหิ้วของพะรุงพะรังก็เลยทึกทักไปว่า ไอ้บ้านี่มันต้องใช่แน่ๆ )
โถ.. อย่ากลัวกันเลยครับ ผมออกจะน่ารักใส่ซื่อ จริงๆ นะ (- -“)
อ่านต่อฉบับหน้า ...
ข้อมูลบางส่วน : http://kitanotenmangu.or.jp/english/ , http://www.hiranojinja.com/home/english-page , http://www.shokoku-ji.jp/k_about.html#,วิกิพีเดีย
Alone in Tokyo ๑.๐: สู่ดินแดนอาทิตย์อุทัย
Alone in Tokyo ๑.๑: ฟูจิซังไกลลิบๆ ที่ภูเขาทะคะโอะ
Alone in Tokyo ๑.๒ : สึคึจิ ตลาดปลา ใครเขาก็มากัน
Alone in Tokyo ๑.๓ : ยังกับหลุดไปในยุคเอโดะ!!
Alone in Tokyo ๑.๔ : ในความงามนั้นมีความเศร้า
Alone in Tokyo (จบภาค ๑): กรุงเทพน่าจะมีป่าแบบนี้บ้างเนอะ!!
Alone in Kyoto ๑.๐ : ฝ่าดงไผ่ นั่งรถไฟ ชมใบไม้เปลี่ยนสี
๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ : สถานีรถไฟฟ้า เคย์ฟุคุ คิตะโนะ ฮาคุบะอิโจ กรุงเกียวโต
อันที่จริงแล้ว ผมไม่ได้ตั้งใจจะนั่งรถไฟมาจนสุดทางที่นี่ในแผนแรกที่เคยวางเอาไว้เมื่อก่อนออกเดินทาง ตอนทำแผนก็คิดว่าไว้ว่าจะไปลงที่สถานีโอมุโระ นินนะจิ แล้วตระเวนไล่เที่ยววัดนินนะ วัดเรียวอัน แล้วก็ไปจบที่วัดคินคะคุ แต่พอลองคำนวนเวลาดีๆ มันไม่สามารถจริงๆ ครับ ผมอาจต้องใช้เวลาในการเที่ยวแต่ละวัดที่มีขนาดใหญ่มากไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมงต่อสถานที่ จึงต้องคิดใหม่และมาเดินทางในแผนที่กำลังพาไปอยู่ในขณะนี้ ...
รถไฟฟ้าเคย์ฟุคุ นี่มี ๒ สายครับ จากอาระชิยะมะ ถ้านั่งไปจนสุดทางโดยไม่ต่อรถคือสถานีชิโจะ โอมิยะ ตรงนี้จะสามารถไปเที่ยวปราสาทนิโจะได้ใกล้ที่สุด แต่ถ้าจะไปวัดคินคะคุ ต้องนั่งมาเปลี่ยนขบวนไปรถไฟฟ้าสายคิตะโนะ ที่สถานี คาตะบิระโนะสึจิ แล้วก็นั่งไปจนสุดสาย รถไฟฟ้าเส้นนี้นี่หวานเย็นมากครับ ฉึกฉักๆ เลาะไปตามถนน หรือหลังบ้านเรือนชาวบ้าน อารมณ์รถไฟวงเวียนใหญ่นั่งไปมหาชัย อะไรประมาณนี้ สภาพภายนอกและภายในก็ดูคลาสสิคราวกับนั่งรถย้อนยุคดีจัง
*สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำหรับนักเรียน
พอถึงสถานีปลายทางที่ดูเหมือนเป็นโรงเก็บรถใหญ่ๆ จากนี่เราต้องเดินไปอีกประมาณ ๒ กิโลเมตร ก็จะถึงวัดคินคะคุ แต่ ไหนๆ ก็มาแถวนี้ ขอเที่ยวชมความงามของเมืองฆ่าเวลา ดีกว่านั่งรถเมล์ไปลงเสียทีเดียว จากจุดเริ่มต้นผมเดินต่อมาอีก ๕๐๐ เมตรก็จะถึงสถานที่แรกที่เราจะมาเยี่ยมชม .. นั่นคือ “ศาลเจ้าคิตาโนะ” (Kitano Tenman-gu) ศาลเจ้าในศาสนาพุทธชินโต ตามประวัติบอกว่าแต่เดิมสร้างตั้งแต่ในยุคเฮอัน ราว พ.ศ.๑๔๙๐ เพื่อสักการะแด่ยอดนักปราชญ์ มิจิซะเนะ ซุงะวะระ (Sugawara no Michizane) เพราะเชื่อกันว่า เป็นผู้ที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหวและพายุครั้งใหญ่ ภายหลังเขาลี้ภัยไปสิ้นชีวิตที่เกาะคิวชู เพราะถูกใส่ร้าย ก็เลยคิดว่าแกสาปเอาไว้มั้ง
ที่นี่มีเทศกาลชงชาด้วยสาวๆ ไมโกะ ในเดือนกุมภาพันธ์ด้วยนะ ภายในศาลเจ้าผมเดินเข้ามาไม่ค่อยพบต่างชาติเท่าไหร่แหะ มีการตั้งร้านเอาอาหารมาวางขายกันด้วย ศาลผมสังเกตุเห็นรูปปั้นวัวอยู่ด้านหน้าซุ้มทางเข้าด่านแรก แล้วก็มีเด็กนักเรียนไปทำอะไรสักอย่างกับมัน ผมก็เลยเดินเข้าไปถาม ได้ความประมาณว่า ให้มาขอพรด้วยการลูบหัววัว
พอเดินเข้ามาสักพักก็จะเห็นซุ้มประตูสวยๆ อีกแห่ง ผ่านทะลุตรงนี้ไปก็จะเจอศาลเจ้า ผู้คนกำลังต่อแถวรอสั่นกระดิ่งขอพรกันยาวเหยียด ว่ากันว่า ตัวอาคารบางส่วนนี่สร้างโดย ๑ ในผู้ยิ่งใหญ่แห่งญี่ปุ่น ฮิเดะโยะชิ โทโยะโทะมิ ไดเมียวแห่งปราสาทโอซาก้า เมื่อ พ.ศ.๒๑๕๐ แน่นอนว่าผมไม่มีทางพลาดหรอกครับ ยืนต่อแถวใช้เวลาประมาณ ๑๐ นาที ก็ได้ขอพรกับเขาแล้ว ศาลนี้จะมีเด็กๆ นักเรียนมากันเยอะ เพราะเขาเชื่อว่า หากมาขอพรที่นี่แล้วจะสามารถทำให้สอบผ่านสำเร็จลุล่วงทางการศึกษา จริงๆ ทางด้านข้างของศาลเจ้ามีสวนหย่อมให้เดินเที่ยวด้วย รวมทั้งห้องพิธีชงชาให้ได้เรียนรู้ แต่เห็นว่า ทั้ง ๒ อย่างนี่ต้องเสียค่าเข้านะ
ทางด้านหลังก็ยังมีศาลเจ้าเล็กน้อยอีกหลายแห่ง ผมเห็นผู้เฒ่าต่างควงคู่กันมาสักการะ ก็ไม่รู้ว่าเป็นศาลอะไร แต่ใบไม้สีเหลืองที่ร่วงหล่นลงมาบนหลังคาจนกลบสีเดิมนี่มันเป็นความสวยงามที่หาดูไม่ได้ในฤดูกาลอื่นจริงๆ แต่เวลาที่งวดเข้ามาเรื่อยๆ ทำให้ผมไม่สามารถยืนชมความงามได้ละเอียดนัก เราต้องไปต่อสู่ทางออกด้านหลัง คือตอนแรกผมดูในกูเกิ้ลแมพก็คิดว่ามันออกไม่ได้ครับ จนลองส่องดูแบบสตรีทวิวจึงได้เห็นว่า มันมีทางออกอยู่จริงๆ ซึ่งตรงนี้ผมได้เห็นคุณลุงคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่กับพื้น วาดรูปซุ้มประตูทางออกด้วยสีน้ำ (?) บนสมุดวาดเขียนของตัวเองอย่างใจจดใจจ่อ ภาพที่เห็นนี่ไม่ธรรมดาเลยครับ ลายเส้นสวยเสมือนจริงเลย
พูดถึงเรื่องเวลา จริงๆ ผมมาถึงที่หน้าศาลเจ้าตั้งนานแล้วครับ และก็วางแผนไว้ว่า จะไปกินน้ำแข็งใสร้านดังตามเว็บอาหารของญี่ปุ่นเขา ชื่อร้าน คิตะโนะ โคะโนะฮะนะ ในเว็บบอกว่า ร้านดังเรื่องน้ำแข็งใสรสต่างๆ แต่เท่าที่เห็น รูปที่โฆษณาหน้าร้านมีแต่ผลิตภัณฑ์จากเต้าหู้ เพราะแถวนี้เขาดังมาก ตรงข้ามศาลเจ้านี่ก็มีร้านขายเต้าหู้ชื่อดังอยู่ แต่ผมกับเต้าหู้นี่ไม่ค่อยถูกลิ้นกันสักเท่าไหร่ เลยต้องขอบาย
พอถึงร้านเราก็เงอะๆ ง้านๆ เห็นลูกค้าหลายคนนั่งรออยู่ด้านนอก ก็เลยถามว่า จะเข้าไปกินต้องทำอย่างไร เขาก็บอกให้ลงชื่อไว้ ... เวรล่ะครับ ลำพังภาษาญี่ปุ่นก็อ่านไม่ออก นี่ยังต้องมาเขียนด้วย งง กันเข้าไปใหญ่ ผู้ใหญ่ใจดีที่นั่งรออยู่กับสามีก็เห็นใจช่วยเขียนให้ คือพอบอกชื่อแกปั๊บแกไม่ลังเลแล้วลงมือเขียนเลย สงสัยจะเขียนง่ายมั้ง "ดะรง" คงใกล้กับสำเนียงบ้านเขา แต่แปลว่าอะไรนี่ ใครรู้บอกผมที ฮ่าๆๆ สักพักผมก็ถามว่า ร้านนี้อะไรอร่อย แกก็บอกจะมากินต้มซุปเต้าหู้ แถมบอกด้วยว่า ถ้ามาที่นี่ต้องกินให้ได้ ... เอิ่ม ไม่นะ ไม่ไหวจริงๆ ผมก็เอารูปน้ำแข็งใสที่ผมก๊อปมาโชว์ให้เขาดูว่า เนี่ยผมจะกินไอ้นี่ พอพนักงานเสิร์ฟเดินออกมาดูคิว เจ๊แกก็รีบเข้าไปคุยให้ คือซึ้งใจมากๆ T-T ก่อนที่เด็กเสิร์ฟจะเรียกชื่อเรา แล้วพูดญี่ปุ่นใส่ เจ๊แกก็ทรานสเลเตอร์ให้ ... แล้วบอกว่า ... เมนูนี้หมดแล้วค่ะ
ผมนี่อึ้งไปเลย ... น้ำแข็งใสหมด หรือน้ำแข็งหมด หรือน้ำราดหมด แต่ ไม่ว่าอะไรจะหมด เราก็อดกินสิครับ ... หมดเวลาไปกับการรอคอยประมาณ ครึ่งชั่วโมงได้...
*ศาลเจ้าสวนซากุระ
จากศาลเจ้าใหญ่ ผมเดินมาตามเส้นทางเพื่อมาอีกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ไม่ใกล้กันนัก นั่นคือ ”ศาลเจ้าฮิระโนะ” (Hirano Jinja) หน้าทางเข้าเราจะเห็นเสาโทริอิสีส้มขนาดใหญ่แสดงสัญลักษณ์ศาสนสถาน พร้อมเสาสีส้มติดโคมไฟนำทางเข้าไปสู่ภายในวิหาร ตามประวัติว่าถูกสร้างเมื่อ พ.ศ.๑๓๓๗ โดยสมเด็จพระจักรพรรดิ์คัมมุ ในช่วงที่ย้ายเมืองหลวงกลับไปยังเมืองเฮย์อัน และยังเป็นศาลเจ้าที่สำคัญของราชวงศ์ด้วย
ผมก็เพิ่งทราบมาว่า ศาลเจ้านี้ดังเรื่องซากุระครับ ในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่นี่จะเต็มไปด้วยดอกซากุระที่บานสพรั่งเต็มสวน เขาว่าปลูกกันมาตั้งแต่ พ.ศ.๑๕๒๘ ตามพระบัญชาของสมเด็จพระจักรพรรดิ์คาซาน จนปัจจุบันนี่มีมากถึง ๕๐๐ ต้น และในทุกปีก็จะมีเทศกาลชมซากุระที่เก่าแก่ที่สุดของ จ.เกียวโต เลยด้วย แต่เวลานี้ ... ไม่มีครับ ไม่ใช่หน้าของเขาล่ะ
เท่าที่สำรวจ ตรงลานศาลเจ้าจะมีศาลาตั้งตรงกลาง บนขอบหลังคามีภาพวาดเหล่าโชกุนอยู่ ส่วนด้านหลังเป็นวิหารขนาดใหญ่ แล้วก็มีต้นไม้ใหญ่ ๑ ต้น ที่ดูไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านเขา คือถูกสร้างทางเดินล้อมเอาไว้ ลำตันมีเชือกล้อมแบบในการ์ตูนญี่ปุ่น ผมก็รอให้ใครสักคนลองเดินขึ้นไป และก็มีผู้โชคดีนำวิถีครับ เขาเดินวนไปทางด้านขวามือ อ้อมต้นไม้ แล้วลงมาไหว้ ไม่รู้ทำทำไม แต่ผมก็ทำตามนะ คิดไปเองว่า คงขอพรอะไรสักอย่างแน่ๆ ฮ่าๆๆ
เสียดาย ถ้ามาช่วงชมซากุระคงจะสวยมากแน่ๆ เลย
*วัดศาลาทอง แลนด์มาร์กแห่งกรุงเกียวโต
เราเดินทางกันต่อไปตามถนนนิชิโอะจิ ไปเรื่อยๆ จนถึงแยกแล้วก็เลี้ยวซ้ายเข้าถนนคุระมะ-งุจิ ตรงอย่างเดียวก็จะถึงทางเข้าวัด ระยะทางจากตรงนี้รวม ๑ กิโลเมตรกว่าๆ ได้ ทำไมต้องเดิน สารภาพตามตรงว่า ไม่อยากเปลืองตังค์ และกลัวนั่งรถผิด ฮ่าๆๆๆ เวลานี้ก็เริ่มเย็นแล้ว แต่ทำไมคนยังเยอะแยะอยู่เลยแหะ แน่นอนวัดนี้เป็นที่นิยมของคนทั่วโลก ๑ ในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของกรุงเกียวโต ไม่มาก็เหมือนมาไม่ถึง เขาว่าอย่างงั้น (เขาน่ะใครวะ) อย่างรุ่นผมอาจจะคุ้นๆ ตากับวัดนี้ในการ์ตูนเรื่องอิคคิวซัง ที่มีฉากศาลาสีทองเป็นที่อยู่ของโชกุนที่ชอบนิมนต์เณรน้อยมาไขปริศนาที่ปวดหมองอยู่บ่อยๆ
นั่นก็คือ “วัดคินคะคุ” (Kinkaku-ji) หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ “วัดโรคุอน” (Rokuon-ji) ถ้าคนไทยก็เรียกวัดทอง , วัดศาลาทอง ประมาณนี้
จากซุ้มประตูรั้วเข้ามาด้านในจะเห็นอาคารด้านขวามือดูโอ่โถง เป็นโซนกุฏิสงฆ์ เข้าไม่ได้ครับ ถ่ายรูปอย่างเดียว ถัดมาไม่ไกลนักก็จะพบกับที่จำหน่ายตั๋ว เสียค่าเข้า ๔๐๐ เยน ได้บัตรพร้อมสูจิบัตร ท่ามกลางฝูงชนมหาศาล และเสียงภาษาไทยที่คุ้นเคยจากบางคน ที่ยืนล้อมสระน้ำเพื่อถ่ายภาพศาลาสีทอง ต่างคนต่างหามุมถ่ายให้ได้ภาพที่งามสุดๆ แต่ทว่าเจ้าเป็ดน้อยกลับไม่เป็นใจว่ายไปมาสบายใจจนน้ำกระเพื่อม ไม่นิ่งพอที่จะประดิษฐ์ภาพเงาศาลาอยู่ในน้ำอย่างไม่สั่นไหว
วัดศาลาทองนี้ แต่เดิมเป็นอาณาเขตบ้านของคินสึเนะ ไซองจิ (Saionji Kintsune) รัฐบุรุษคนสำคัญของยุค ต่อมาโชกุนโยชิมิตสึ อาชิคะงะ (Ashikaga Yoshimitsu) ได้เข้ายึดครองจากตระกูลไซองจิ และนำมาสร้างเป็นคฤหาสน์ของตน ในชื่อคิตะยะมะ (Kitayama-den) เมื่อ พ.ศ.๑๙๔๐ พร้อมกับสร้างสวนและศาลาทอง คินคะคุ โดยบางส่วนถูกใช้เป็นเรือนรับรองแขกของโชกุน รวมไปถึงสมเด็จพระจักพรรดิ์โกโคมัตสึ (Gakomatsu) บิดาของพระอิคคิวชื่อดังด้วย ภายหลังโชกุนเสียชีวิต ตระกูลอาชิคะงะ ได้มอบพื้นที่นี้ได้กลายเป็นธรณีสงฆ์ แล้วเชิญหลวงพ่อโซเซะคิ มุโสะ (Muso Soseki) เป็นเจ้าอาวาส
ศาลาทอง ที่เห็นอยู่นี่ เป็นของสร้างใหม่ครับ ตามประวัติว่าบางส่วนถูกทำลายในช่วงเริ่มสงครามโอนิง ที่พวกคนในรัฐบาลเขาเผากรุงเกียวโตแย่งชิงอำนาจกันราวๆ พ.ศ.๒๐๑๐ ต่อมาก็ได้มีการบูรณะขึ้น แต่ก็เพิ่งมาถูกเผาอีกครั้งโดยน้ำมือของพระโยเค็น ฮายะชิ (Hayashi Yoken) ภิกษุวัย ๒๒ ที่มีอาการป่วยทางจิต เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๓ ซึ่งได้มีการสร้างใหม่จนเสร็จใน พ.ศ.๒๔๙๘ ตัวอาคารนี่มี ๓ ชั้น ชั้น ๒ กับ ชั้นบนสุดเขาใช้แผ่นทองคำเคลือบไว้หมดเลย โดยชั้นล่างประดิษฐานพระพุทธรูป และรูปปั้นโชกุนโยชิมิตสึ ชั้น ๒ มีพระโพธิสัตว์กวนอิมประดิษฐาน พร้อมเทพเจ้าทั้ง ๔ อยู่ ด้านชั้น ๓ เป็นห้องโล่งๆ มีแท่นบูชาอยู่กลางห้อง ส่วนยอดศาลามีรูปปั้นนกหงส์ไฟ หรือนกฟินิกส์ทองคำ
ทางบังคับเดินให้อ้อมเห็นด้านหลังของตัวศาลา ลัดเลาะขึ้นเขาไปเรื่อยๆ ให้ได้ชมอาคารในมุมสูง ก็สวยดีครับ เพราะมีใบไม้สีแดง ส้ม สลับเขียว ที่กำลังจะร่วงโรยแต่งเติมภาพให้มีสีสัน ตรงใกล้ทางออกก็จะมีวิหารฟุโดะ (Fudo-do) ภายในมีรูปภาพนรูปปั้นเทพเจ้า ฟุโดะ เมียว โอะ ให้ได้สักการะ แถวนี้มีขายของที่ระลึก ร้านค้า เยอะไม่น้อย ไปๆ มาๆ เดินพ้นจากวัดนี่ก็ฟ้าเริ่มจะมืดล่ะ ใช้เวลานานเหมือนกันนะที่นี่
เป็นอันเสร็จพิธีการท่องเที่ยวเกียวโตใน ๑ วัน ยังได้เพียงแค่ซีกเดียวเอง...
แต่ภารกิจของผมยังไม่จบครับ ผมเดินกลับไปยัง ถนนนิชิโอะจิ เพื่อนั่งรถเมล์สาย ๑๐๑ ไปลงที่ป้าย เกียวโต เอคิ มะเอะ ในราคาค่าโดยสาร ๒๓๐ เยน รถเมล์คันนี้ต้องขึ้นจากด้านหลัง แล้วพอจะลงค่อยไปจ่ายเงินด้านหน้าคนขับ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะซื้อบัตรพวกวันเดย์พาส จะคุ้มกว่า แต่เผอิญผมเป็นคนส่วนน้อย ใช้แค่เที่ยวเดียวก็พอแล้ว บนรถก็ลักษณะคล้ายๆ ปอ.๓๐ สีเหลืองที่วิ่งผ่านแถวๆ กองบก. ต่างที่มีแผนที่เส้นทางรถแผ่นใหญ่ๆ ให้ได้ดูตรงหลังเบาะคนขับ แล้วก็มีจอทีวีบอกป้ายหน้าให้เห็นทั้งภาษาอังกฤษและท้องถิ่น .. จากแถววัดมาสถานีรถไฟเกียวโตก็ไกลไม่มาก แต่รถติดบรรลัยเอาเรื่องอยู่ หลับๆ ตื่นๆ ไปหลายรอบเหมือนกัน
จนถึงสถานีรถไฟก็ฟ้ามืดพอดี เข้าไปตามหาล๊อคเกอร์ เอากระเป๋าเดินทางออกมา แล้วมุ่งหน้าสู่ที่พัก ที่ จ.โอซาก้า ไม่ไกลกันมากครับ โดยไปขึ้นรถไฟธรรมดา ชานชาลาที่ ๕ ลงสถานีรถไฟโอซาก้า ค่าโดยสาร ๕๖๐ เยน จากนั้นก็ต่อรถไฟใต้ดินอีก แต่ก่อนจะถึงพิธีนั้น ผมต้องไปหาซื้อบัตรท่องเที่ยวภายในโอซาก้าที่เรียกว่า โอซาก้า อเมซซิ่ง พาส แบบ ๒ วัน ในราคา ๓,๐๐๐ เยน ที่ศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยว จ.โอซาก้า (Osaka Visitors' Information Center) ภายในสถานีรถไฟ เสียก่อน เพราะที่ผมรู้คือ ตรงนี้เป็น ๑ ในไม่กี่ที่ที่มีตั๋ว ๒ วันขาย ตอนซื้อคนขายก็ย้ำแล้วย้ำอีกเกี่ยวกับข้อดีและเสียของบัตรนี้ เดี๋ยวไว้คราวหน้าจะเล่าให้ฟัง
เสร็จสรรพก็นั่งรถไฟใต้ดินจากสถานีอุเมะดะ (UMEDA) ไม่ไกลกันเท่าไหร่ ไปลงสถานี โดบุทสีเอ็น มาเอะ (DOBUTSUEN-MAE) เพื่อเข้าที่พักคือโรงแรมจูโอะ โอเอซิส โอซาก้า ย่านนี้น่าจะเป็นเขตเมืองเก่า ทางเข้าซอยที่พักนี่มีรูปสัตว์ติดไว้ด้วย เป็นเหมือนทางเดินโซนร้านค้ามีหลังคาคลุม ผมต้องเดินเลี้ยวขวาแยกในซอยหน้า โรงแรมนี้มีหลายชั้น ผมพักห้องเดี่ยว อยู่ชั้นบน เสียค่าใช้จ่ายจองผ่านเว็บก่อนไปประมาณ ๒ – ๓ เดือน ในราคา ๙๐๐ บาทกว่าๆ เป็นห้องปลอดบุหรี่ มีเตียง โต๊ะ ทีวี เครื่องฟอกอากาศ มีห้องน้ำในตัวพร้อมอุปกรณ์ไฮเทคชักโครกแบบรีโมต พร้อมครีมอาบน้ำและยาสระผมยี่ห้อดัง โอ้...สบายแน่ๆ
พอเคลียร์ทุกอย่างเรียบร้อยผมก็ออกไปเดินเล่นตามวิสัยที่ชอบสำรวจโน้นนี่นั่น ผมเดินไปถึงย่านสถานีเทนโนะจิ เขาว่ามีตึกสูงกว่า ๓๐๐ ชั้นอยู่แถวนี้ แต่ภารกิจของผมคือ สำรวจซูเปอร์มาร์เก็ตในห้างอาเบะโนะ คิว’ส์ มอลล์ ที่เป็นเหมือนซูเปอร์ของเซเว่นอิเลฟเว่นร่วมทุนกับบริษัทของที่นั่น เพราะมีสินค้าของเซเว่นขายเพียบเลย และที่นี่ผมก็ได้อาหารลดราคามาหลายอย่างเพื่อประทังชีวิต ตั้งแต่ทูน่าดิบ สเต็กเนื้อบด ข้าวหน้าเนื้อปู พร้อมกับซื้อมาม่าแปลกๆ มาเก็บไว้เอากลับไทย (มารู้ภายหลังว่า บางตัวบ้านเราก็มี แบกมาทำไมเนี่ย T-T)
มีเรื่องประหลาดอยู่อย่างหนึ่งครับ ตอนผมเดินกลับไปตามถนนใหญ่ ในเวลาสามทุ่ม รถแทบจะไม่มีวิ่งเลย แถมไฟก็ไม่สว่างมาก เดินๆ อยู่ก็เจอสตรีในชุดพนักงานออฟฟิศกำลังเดินสวนมา เธอมองหน้าผม แล้วก็รีบวิ่งๆๆๆ ไปประมาณ ๕๐ เมตร ผมก็ตกใจ เฮ้ย วิ่งหนีอะไรวะ ก็เลยมองตามไป สักพักเธอก็หยุดแล้วหันมามองผม สีหน้าตาตื่น แล้วก็เดินจากไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ... งงสิครับ .. (มาทราบภายหลังว่า แถวนี้เป็นอีกย่านหนึ่งที่มีมนุษย์กล่องกลุ่มคนไร้บ้านอยู่ เขาคงตกใจเพราะเห็นผมหิ้วของพะรุงพะรังก็เลยทึกทักไปว่า ไอ้บ้านี่มันต้องใช่แน่ๆ )
โถ.. อย่ากลัวกันเลยครับ ผมออกจะน่ารักใส่ซื่อ จริงๆ นะ (- -“)
อ่านต่อฉบับหน้า ...
ข้อมูลบางส่วน : http://kitanotenmangu.or.jp/english/ , http://www.hiranojinja.com/home/english-page , http://www.shokoku-ji.jp/k_about.html#,วิกิพีเดีย