xs
xsm
sm
md
lg

Alone in Tokyo (จบภาค ๑): กรุงเทพน่าจะมีป่าแบบนี้บ้างเนอะ!!

เผยแพร่:   โดย: ดรงค์ ฤทธิปัญญา

**บทความนี้ ไม่ใช่การรีวิว ,ไกด์บุ๊ก หรือ กูรู เป็นเพียงการเล่าประสบการณ์ในสิ่งที่เห็นและสัมผัส หากท่านผู้อ่านมีข้อมูลเสริมสามารถร่วมกันแชร์ได้ผ่านช่องทางแสดงความคิดเห็นด้านล่าง และขอให้สนุกกับการเดินทางไปด้วยกัน **

ความเดิมตอนที่แล้ว อ่าน
Alone in Tokyo ๑.๐: สู่ดินแดนอาทิตย์อุทัย
Alone in Tokyo ๑.๑: ฟูจิซังไกลลิบๆ ที่ภูเขาทะคะโอะ
Alone in Tokyo ๑.๒ : สึคึจิ ตลาดปลา ใครเขาก็มากัน
Alone in Tokyo ๑.๓ : ยังกับหลุดไปในยุคเอโดะ!!
Alone in Tokyo ๑.๔ : ในความงามนั้นมีความเศร้า

๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ : โตเกียวทาวเวอร์ เขตมินะโตะ กรุงโตเกียว

วันนี้.. วันสุดท้ายของการท่องเที่ยวในเมืองหลวง แม้โปรแกรมจะไม่มากนัก แต่ก็หวังว่าคงจะได้เก็บเกี่ยวความสุขจากที่นี่ได้เพิ่ม .. ไม่มากก็ไม่น้อย..

จากวัดโซโจ เราเดินเลียบวัดตามถนนมาเรื่อยๆ ก็จะถึงอีก ๑ แลนด์มาร์ค นั่นคือ “โตเกียวทาวเวอร์” (Tokyo Tower) หอคอยที่เคยสูงที่สุดในเมืองนี้ เท่าที่จำได้ การ์ตูนสมัยก่อนบางเรื่องนี่ถ้าตอนพิเศษจะต้องมีฉากของหอคอยแห่งนี้ในเรื่อง หรือไม่ก็ใช้หอคอยนี้เป็นสถานที่ดำเนินเรื่องอยู่บ่อยๆ

อันที่จริงแล้ว โตเกียวทาวเวอร์ เริ่มเปิดให้เข้าชมมาตั้งแต่ปี ๒๕๐๑ มีความสูงถึงยอดที่ ๓๓๓ เมตร แต่ว่าให้ขึ้นชมวิวสูงสุดแค่ชั้นที่ ๒๕๐ เมตร สร้างโดยบริษัท นิปปง เดนปะโตะ (Nippon Denpato) ได้นำแรงบันดาลใจจากหอไอเฟลของฝรั่งเศสมาใช้ในการก่อสร้างตัวหออย่างที่เห็น ซึ่งอันที่จริงหอคอยนี้มีไว้ส่งสัญญาณวิทยุโทรทัศน์ แต่ในปัจจุบันหลายช่องได้ย้ายไปใช้โตเกียวสกายทรีหอคอยสร้างใหม่ที่สูงกว่า

เมื่อย่างก้าวเข้าสู่หน้าทางเข้าก็จะมีพนักงานคอยบอกให้เราไปซื้อตั๋ว ซึ่งก็มี ๒ ราคา คือ ๙๐๐ เยน สำหรับผู้ที่ขึ้นไปแค่ชั้นที่ ๑๕๐ เมตร ส่วนถ้าจะขึ้นไปถึงชั้น ๒๕๐ เมตร จะต้องเสียค่าเข้าอีก ๗๐๐ เยน รวมๆ ก็คือ ๑,๖๐๐ เยน แพงเอาเรื่องเหมือนกัน แต่ไหนๆ ก็มาแล้ว จัดซะหน่อยดีกว่า พอได้ตั๋วก็เข้าไปภายใน พนักงานคอยกำกับให้เราไปเข้าแถวเพื่อขึ้นลิฟท์ไปยังจุดชมวิวแห่งแรกชั้นที่ ๑๕๐ เมตร ซึ่งมี ๒ ชั้น เขาพามาที่ชั้น ๒ ก่อน เป็นกระจกใสๆ ให้มองพื้นที่โดยรอบกรุงโตเกียว ชั้นนี้มีของดีอย่างหนึ่งก็คือ จอมอนิเตอร์ประจำแต่ละทิศ ภายในจอนั้นก็มีภาพถ่ายวิดีโอแบบพาโนรามาข้ามวันข้ามคืนของแต่ละทิศ ถ่ายตั้งแต่รุ่งเช้ายันตะวันลับฟ้าและบรรยากาศยามค่ำคืนจนถึงรุ่งเช้าอีกวัน เราสามารถแตะจอเพื่อสต๊อปดูวิวระหว่างมันกำลังเล่นได้ด้วย

ยัง มันยังไม่จบแค่นี้!!

ในภาพยังระบุชื่อและจุดต่างๆ สถานที่สำคัญๆ ในทิศนั้น นอกจากนี้เราสามารถปรับโหมดเป็นแบบแผนที่สภาพภูมิศาสตร์เหมือนกูเกิ้ลแม๊ป และยังปรับโหมดเป็นแผนที่ในยุคสมัยเอโดะ ได้อีกด้วย!!! ... บ้านเราน่าทำบ้างเนอะ... บนชั้นนี้ยังมีร้านขายของที่ระลึก จุดเช่ากล้องส่องทางไกล และศาลเจ้าพระชินโตด้วยนะ

ผมมองท้องฟ้าจากจุดที่ยืนอยู่แล้วพลางคิดขึ้นว่า หรือนี่กูจะพลาดเสียตังค์โดยใช่เหตุวะ เพราะสภาพมันครึ้มคาดว่าฝนคงจะตกในอีกไม่กี่นาทีแน่ๆ ... ไหนว่าพยากรณ์อากาศญี่ปุ่นเป๊ะไง ตอนแรกบอกว่าจะมีแค่เมฆ แล้วไฉนจึงนำพาพระพิรุณมาด้วย ว่าแต่เราจะมัวช้าอยู่ไย ไหนๆ ก็จ่ายเพิ่ม ๒๑๐ บาท เป็นค่าตั๋วแล้วก็ควรรีบไปให้ถึงชั้นบนสุดเสีย .. จากชั้นนี้เราต้องขึ้นลิฟท์ไปครับ ภายในก็จะมีพนักงานยืนกดลิฟท์ให้ ซึ่งภายในก็มีกระจกใสล้อมให้ดูวิว แต่.. ถ้าโชคไม่ดีแบบผมก็จะได้เห็นแต่สายไฟ ฮ่าๆๆๆ พลันที่มันขึ้นไปเสียงบรรยายก็ดังออกมา เป็นภาษาญี่ปุ่น สลับกับภาษาอังกฤษ ไม่นานนักก็มาถึงชั้นบนสุดในความสูงที่ ๒๕๐ เมตร

พอลิฟท์เปิด คำๆ นึงมันดังก้องในหัวทันที... กูว่าแล้ว!!! .. บนชั้นนี้มีพื้นที่เล็กกว่าชั้นล่าง มองเห็นวิวผ่านกระจกใส ๓๖๐ องศา ได้ไกลกว่า แต่ทว่า นอกจากวิวแล้วมันก็ไม่มีอะไรให้ได้สนุกเลย แถมสภาพที่เห็นนี่ โตเกียวสกายทรีที่ว่าสูงโคตรๆ ยังมองไม่เห็นเลยครับ T-T หลายคนขึ้นมาก็เดินวนๆ ไปรอบๆ แล้วก็ลงลิฟท์กลับ ผมยืนชมทิวทัศน์กลางเมฆฝนที่เคลื่อนใกล้เรื่อยๆ พลางสังเกตุคนไปเรื่อยๆ เฮ้ย บนนี้ก็มีห้องน้ำ.. ได้การล่ะ ขอสำรวจสักนิดดีกว่า .. ภายในล้อมด้วยกระจกมืดๆ ประดับไฟสีฟ้าระยิบระยับ ราวกับอยู่บนท้องฟ้า (ก็แหงล่ะ สูงขนาดนี้) ห้องพื้นที่ค่อนข้างแคบมีอ่างล้างหน้า และโถส้วมอัตโนมัติแบบที่นิยมใช้กันมากที่นี่ ... ว่าแล้วก็ ... สร้างแลนด์มาร์ค!!!!


อ๊าห์... โล่งสบายแล้วก็ได้เวลากลับลงไปชั้นที่ ๑๕๐ เมตร ผมลงไปยังชั้นที่ ๑ ของจุดชมวิว บนนี้มีไนท์คลับ และร้านอาหาร ให้ได้นั่งพักผ่อน แต่ที่ผมรู้สึกว่าเป็นไฮไลท์ ก็คือ ช่องชมวิวด้านล่าง ที่ปูด้วยกระจกใส ให้เราได้ยืนถ่ายรูปเล่น จู่ๆ ก็มีนักท่องเที่ยวคนหนึ่งวานให้ผมถ่ายรูปหน่อย ผมก็จัดไป ถามไปถามมา อ้าวคนชาติเดียวกันวุ้ย เป็นนักศึกษามาสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่นี่ ก็ให้น้องเขาถ่ายให้เราบ้าง ก่อนจะแยกย้าย

นี่ถ้ามากลางคืนคงจะชิลล์ไม่น้อยเลย แต่ดูเวลาก็สมควรที่จะต้องลงลิฟท์ไปสู่พื้นโลกแล้วล่ะ แต่.. ปรากฏว่า เจ้าหน้าที่เขาไม่ได้พาเราไปยังชั้นล่างสุดครับ เขามาจอดที่ชั้น ๓ ซึ่งมีภาพพร้อมประวัติและแบบจำลองส่วนย่อของโตเกียวทาวเวอร์ในยุคแรกๆ ให้ได้ชม นอกจากนี้ก็ยังมีร้านขายของที่ระลึกด้วย พอลงมาชั้น ๒ ก็มีร้านค้าและโรงอาหารให้ได้พักทานข้าวกัน .. ผมรู้สึกว่า การจัดโซนแบบนี้นี่มันดีมากๆ ทำให้คนที่มาเที่ยวได้ทัวร์ทั้งหมดของพื้นที่อย่างคุ้มค่าด้วย แต่ถ้ามาอีกก็คงรู้ทริคแล้วล่ะว่า ควรไปจุดไหน

เดินลงมาจนถึงชั้น ๑ และออกไปสู่ด้านนอก ฝนกระหน่ำซัดอย่างรุนแรง ผมเชื่อพยากรณ์อากาศเลยไม่ได้เอาร่มมา ทำไงดีล่ะ .. ยืนคิดถึงแผนสถานที่ที่จะไปสักพักสุดท้ายก็จำยอมต้องกลับขึ้นไปนั่งทานอาหารในฟู้ดคอร์ดฆ่าเวลา ก่อนตัดสินใจซื้อร่ม แล้วลุยสายฝนสู่จุดหมายแห่งใหม่

เราจะไปดูถนนต้นแปะก๊วยกันครับ ..

ผมนั่งรถไฟใต้ดินมาลงที่สถานีเอะโอะยะมะ อิทโจเมะ (Aoyama Itchome Station) แล้วเดินมาตามถนนเอะโอะยะมะ เรื่อยๆ ก็จะเห็นสามแยกที่มีต้นแปะก๊วยผลิใบเป็นสีเหลืองเด่นมาแต่ไกล ตรงนี้เขาเรียกว่า ซอยต้นแปะก๊วย เป็นส่วนหนึ่งของ “สวนเมจิ จิงงุ ไงเอ็น” (Meiji Jingu Gaien) ตามข้อมูลว่ามีถึง ๑๔๖ ต้นเลยล่ะ ถ้ามองจากต้นซอยจะเห็นอาคารโบราณศิลปะแบบฝรั่งอยู่ท้ายซอย นั่นคือห้องจัดแสดงภาพวาดแห่งความทรงจำในยุคเมจิ (Meiji Memorial Picture Gallery) เพื่อรำลึกแด่สมเด็จพระจักรพรรดิ์เมจิ และสมเด็จพระจักรพรรดินี เสียค่าเข้า ๕๐๐ เยน อันนี้ผมไม่ได้เข้าไปนะ

เท่าที่สังเกตุแม้ขณะนี้ฝนจะตกลงมาปรอยๆ แต่ก็ไม่ทำให้ฝูงชนน้อยลงเลย ยังคงมีนักท่องเที่ยวเข้ามาไม่ขาดสาย ต่างเก็บภาพสวยๆ ของใบแปะก๊วยที่ยังอยู่บนต้นและใบที่ตกลงมาจนเหลืองอร่ามทั้งทางเท้า ไปฝากเพื่อนบนสังคมออนไลน์กันคึกคัก ก็แหงล่ะครับ วันนี้วันเสาร์ ผมล่ะอิจฉาพวกมาเป็นคู่จริงๆ ราวกับเป็นพระ-นางในละครซีรี่ย์รักโรแมนติคมากๆ เดินไปจนจะสุดทางก็เห็นมีคนมาตั้งร้านขายของในสนามหญ้ากว้างๆ ด้วย ว่าแล้วก็ขอเดินไปดูสักหน่อย

จริงๆ แล้วในช่วงนี้เขาก็มีงานเทศกาลที่ชื่อว่า จิงงุ ไงเอ็น กิงโกะ (Jingu Gaien Gingko Festival) ด้วย เขาว่าจัดกันมาตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๔๐ ในปีนี้จัดขึ้นเมื่อวันที่ ๑๕ พ.ย. - ๘ ธ.ค. ส่วนต้นแปะก๊วยนี่ไม่รู้จริงๆ ว่าเขาเอามาปลูกตั้งแต่เมื่อไหร่ ภายในก็มีร้านอาหารท้องถิ่นมากมายจริงๆ ทั้งเนื้อสัตว์ปิ้งย่าง ราเม็ง โอเด็ง เกาลัค ข้าวหน้าต่างๆ โอ้ยยย เห็นแล้วหิว แต่.. ไม่รู้จะกินอะไรดี นอกจากนี้ก็ยังมีร้านขายอาหารแห้ง ของที่ระลึก ถ้วย จาน ชามด้วย โดยกลางสนามมีเต้นท์ให้คนเอาอาหารไปนั่้งทาน นั่งพักกัน

เดินวนรอบๆ ก็พบสิ่งหนึ่งที่สะดุดตาผมมากเลยครับ!! ผมเห็นซุ้ม ๑ แปะป้ายสีเขียวแผ่นใหญ่ๆ ภาษาญี่ปุ่น มีรูปคนทิ้งขยะ และภายในซุ้มมีถังอยู่ ๖ ใบ ปักป้ายไว้ พร้อมคนคุมอยู่ ผมจึงเดินไปดูใกล้ๆ ที่นี่คือจุดทิ้งขยะครับ ซึ่งจะแยกประเภทขยะไว้อย่างชัดเจนโดยมีอาสาสมัครคอยกำกับให้ผู้เข้าชมทิ้งให้ถูกต้อง พอถังมันเต็มเขาก็จะเอาขยะทั้งหมดไปซุกอยู่ในเต้นท์!! ใช่แล้วครับ ภายหลังฉากสีขาวที่เจ้าหน้าที่คุมอยู่นั่นเอง โอ้... นี่คือวิธีจัดการที่ยอดเยี่ยมทั้งกำจัดพื้นที่ก่อมลภาวะ และยังไม่สร้างมลภาวะทางสายตาด้วย สุโค่ยยยยยยยยยยยยย

สุดท้ายแล้วผมก็ไม่ได้กินอะไรครับ ตั้งใจว่าจะไปหาเอาดาบหน้าในจุดหมายที่ ๔ ของวัน นั่นคือย่าน ฮาราจุกุ ยอดฮิตของวัยรุ่นญี่ปุ่น และคนไทยก็ชอบไปช๊อปกันที่นี่ ระหว่างที่เดินไปขึ้นรถไฟใต้ดิน ผมได้ยินเสียงคนตะโกนว่า "อย่าขี้โม้ๆ" เราก็สงสัย เฮ้ย คนไทยเหรอวะ แต่สำเนียงมันไม่คุ้นเลยแหะ ... เมื่อเดินไปเรื่อยๆ ก็เจอระกระบะต้นเสียง เขาขายมันเผาพลางตะโกนขายไปด้วยว่า "ยากิ อิโม" พอพูดเร็วๆ มันก็ไปพ้องเสียงกับคำไทยว่า "อย่าขี้โม้" ซะงั้น ..


รถไฟใต้ดินพาผมมาลงที่สถานีเมจิ จิงงุ เมะ (Meiji jingu mae) พอโผล่ขึ้นมาก็จะเจอห้างที่ดูทันสมัยเพียบเลย และภารกิจแรกสำหรับที่นี่ของผม ก็คือ ไปตามหาร้านแพนเค้กที่เขาว่าอร่อยนักหนาครับ ร้านนี้ชื่อว่า “เอ็กส์ เอ็น ติงค์ส” (Eggs'n Things) อยู่ในซอยหลังห้างเดอะเชล'ท์เตอร์ โตเกียว ง่ายๆ คือมองจากซอยเข้ามาเห็นคนยืนต่อแถวยาวๆ นั่นล่ะครับ ร้านนี้เป็นแฟรนไชส์นำเข้าจากฮาวาย ในญี่ปุ่นมีหลายสาขา และในเว็บไซต์ญี่ปุ่นเขาก็ว่าได้รับความนิยมสูงนัก เลยต้องลองสักหน่อย

ต่อแถวได้ไม่นานก็มีพนักงานเดินมาถามจำนวนคนพร้อมให้ดูเมนู ก่อนจะเชิญเข้าร้านเมื่อถึงเวลากำหนด เมนูที่เขาสั่งส่วนใหญ่ก็พวกข้าวห่อไข่ กับแพนเค้ก ผมก็เลือกแพนเค้กสตรอเบอรี่ วิปครีม และถั่วแมคคาเดเมีย ที่น่าจะขึ้นชื่อที่สุดและราคาก็เอาเรื่องเหมือนกันครับ ราว ๓๓๐ บาท แต่ไหนๆ ก็มาแล้วต้องสั่งสิ ระหว่างรอก็ดูเมนู ดูสาวๆ ไปเรื่อย นั่งดูแพนเค้กที่ผมสั่งมาเสิร์ฟบนโต๊ะของน้อง ๒ สาวเจ้าบ้านแล้วผมถึงกับอึ้ง!! เฮ้ย ขนาดนี้เลยเหรอวะ? น้อง ๒ คนพอเห็นอาหารก็ขำคิกคักกันใหญ่ ดูเหมือนไม่ได้รู้สึกเช่นเดียวกับผมที่กำลังคิดในใจว่า กูจะกินหมดมั้ยเนี่ย?

และสักพักมันก็มาอยู่บนโต๊ะผมครับ แพนเค้กขนาดใหญ่ ๕ ชิ้น วางเรียงกันบนจานยักษ์ พร้อมด้วยวิปครีมสูงน่าจะมากกว่าครึ่งไม้บรรทัดได้ โรยถั่ว และสตรอเบอรี่หลายลูก เห็นแล้วน้ำตาจะไหลเลยทีเดียว ไอ้เราก็ไม่ใช่สายของหวานด้วยสิ เริ่มกินทีละนิด ตัววิปครีมไม่หวานดีจัง กินกับแพนเค้กนุ่มๆ และสตรอเบอรี่พร้อมซอสให้รสเปรี้ยวหวาน ถือว่าอร่อยเลยล่ะ ก็ทำเอากินไปได้หลายชิ้น .. แต่ทว่าไม่นานก็เริ่มเอียน เลยหยิบซอสบนโต๊ะมาทดลองทานคู่ มี ๓ ชนิด เป็นน้ำผึ้ง ๑ ครีมคล้ายๆนมข้น ๑ และแยมสตรอเบอรี่ ๑ แต่...มันก็ไม่ได้ช่วยให้ผมกินได้ดีขึ้นมานัก ... สุดท้ายก็ ไม่หมด เหลือแพนเค้ก ๑ ชิ้นไว้ดูต่างหน้า หน้าผมนี่แบบ โคตรอายเลย เมื่อมองไปดูน้องโต๊ะข้างๆ ซัดซะเรียบ .. น้องเขาหันมายิ้มแล้วก็ใช้ภาษามือคุยกัน ประมาณว่า ถ้ากินไม่หมดต้องยกมือขอโทษอาหารนะ ... ก็ต้องยอมเขาไป

ไว้จะกลับมาแก้มือใหม่!!

จากร้านเดินมาสู่ถนนใหญ่แล้วมุ่งหน้าตรงไปอย่างเดียวสู่อีกสถานที่สำคัญของเมืองนี้ นั่นคือ “ศาลเจ้าเมจิ” (Meiji Jingu) ที่มีความสำคัญทางจิตใจของชาวญี่ปุ่น แต่ว่าผมต้องรีบเดินหน่อยล่ะครับ เพราะศาลเจ้าเขาปิดราวๆ ๕ โมงเย็น และนี่ก็เกือบจะสี่โมงแล้ว อากาศก็ครึ้มเสียเหลือเกิน ...

สิ่งที่เห็นด้านหน้าศาลเจ้านี้มีแต่ต้นไม้ๆๆๆ เต็มไปหมด เราต้องเดินผ่านเสาโทริอิเข้าไปด้านใน เมื่อเดินมาเรื่อยๆ ก็ให้บรรยากาศราวกับหลุดมาอยู่ในเส้นทางเดินธรรมชาติในป่าใหญ่ แต่ นี่มันใจกลางมหานครเลยนะ!! ตามข้อมูลว่าที่นี่มีต้นไม้รวมกว่า ๑๒๐,๐๐๐ ต้น ราว ๓๖๕ สายพันธุ์ไม้ ครอบคลุมพื้นที่ ๗๐๐,๐๐๐ ตารางเมตร ที่ได้รับบริจาคมาจากประชาชนทั่วประเทศให้ปลูกเป็นป่าย่อมๆ ในเมือง ผมเดินไปเจอแต่ไอหมอกพร้อมละอองฝนอยู่ด้านหน้า อุณหภูมิน่าจะต่ำกว่าภายนอก มันทำให้ผมรู้สึกหนาวกว่าเดิม แต่กลับสดชื่นจนไม่รู้สึกว่าอยากจะออกจากที่นี่ไปเลยแหะ พลางคิดเล่นๆ เหมือนกับหลุดไปในฉากหนังญี่ปุ่นแบบโบราณเลยล่ะ

จะว่าไป กรุงเทพฯ บ้านเราก็น่าจะมีป่าแบบนี้บ้างเนอะ!!

ระหว่างทางนอกจากต้นไม้แล้วก็ที่เด่นๆ ก็มีถังสาเกวาดลวดลายต่างๆ วางเรียงรายเป็นชั้นดูสะดุดตาให้คนได้แวะไปถ่ายรูปกัน ก่อนที่จะเข้าถึงวิหารชั้นใน ซึ่งศาลเจ้านี้สร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ.๒๔๖๓ เพื่ออุทิศถวายแด่ดวงพระวิญญาณสมเด็จพระจักรพรรดิ์เมจิ และสมเด็จพระจักรพรรดินีโชเก็ง ที่เคารพรักของพสกนิกรหลังจากพระองค์สิ้นพระชนม์ในปี ๒๔๕๕ และอีก ๒ ปีต่อมาสมเด็จพระจักรพรรดินีก็ทรงสิ้นพระชนม์

แต่ทว่าศาลเจ้าแห่งนี้ ก็ไม่พ้นภัยสงครามอยู่ดี วิหารใหญ่ถูกระเบิดของอเมริกันถล่มทำลายล้างมลายสิ้น จนกระทั่งในปี ๒๕๐๑ รัฐบาลได้ปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่อีกครั้งด้วยเงินบริจาคจากประชาชนจนเป็นอาคารอย่างที่เห็นในปัจจุบัน ซึ่งก็ดูเรียบง่าย ตามแบบฉบับของชนชาตินี้ แต่ยิ่งสัมผัสถึงความลึกซึ้งจนบอกไม่ถูก แม้จะเป็นช่วงเย็นแล้วแต่นักท่องเที่ยวก็ยังคงมากมาย ผมสังเกตุเห็นขบวนพิธีอะไรบางอย่าง มีผู้ชายแต่งแบบชุดโบราณคล้ายนักบวชเดินนำหน้า พร้อมกับหญิงสาวในชุดเจ้าหน้าที่ศาลเจ้าตามหลัง ถัดไปก็เป็นคู่ชายหญิงแต่งชุดแบบในหนังโกโบริที่เราเคยดู ช่วงที่อังศุมารินแต่งงาน .. ใช่แล้วครับ เขากำลังทำพิธีมงคลสมรสนั่นเอง

ที่นี่น่าจะได้รับความนิยมเลยทีเดียวสำหรับบ่าวสาว เพราะระหว่างเดินๆ อยู่ก็เห็นมีพิธีการหลายๆ คู่อยู่นะ และแน่นอนว่า ญาติของทั้งคู่ก็จะมาร่วมพิธีกัน เท่าที่เห็นผู้ชายจะใส่ชุดสูทสากล ส่วนผู้หญิงจะแต่งกิโมโน นั่นก็ทำให้ผู้เยี่ยมชมศาลพากันควักกล้องเก็บภาพโดยเฉพาะเด็กน้อยที่แต่งแล้วดูน่ารักน่าชังยิ่งนัก ส่วนด้านข้างของวิหารหลักก็มีจุดให้เขียนคำขอพรรอบต้นไม้ และร้านให้เช่าเครื่องรางวางให้ได้เลือกบูชา ซึ่งก็เริ่มปิดทำการตามเวลาที่กำหนด แน่นอน เมื่อเป็นอย่างนี้ก็ต้องออกจากพื้นที่แล้วสินะ


ป่าในนี้ทำให้ทุกสิ่งดูช้าลง รวมทั้งการเดินของผมที่ย่างก้าวอย่างไม่เร่งรีบเพื่อสูดบรรยากาศจากต้นไม้ใหญ่ให้เต็มปอด พอออกมาถึงด้านนอกท้องฟ้าก็เริ่มมืดพอดี เราเดินข้ามฝั่งมาแล้วเลี้ยวซ้ายเลาะไปตามถนนที่มีแต่ร้านค้าทันสมัย เมื่อเดินไปเรื่อยๆ ก็จะเห็นอาคาร ๒ ชั้นดูแปลกตาอยู่ตรงทางม้าลายฝั่งตรงข้ามนั่นคือ “สถานีรถไฟฮาราจุกุ” (Harajuku Station) ที่เปิดใช้งานมาตั้งแต่ปี ๒๔๔๙ ซึ่งทางม้าลายตรงนี้ก็เหมือนเส้นนำทางจากสถานีไปสู่ถนนสายแฟชั่นที่ชื่อ “ทะเคะชิตะ” (Takeshita dori)

พูดถึงฮาราจุกุนี่ตามข้อมูลเขาว่าแต่ก่อนเป็นที่อยู่ของพวกผู้ติดตามโชกุน ส่วนชาวบ้านก็ทำการเกษตรกัน พอถึงยุคเมจิ ก็มีการจัดการที่ดินใหม่ จนกระทั่งจบสิ้นสงครามโลกครั้งที่ ๒ แถวนี้ก็กลายเป็นย่านการค้าเพื่อให้ชาวอเมริกันที่เข้ามาอยู่แถวสวนสาธารณะโยโยะงิ ได้เลือกจับจ่าย จนกลายมาเป็นแหล่งแฟชั่นที่สำคัญในช่วงพุทธทศวรรษที่ ๒๕๑๐ และซอยทะเคะชิตะ ก็เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ ๒๕๒๐ และโด่งดังมาจนถึงปัจจุบัน

ทางเข้าซอยนี้มีป้ายซุ้มชัดเจนมาก มองจากตรงนี้ซึ่งเป็นเนินเขาจะเห็นร้านค้ามากมายอยู่ ๒ ข้างทางและบรรดาฝูงชนแน่นเต็มถนน ทำเอาผมไม่ค่อยอยากเดินเลยแหะ แต่ไหนๆ ก็มาแล้ว สำรวจพื้นที่ดีกว่า ... เท่าที่สังเหตุในซอยนี้มีเสื้อผ้าวัยรุ่นเยอะเป็นพิเศษ ราคาไม่แพงมาก โดยเฉพาะเสื้อผ้าแนวพังค์ร๊อก เยอะจริงๆ ที่ผมสนใจก็คือร้านชุดคอสเพลย์แนวฝรั่ง พวกสาวเมด โกธิค โลลิต้า เพิ่งทราบว่า แถวนี้เขาขายกันหลายร้าน มีอยู่ร้านนึงอยู่ชั้นบนผมเห็นมีคนเดินขึ้นไป ก็เลยตามเขาไปด้วย เจอแม่ค้าแต่งตัวแล้วแบบว่าน่าเข้าไปชม...สินค้าจริงๆ แน่นอนว่า ในร้านมีแต่ผู้หญิงและห้ามถ่ายรูป ชุดร้านนี้เยอะมากครับ มีหลายสี หลายสไตล์ ผมก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน


ถ้าอากิฮาบาระคือแหล่งสินค้าที่ทำให้ผู้ชายฟิน ที่นี่ก็คงเป็นแหล่งสำหรับผู้หญิงเขาละครับ โดยเฉพาะร้านที่อยู่ในซอกเล็กๆ ของตัวอาคารต้องเดินลงไปด้านล่าง หน้าร้านที่จะมีรูปของบรรดาหนุ่มๆ ดาราญี่ปุ่นโชว์หรา ส่วนชั้นใต้ดินที่ผมลงไปดู ก็มีสินค้าพวกภาพถ่ายดาราเหล่านั้นอยู่เต็มไปหมด สาวๆ ที่ไม่ใช่แค่เด็กนักเรียนเท่านั้นนะ วัยทำงานก็มี ก็ต่างเลือกรูปที่ตัวเองชอบไปเก็บสะสมกัน (คิดว่านะ)

ส่วนอาหารที่ขึ้นชื่อแถวนี้คงไม่พ้น เครปญี่ปุ่น! ผมก็พยายามนึกว่าเจ้าไหนมันเจ้าแรกวะ แต่นึกไม่ออกสักที เลยไม่ได้กิน ฮ่าๆๆๆ ย่านนี้นี่ถ้าใครชอบช๊อปปิ้งคงจะมีความสุขไม่น้อย เพราะมันไม่ได้จบแค่ซอยนี้ แต่ยังมีร้านค้าอีกมากมาย เผลอๆ อาจจะยาวไปถึงสถานีรถไฟ โอโมะเตะซังโดะ เลยก็เป็นได้ แต่ผมไม่มีเวลาขนาดนั้นครับ ต้องกลับไปลงรถไฟใต้ดินเผื่อโผล่ยังจุดหมายสุดท้ายของการเยือนโตเกียว ... นั่นคือย่าน “ชิบูย่า” (Shibuya)

จากฮาราจุกุมาชิบูย่า แค่สถานีรถไฟเดียวครับ จริงๆ เดินมาก็ได้ (ถ้าขยันนะ) แถวนี้คนไทยรู้จักกันดีอยู่ ๓ อย่าง คือ แหล่งช๊อปปิ้งที่ใหญ่มากๆ มีเสื้อผ้าทุกแบบให้เลือกซื้อ อีกอย่างคือ ๕ แยกหน้าสถานีรถไฟ ที่ฝูงชนจะพากันเดินข้ามถนนหลังจากที่สัญญาณไฟแดงหยุดรถทุกแยกพร้อมกัน และสุดท้ายคือ หมาที่ชื่อ “ฮาจิโกะ” (Hachi-ko) ยอดกตัญญู เฝ้ารอเจ้านายผู้ล่วงลับที่สถานีรถไฟทุกวันจนกระทั่งสิ้นชีวิต ... ผมก็รู้แค่นี้เหมือนกันล่ะครับ

พอมาถึงก็มุ่งหน้าสู่รูปปั้นเจ้าฮาจิโกะ เป็นแห่งแรก .. และก็พบว่า มันกลายเป็นหมาหูตกรมควันเสียแล้ว ... ผมต้องเดินฝ่าดงบุหรี่ที่ฝูงชนยืนสูบ เพื่อไปถ่ายรูปแล้วรีบฝ่าออกมาแบบเซ็งๆ แถวนี้ยุคที่เทคโนโลยียังไม่ก้าวไกลเขาเอาไว้เป็นจุดนัดพบกันครับ ปัจจุบันก็คงยังใช้อยู่ เพราะมันง่ายต่อการจดจำดี จากนั้นก็มาทำภารกิจที่ ๒ คือถ่ายรูปคนเดินข้ามแยก ก็รอจนได้จังหวะไฟแดงเดินตามถ่ายไปทั่วๆ แต่ก็ใช่ว่าภาพที่อกอมาจะดีนัก ... ตรงแยกนี้ก็มีแต่ตึกเยอะแยะไปหมด ผมกลับลืมสังเกตไปว่า มันมีบางร้านที่เป็นกระจกติดและสามารถขึ้นไปถ่ายมุมสูงได้บนนั้น และคุณจะได้ภาพที่ดีกว่ามากกกกกก เช่น ร้านกาแฟสตาร์บัคส์ แต่ก็ควรที่จะไปซื้อของร้านเขาด้วยนะ ...

และจุดสุดท้ายคือช๊อปปิ้งห้างสรรพสินค้าต่างๆ ที่ดังๆ ก็ห้างชิบูย่า ๑๐๙ ผมเหลือบดูเวลาแล้วดูท่าถ้าไปเดินเล่นคงอาจจะใช้เวลาอีกหลายชั่วโมง ภารกิจจึงจบลงแต่เพียงแค่เดินถ่ายรูปรอบเมือง และกลับมาที่สถานีรถไฟ

การเดินทางผมควรจะสิ้นสุดลงที่นี่ แต่...บัตรรถไฟที่ซื้อมายังไม่คุ้มเลย ไปไหนดีล่ะ ...

แล้วจู่ๆ ชื่อนี้มันก็ผุดขึ้นมาในหัวครับ ... "อีแก่บุคคโล" พี่คนนึงเคยพูดไว้ว่าวิธีการเรียกสถานีรถไฟนี้ให้จำง่ายๆ ซึ่งแท้จริงมันคือย่าน “อิเคะบุโคะโระ” (Ikebukoro) สถานีนี้ก็เป็นจุดเชื่อมต่อรถไฟไปยังจังหวัดอื่นๆ ที่น่าสนใจคือเมื่อออกมาจากสถานีแล้วหุ่นตัวการ์ตูนนกฮูก เขาว่าเป็นสัญลักษณ์ของเขตด้วย ที่ผมรู้คือแถวนี้มีคาเฟ่นกฮูก คือร้านกาแฟที่มีนกฮูกให้ได้สัมผัสในร้าน แต่ไม่ทันคิดว่าจะมาที่นี่เลยลืมเขียนแผนที่เอาไว้ พอถามใครเขาก็ไม่รู้กัน นอกจากนี้ ยังมีย่านอนิเมะย่อมๆ อีกด้วย แต่อย่างว่าไม่ได้เตรียมแผนมา เลยไม่รู้อยู่ตรงไหน

สรุปก็คือได้เดินเล่นแถวสถานีรถไฟแล้วก็นั่งกลับไปยังที่พัก เพื่อเอากระเป๋าแบกไปยังสถานีรถไฟโตเกียวต่อครับ แต่ด้วยความที่ผมใช้บัตรรถไฟใต้ดิน ทำให้ต้องไปลงที่สถานีนิฮมบะชิ แล้วเดินต่อเอา จริงๆ ก็นั่งรถไฟสายอื่นต่อไปยังสถานีปลายทางได้ แต่ไม่ทำ สภาพผมตอนนี้เลยกลายเป็นบ้าหอบฟาง พอเดินไปถามทางเขาก็ตกใจนึกว่าเป็นพวกคนไร้บ้าน ฮ่าๆๆ เดินวนๆ หลงๆ ไปเรื่อย เจอร้านข้าวแกงกะหรี่หมูทอดแบบถูกๆ ก็แวะกินรองท้อง (ก็อร่อยดีนะ) แล้วรีบไปให้ทันเวลารถ บขส.ออกตอน ๕ ทุ่ม

พอมาถึงที่ขนส่ง ผมก็นั่งรอเวลารอออกในห้องขายตั๋ว มันจะมีที่นั่งพักผู้โดยสารสำหรับรอรถ มันจะมีตารางให้ดูบนจอทีวีว่ารถคันไหนกำลังออก แต่ก็ใช่ว่าจะตรงเสียทีเดียว ผมนั่งรอจนสี่ทุ่มสี่สิบห้า สังเกตว่า ทำไมบนจอมันไม่บอกให้เราไปขึ้นรถสักทีวะ หรือว่าต้องห้าทุ่มเป๊ะถึงเรียกให้ขึ้นรถ ว่าแล้วก็ตะหงิดใจ เดินไปดูที่ท่ารถ นึกภาพขนส่งไว้นะครับ มันจะมีรถมาจอดที่ท่าซึ่งอยู่หน้าสถานีตามหมายเลข ตรงท่ามีจอทีวีขนาดใหญ่บอกว่ารถที่จอดเนี่ยชื่ออะไร ไปไหน (อันนี้ไม่ได้ถ่ายมา) ผมก็แบกของไปดูรถ เอ๊ะ รถจอดอยู่ เอ๊ะ มีคนตรวจตั๋ว ผมก็เดินไปถามว่า นี่ใช่รถพรีเมี่ยม ดรีม ๓๒๙ หรือไม่ แกหันมามองแล้วขอดูตั๋ว ผมก็ยื่นให้ดู แกก็พูดภาษาญี่ปุ่นเดาเอาว่า รีบขึ้นๆ ไปเลยนะ ฮ่าๆๆ พอขึ้นไปเสร็จเขาปิดประตู .. อ่อ กูคนสุดท้ายนี่เองสินะ - -"

เรามาดูบนรถกันบ้างครับ ตั๋วของรถคันนี้อยู่ที่ ๘,๔๐๐ เยน ที่นั่งเป็นเบาะเดี่ยว สามแถว แต่ละเบาะสามารถเอนนอนได้มากพอสมควร ที่นั่งมีหมอนติดเบาะ ผ้าห่ม ที่รองขา ที่ไม่เหมือนคันอื่นคือ มีเต้าเสียบปลั๊กด้วย นี่เป็นจุดหนึ่งที่ทำให้ผมยอมเสียตังค์แพง ไม่งั้นล่ะพรุ่งนี้อดถ่ายรูปแน่ อ่อ เขามีคู่มือการใช้ให้อ่านด้วยนะ!! แต่เป็นภาษาญี่ปุ่นล้วนๆ เสียบไว้ด้านหลังเบาะคู่กับรองเท้าแตะกระดาษที่ใช้แล้วทิ้งได้ ... ไม่ได้มีน้ำ ขนม เหมือนรถทัวร์บ้านเรา

ด้านข้างทางเดินก็จะมีผ้าม่านกั้นระหว่างที่นั่งไว้ด้วย ส่วนริมหน้าต่างก็มีผ้าม่านบังไว้ และเท่าที่ทราบคือ เขาไม่ให้เปิดครับ เดี๋ยวแสงจะรบกวนคนอื่น และที่สำคัญต้องรัดเข็มขัดนิรภัยด้วย .. นั่งไปสักพักก็เริ่มมีเทปเสียงตามสายเล่าเป็นภาษาญี่ปุ่น ผมก็ฟังจนเพลิน ประมาณเกือบครึ่งชั่วโมงได้ ไม่รู้เขาพูดอะไร ก่อนจะจบท้ายด้วยคำพูดภาษาอังกฤษ บอกให้ผมรู้ว่า รถคันนี้ผ่านเกียวโต หมดระยะที่โอซาก้านะจ๊ะ และขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ แค่นี้!!

เมื่อสิ้นสัญญาณ ก็ได้เวลาที่ผมจะต้องพักผ่อนเสียที ผมหวังว่าจะนอนหลับได้ยาวๆ กับรถหวานเย็นคันนี้ โดยที่ไม่ต้องตื่นกลางคัน เพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อนและสดใสกับการเดินทางในสถานที่ใหม่...

ลาก่อน โตเกียว...

ผมหวังว่า จะได้กลับมาที่นี่อีก ... เร็วนี้ๆ ...

... และสถานีต่อไป .. กรุงเกียวโต!!

(อ่านต่อฉบับหน้า...)


ข้อมูลบางส่วน : http://www.tokyotower.co.jp/ ,http://www.meijijingu.or.jp/english/index.html ,http://www.meijijingugaien.jp/ ,http://www.tokyoweekender.com/events/jingu-gaien-gingko-festival-2/ ,วิกิพีเดีย
กำลังโหลดความคิดเห็น