**บทความนี้ ไม่ใช่การรีวิว ,ไกด์บุ๊ก หรือ กูรู เป็นเพียงการเล่าประสบการณ์ในสิ่งที่เห็นและสัมผัส หากท่านผู้อ่านมีข้อมูลเสริมสามารถร่วมกันแชร์ได้ผ่านช่องทางแสดงความคิดเห็นด้านล่าง และขอให้สนุกกับการเดินทางไปด้วยกัน **
ความเดิมตอนที่แล้ว อ่าน
Alone in Tokyo ๑.๐: สู่ดินแดนอาทิตย์อุทัย
Alone in Tokyo ๑.๑: ฟูจิซังไกลลิบๆ ที่ภูเขาทะคะโอะ
Alone in Tokyo ๑.๒ : สึคึจิ ตลาดปลา ใครเขาก็มากัน
Alone in Tokyo ๑.๓ : ยังกับหลุดไปในยุคเอโดะ!!
๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ : ศูนย์ข้อมูลการท่องเที่้ยววัฒนธรรมอะซะกุสะ กรุงโตเกียว
เขาว่ามาญี่ปุ่นครั้งแรก ก็ควรจะต้องมาตามโปรแกรมสถานที่ที่เขานิยมกัน ... ๑ ในนั้นก็คือย่านอะซะกุสะ ที่มักพบเห็นตามหนังสือท่องเที่ยวแดนอาทิตย์อุทัย จากในรูปมันก็ดูเชื้อเชิญชวนให้มาชมของจริงเชียว ... จึงบรรจุไว้ในแผนการเดินทางของผมเช่นกัน
แถวนี้เราสามารถพบเห็นทั้งทัวร์ หรือแบ๊กแพคเกอร์ พากันมาไม่ขาดสาย เป็นแลนด์มาร์กท่องเที่ยวที่สำคัญของกรุงโตเกียว ผมขึ้นจากสถานีรถไฟใต้ดิน และเดินมาเรื่อยๆ ตามแผนที่ ซึ่งตรงแยกหน้าทางเข้าวัดเซนโซะ จะมีอาคารรูปร่างประหลาดดูไกลๆ เหมือนเอาลังไม้มาวางซ้อนๆ กันสูงประมาณ ๙ ชั้น เราสามารถเข้าไปในนั้นได้ครับ เพราะที่นี่คือ ศูนย์ข้อมูลการท่องเที่้ยววัฒนธรรมอะซะกุสะ (Asakusa Culture Tourist Information Center) ในนี้นอกจากจะมีข้อมูลเรื่องราวของย่านแล้ว ยังมีจุดชมวิวให้นักท่องเที่ยวได้ส่องรอบๆ เมือง ซึ่งสามารถเห็นตึกอาซาฮีที่มีเมฆสีทองอยู่ด้านบน และหอคอยโตเกียวสกายทรี ที่ไม่ไกลมากนัก รวมทั้งบรรยากาศคนเดินไปมาบริเวณวัดเซนโซะด้วย.. ว้าววววว
ฝั่งตรงข้ามของศูนย์ฯ ก็จะเป็นทางเข้าวัดเซนโซะ ซึ่งมีซุ้มประตูคะมินะริ (Kaminari-mon) มีโคมสีแดงใบใหญ่ๆ อยู่กลางทางเข้า สัญลักษณ์แรกของย่านนี้ ซึ่งมีความสูงถึง ๑๑.๗ เมตร ใครๆ มาก็เก็บภาพเป็นที่ระลึกไปอวดกัน ข้อมูลเขาว่าเดิมสร้างมาตั้งแต่ พ.ศ.๑๔๘๔ แต่ว่าถูกไฟไหม้ แล้วก็สร้างใหม่ วนแบบนี้่ไปหลายครั้ง อย่างที่เห็นนี่ก็เพิ่งสร้างเมื่อ พ.ศ.๒๕๐๓ นี่ถือเป็นประตูด่านหน้าสุดของวัด ตรงเสาก็มีรูปปั้นเทพทั้ง ๒ ฝั่ง ฝั่งละ ๒ องค์ คือเทพเจ้าฟุจินแห่งวายุ (Fujin) ไรจินแห่งอสุนีบาต (Raijin) เทงริว (Tenryu) และคินริว (Kinryu)
จากประตูเราจะเข้าสู่ย่านการค้าที่ชื่อ นะคะมิเซะ (Nakamise-dori) ซึ่งมีความยาวกว่า ๒๕๐ เมตร รวมกว่า ๘๙ ร้าน ตรงนี้เขาค้าขายกันมาตั้งแต่ก่อนพุทธศตวรรษที่ ๒๔ มีการเปลี่ยนแปลงเจ้าของและรูปแบบร้านด้วยหลายสาเหตุมาตลอดจนถึงยุคสงครามโลกครั้งที่ ๒ ที่กรุงโตเกียวถูกสหรัฐอเมริกาถล่มด้วยระเบิด แถวนี้ซึ่งเป็นย่านสำคัญก็เละสิครับ เรียกได้ว่าพินาศเลยแม้กระทั่งตัววัดนี่ก็โดนเช่นกัน ต่อมาก็มีการฟื้นฟูจนเห็นในแบบปัจจุบัน ซึ่งก็มีสิ่งของต่างๆ มากมายให้เลือกซื้อตั้งแต่สินค้าทางวัฒนธรรม เช่น กิโมโน หน้ากาก ฯลฯ ไปจนถึงของกิน ของฝากให้นักท่องเที่ยวช็อปปิ้งสนุกเลย
นักท่องเที่ยวที่พลุกพล่านแต่ผมกลับไม่รู้สึกว่าอยู่ต่างแดนอะไร เพราะได้ยินแต่ภาษาไทยที่พูดคุยกัน ผมต้องขอบใจน้องๆ ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งที่ถ่ายรูปให้ผมประตูคะมินะริด้วย ไม่งั้นก็จะไม่มีรูปผมบันทึกว่าได้มาเยือนสถานที่แห่งนี้แน่ๆ ..
เดินมาเรื่อยๆ ก็เจอซุ้มประตูอีกแล้วครับ คราวนี้มี ๒ ชั้นดูอลังการกว่า ชื่อซุ้มประตูว่า โฮะโซะ (Hozomon) สูงถึง ๒๒.๗ เมตรเลย มีโคมสีแดงอยู่ตรงกลาง พร้อมโคมสีดำอีก ๒ ใบขนาบข้าง เขาว่าซุ้มนี้สร้างมาตั้งแต่ พ.ศ.๑๔๘๕ และก็เหมือนกับหลายสถานที่ในย่านที่ผมเล่ามาแล้ว โดยได้ถูกสร้างขึ้นใหม่ใน พ.ศ.๒๕๐๗ ซึ่งซุ้มนี้จะมียักษ์นิโอะประจำการคอยคุ้มกันวัดตามศิลปะพุทธศาสนาของที่นี่
และข้างหลังซุ้มนี้ก็คือ วัดเซนโซะ (Senso-ji) หรือที่คนไทยเรียกกันว่า วัดอะซะกุสะนั่นล่ะ ว่ากันว่าสร้างมาตั้งแต่ พ.ศ.๑๑๘๘ เพื่อประดิษฐานรูปแกะสลักองค์เจ้าแม่กวนอิม ภายหลังจากที่ ฮะมะนะริ และ ทะเคะนะริ ฮิโนะคุมะ (Hinokuma Hamanari and Takenari) ๒ พี่น้องชาวประมงผู้ค้นพบระหว่างทอดแหจับปลาในแม่น้ำสุมิดะ เมื่อปี ๑๑๗๑ ถือเป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในกรุงโตเกียวเลยล่ะ ต่อมาโชกุนผู้สถาปนาเมืองเอโดะ ผู้มีศรัทธาต่อวัดก็ได้สั่งปฏิสังขรณ์เพิ่มด้วย แต่สุดท้ายก็ไม่พ้นพลานุภาพการทำลายล้างของสงครามโลกไปได้ .. หลังจากความเลวร้ายผ่านพ้นชาวบ้านจึงร่วมกันสร้างวัดขึ้นใหม่ใน พ.ศ.๒๕๐๑ พร้อมกับถือเป็นสัญลักษณ์แห่งการกำเนิดและสันติภาพ
เมื่อเดินเข้ามาภายในวัดก็จะต้องไปล้างมือตามพิธีกันก่อน สำรวจรอบๆ ก็มีร้านให้เช่าวัตถุมงคล ด้านข้างมีเจดีย์ขนาด ๕ ชั้น และเมื่อเดินตรงเข้ามาก็จะถึงวิหารเจ้าแม่กวนอิม (Kannon-do) จุดสำคัญที่นักท่องเที่ยวต้องมาสักการะ ภายในวิหารเราสามารถเขาได้เพียงแค่ด้านหน้า ซึ่งมีฉากกั้นกับปะรำพิธีภายใน ให้ไหว้ขอพรได้เพียงด้านนอก ตรงนั้นมีตู้ให้ใส่เงินบริจาคขนาดใหญ่อยู่ด้านหน้า เมื่อขอพรเสร็จสรรพก็ได้เวลากลับ
จริงๆ ด้านฝั่งที่เป็นเจดีย์ก็มีศาสนสถานอีกหลายแห่งแต่ผมไม่ได้เข้าไปชม ระหว่างที่กำลังจะกลับ ผมเหลือบไปเห็นสิ่งก่อสร้างคล้ายศาลเจ้าอยู่ทางด้านข้าง ก็เลยเดินเข้าไปดู ที่นี่เงียบสงบต่างจากจุดที่ผมเดินจากมาอย่างสิ้นเชิง แทบไม่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเหยียบเลยครับ พอเดินเข้าไปดูตรงตัวอาคารเห็นป้ายเป็นภาษาอังกฤษก็ทำให้ร้องอ๋อขึ้นมา ที่แท้ที่นี่คือ ศาลเจ้าอะซะกุสะ (Asakusa jinja) นั่นเอง ตามข้อมูลเขาว่าเป็นศาลเจ้าที่ได้รับความนิยมอย่างมากจากชาวญี่ปุ่น สร้างมาตั้งแต่สมัยโชกุนเอะอิมิตสึ โทคุงะวะ (Tokugawa Iemitsu) เมื่อ พ.ศ.๒๑๙๒ เพื่อเป็นเกียรติแก่ ๒ พี่น้องที่พบรูปสลักเจ้าแม่กวนอิม และ ฮะจิ โนะ นากาโตะโมะ (Haji no Nakatomo) เศรษฐีผู้นำหมู่บ้านผู้ซึ่งหาพื้นที่ประดิษฐานให้ชาวบ้านได้สักการะ ซึ่งถือเป็นเทพทั้ง ๓ ที่สำคัญของชาวอะสะกุซะ
ว่ากันว่าศาลเจ้าแห่งนี้รอดพ้นจากภัยสงครามโลกด้วย .. นอกจากนี้ ทุกๆ ปีที่นี่ยังจัดเทศกาลที่ชื่อว่า เซนจา มัตสุรี (Sanja Matsuri) ซึ่งมีความสำคัญและอย่างยิ่งใหญ่อีกต่างหาก
อย่างที่เกริ่นไว้ว่า แถวนี้เคยมีความสำคัญทางวัฒนธรรมของกรุงโตเกียวเพราะเป็นแหล่งบันเทิงคดีที่มีโรงละคร โรงเกอิชา มากมาย แต่ถูกทำลายเพราะบอมบ์พี่กัน ปัจจุบันก็ยังมีอยู่ครับแต่ผมไม่ได้ไปนะ ผมเดินออกมาตามหาสิ่งของสำคัญที่เขาว่าเป็นอาหารของเมืองนี้ นั่นคือ มนจายากิ มันก็คล้ายๆ พิซซ่าญี่ปุ่นนั่นล่ะ แต่ผมก็ไม่รู้ว่ามันเป็นยังไง แตกต่างตรงไหน เพราะสุดท้ายแล้ว ผมก็ไม่ได้กิน ด้วยเหตุที่ว่า หาร้านที่จดไว้ไม่พบ..
น่าเสียดายที่เวลาผมมีน้อยเหลือเกินจึงไม่ได้เดินวนให้ทั่วย่านอะสะกุซะ ไม่เช่นนั้นผมอาจได้ไปนั่งชมวิวในสวนสาธารณะริมแม่น้ำสุมิดะ เดินเล่นย่านโรงละครเก่า หรือนั่งกินอาหารในหลายๆ ร้านที่เห็นแล้ว แหม มันอยากจะเข้าเสียเหลือเกิน ..
หรือว่า .. ผมต้องมาที่นี่อีกครั้งสินะ??
อันที่จริงผมอยู่ที่นี่มา ๓ วันก็ยังรู้สึกไม่ได้ซึมซับอารยะธรรมชาวโตเกียวสักเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะผมต้องสำรวจหลายจุดสำคัญที่เขานิยมกัน จึงละเลยรายละเอียดบางอย่างไป ...
และตอนนี้ผมกำลังมาถึงสถานีรถไฟโตเกียวเมโทร อุเอะโนะ อีกหนึ่งย่านยอดนิยมของคนไทย ซึ่งก็มีแหล่งท่องเที่ยวฮิต ไม่ว่าจะเป็นสวนสาธารณะอุเอะโนะ หรือแหล่งช๊อปปิ้งชื่อดังอย่าง อะเมะโยโกะ แต่มาถึงซะค่ำจึงต้องตัดแผนสวนสาธารณะทิ้ง เหลือเพียงเดินชมตลาดและสำรวจรอบๆ ย่าน แต่.. ตอนนี้ผมควรหาอะไรกินก่อนนะ!!!
ร้านที่ผมเลือกอยู่ในย่าน อะเมะยะ โยโกะโจ (Ameya Yokocho) หรือ อะเมะโยโกะ ที่คนไทยรู้จักครับ ร้านนี้เล็กๆ อาจไม่เป็นที่รู้จักมากนัก เขาขายข้าวหมูทอดเกล็ดขนมปังที่เรียกว่า ทงคัตสึ ชื่อร้านคือ ยะมะเบะ (Yamabe) เข้ามาด้านในไม่มีโต๊ะ เป็นบาร์ล้อมรอบเตา ผมก็นั่งหน้ากระทะทอดเลย (ฉลาดจริงๆ) กะว่าจะนั่งดูเขาโชว์ทอดหมูซะหน่อย ร้านนี้อุตสาหกรรมครอบครัวมากๆ ชายสูงวัยรูปร่างใหญ่น่าจะเป็นพ่อยืนทอดหมู ลูกชายยืนหั่นหมู ลูกสาว (หรืออาจจะเป็นลูกสะไภ้ แต่น่ารักเลยล่ะ) คอยเสิร์ฟข้าว น้ำ เครื่องเคียง
ตัวหมูทอดเองก็มีหลายไซส์ ผมเลือกใหญ่สุด สิริราคารวม ๙๐๐ เยน ใช้หมูสันใน (น่าจะใช่) ชิ้นเบ้อเริ่มคลุกแป้งและเกล๊ดขนมปังทอดสดๆ ก่อนเสิร์ฟพร้อมข้าวสวย ร้อนๆ กะหล่ำฝอย ชาเขียว ผักดอง และซุปหอยตัวเล็กๆ ผมนี่ถึงกับอึ้งไปเล็กน้อย ไม่คิดว่ามันจะเยอะขนาดนี้ ... พอราดซอสทงคัตสึ แล้วลงมือกินไม่นานก็หมด เป็นอีกร้านที่รู้สึกว่าคิดถูกที่เชื่อเว็บญี่ปุ่น อร่อยจริงๆ
พูดถึงตลาดอะเมะยะ นี้ตามประวัติเห็นว่า เคยเป็นแหล่งขายลูกกวาด และสินค้าที่มาจากสหรัฐอเมริกา ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ แต่ปัจจุบันนี่ดูผสมปนเปมาก ตั้งแต่ของสด อาหาร ผลไม้ ไปยันเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า ราคาพอสมควร และก็เจอคนไทยเยอะมากๆ เพราะส่วนใหญ่เขามาช๊อปกันที่ห้างทะเคะยะ (Takeya) หรือว่า ตึกม่วงกัน ผมรู้ได้อย่างไร? เพราะผมได้ยินเสียงคนเหล่านั้นที่ถือของพะรุงพะรังพร้อมถ้อยคำพูดถึงสินค้าในห้างนี้ลดราคามาก ตามที่เขาว่านะ แต่ผมไม่ได้ไปหรอก ... ไม่ใช่อะไร ผมหาไม่เจอ ฮ่าๆๆๆ
เวลาล่วงเลยมาจนทุ่มกว่าๆ แผนแรกว่าจะไปเที่ยวโตเกียวสกายทรี แถวนั้นมีเทศกาลคริสต์มาส แต่มาเปลี่ยนใจนั่งรถไฟไปอากิฮาบาระ เพราะอยากเดินดูของค่าเวลา แต่ทว่า กลับเจอเหตุการณ์เซ็งชีวิตอีกแล้ว!! ผมทำบัตรรถไฟหายคาดว่าคงเป็นบนรถไฟแน่ๆ เครียดเลยครับ ตั๋วรถไฟใช้ ๒ วันยังไม่คุ้มเลย เดินมาแจ้งเจ้าหน้าที่บอกตามความจริง แกก็เปิดให้ออกจากสถานีรถไฟโดยง่าย ... แต่ตั๋วก็จบแล้วจบกันไป โอ้ ทำไมซวยอย่างงี้ T-T
... ช่างมันเถอะ!!
อากิฮาบาระ (Akihabara) วันนี้ไม่มีฝนเหมือนวันแรกที่มาถึง และผมก็ไม่ได้ปวดท้องด้วย จึงเดินสบาย ย่านนี้ที่ดังๆ ก็คือพวกเครื่องใช้ไฟฟ้า และสินค้าเกี่ยวกับการ์ตูน ทั้งหุ่นยนต์ ของเล่น การ์ตูน และอื่นๆ รวมทั้งเมดคาเฟ่ ร้านอาหารที่จะมีสาวๆ วัยมัธยมแต่งกายเป็นคนรับใช้ในการ์ตูนญี่ปุ่นคอยเอาใจ เสิร์ฟอาหารพร้อมวาดรูปแบบน่ารักๆ ซึ่งราคาก็ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว เสียดายที่ผมไม่ได้เข้า เพราะยังจุกกับทงคัตสึ เลยได้แต่เดินดูเด็กสาวมายืนแจกใบปลิวให้เจริญตาเล่นๆ แล้วก็แวะเข้าห้างดงกิโฮเต้ (Don Quijote) หรือดงกี้ ที่คนไทยก็นิยมกัน มีหลายสาขา มันก็ดูเหมือนจะเป็นห้างธรรมดา แต่ไม่ใช่ครับ ที่เด็ดๆ นี่ก็มีพวกชุดคอสเพลย์ประหลาดๆ ตั้งแต่เสื้อผ้าตัวการ์ตูน ไปยันชุดนักเรียน ชุดพละญี่ปุ่น ผมนี่แทบอยากซื้อกลับบ้านเลย สินค้าอื่นๆ ก็ราคาไม่สูงมาก
ในย่านนี้ที่รู้ๆ กันก็คือแหล่งที่มาของศิลปินไอดอลญี่ปุ่นที่ชื่อวง เอเคบี ๔๘ (AKB48) วงนี้เขาดังมากนะเห็นจากป้ายบิลบอร์ดในโตเกียวก็เยอะดี น่าเสียดายที่ผมดันหาคาเฟ่ของพวกเธอไม่เจอ แต่กลับเจอตึกที่พวกไอดอลสาวแสดงโชว์กันซะงั้น ในนั้นมีร้านขายของที่ระลึก ของสะสมด้วย น่าเสียดายที่เขาไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปได้เลย
ที่เจอก็เพราะความระห่ำของผมเอง เจอตึกไหนที่มันขึ้นไปชั้นบนได้ก็ไล่ขึ้นไปดูทั้งแถบ บางตึกก็เป็นร้านขายการ์ตูนทุกรูปแบบ ชั้นล่างๆ นี่จะเป็นการ์ตูนปกติ พอชั้น ๔ ขึ้นไปนี่จะเป็นการ์ตูนเกี่ยวกับเพศศึกษาล้วนๆ มีแยกประเภทอย่าง การ์ตูนสำหรับผู้หญิง ที่ผู้ชายเขาไม่ค่อยนิยมกันน่ะ (ไอ้แนวการ์ตูนวาย ชายรักชายประมาณนั้น)
... และไอ้ด้วยความที่ไล่เดินมันซะแบบนี้ ก็เลยได้เจอกับสิ่งที่ผู้ชายหลายคนชอบ นั่นคือ ร้านขายภาพยนต์สำหรับผู้ใหญ่ แถวนี้เรียกว่าย่านเลยก็ได้กระมัง หน้าร้านจะระบุห้ามเด็กต่ำกว่าอายุ ๑๘ เข้า ที่เด่นๆ เลยก็คือไอ้ตึกสีเขียวตรงสถานีรถไฟ อันนี้มีหมด ทั้งหนังทุกค่าย ทั้งอุปกรณ์สร้างความบันเทิงทางเพศทุกเพศรูปแบบ ตั้งแต่ตุ๊กตายาง ยันเครื่องบำบัดทางอารมณ์ เครื่องแต่งกาย และสินค้าสำหรับผู้ที่ชื่นชอบความแปลกๆ อย่างเช่น ชุดที่ดาราสาวสวมในการแสดงภาพยนต์เรื่องนั้น รวมไปถึงชั้นในของเธอที่ใส่ในวันนั้นด้วย!!
ผมไม่ได้ซื้อมาหรอกนะ...
๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ข้าวสารโตเกียวนินจา โฮสเทล , กรุงโตเกียว
สรุปเมื่อคืนก็ไม่ได้ไปโตเกียวสกายทรีครับ นั่งรถไฟกลับมาที่พัก ซึ่งในเช้าวันนี้ ผมก็ต้องเช็กเอาท์ออกเพื่อเตรียมตัวจะเดินทางไปยังภูมิภาคคันไซในช่วงกลางคืน ถือเป็นวันสุดท้ายที่ได้เที่ยวในโตเกียวสินะ
เออ ผมยังไม่ได้เล่าเรื่องโฮสเทลที่นี่เลยนิ ...
ที่พักของผมเป็นเหมือนตู้นอนครับ แบ่งเป็นล๊อกๆ มีชั้นบนกับล่าง ประมาณ ๒๐ ตู้ได้ ภายในห้องก็มีหมอนกับเบาะและผ้าปู ให้เราต้องปูนอนเอง และเมื่อเช็กเอาท์ก็ให้นำผ้าปูนั้นไปทิ้งไว้ที่ตระกร้าซักผ้า ผมโชคดีอยู่ชั้นบน ส่วนด้านล่างเป็นครูสอนภาษาสาวฟิลิปปินส์ ที่รู้เพราะผมได้คุยและขอโทษขอโพยที่ทำเสียงดัง คือ ในห้องมันเป็นเหมือนกล่องไม้ พื้นก็เป็นไม้กระดานเวลาขยับตัวนิดเดียวเสียงไม้ก็ดังแล้ว ก็เลยสงสารคนข้างล่างพยายามขยับให้น้อยที่สุด แต่ก็ไม่รู้ว่าระหว่างที่หลับลึกผมดิ้นหรือไม่ ซึ่งเธอก็ไม่ได้ว่าอะไร ผมก็บอกว่า ตอนแรกผมคิดว่าเธอเป็นคนไทยเหมือนกัน (เพราะหน้าคล้ายๆ เพื่อนผมมาก) แต่ยังไม่กล้าทัก รอดูจังหวะให้แน่ใจว่าเป็นชนชาติเดียวกันหรือไม่ เธอก็บอกผมว่า ตอนเห็นหน้าผมครั้งแรกเธอก็คิดว่าเป็นคนชาติเดียวกับเธอเช่นกัน แต่พอเห็นเครื่องแต่งกายแล้วก็รู้ว่าไม่ใช่แน่ๆ
ในโฮสเทลที่นี่เท่าที่ทราบมีห้องแบบหมู่คณะและห้องคู่ด้วย ชั้นใต้ดินจะเป็นห้องนั่งเล่น มีครัวให้ทำอาหาร มีทีวีให้ดู ส่วนห้องน้ำก็เป็นแบบไฮเทคหน่อย ใช้กดปุ่มเอา มีห้องล๊อคเกอร์ให้เก็บของและตากผ้า ผมอยู่มา ๓ คืนก็พยายามจะสังเกตุและคุยกับชาวบ้านไปทั่ว ซึ่งก็มีชาวอังกฤษ ออสเตรเลีย สิงคโปร์ และเกาหลี มาพักในช่วงนั้น รวมทั้งคนไทยที่มากันเป็นกลุ่ม และมาเที่ยวกับแม่ใช้ที่นี่เป็นจุดแวะพักก็มี
ที่นี่เขาให้พักฟรีด้วยนะ!! อันนี้อาจจะเหมาะสำหรับพวกที่อยู่ยาวๆ คือเขามีข้อแม้ว่า ต้องแลกกับการทำความสะอาดห้องพักต่างๆ เป็นเวลากี่ชั่วโมงนี่ผมไม่มั่นใจนัก โดยรวมผมค่อนข้างประทับใจในครั้งแรกที่ได้มานอนอะไรอย่างนี้ พนักงานต้อนรับก็เป็นกันเองและคอยช่วยเหลือดีมาก (โดยเฉพาะวันที่รองเท้าหาย) แต่ว่า คงต้องได้เวลาเดินทางต่อแล้วสินะ ... ผมจึงขอฝากกระเป๋าเขาไว้และบอกเวลาที่จะกลับมาเอา ก่อนจะไปลาดตระเวนให้เต็มที่ในวันสุดท้ายที่โตเกียว
ซึ่งจุดหมายแห่งแรกก็คือ วัดโซโจ ใจกลางมหานคร ...
ผมตัดสินใจซื้อตั๋วโตเกียวซับเวย์วันเดย์ ในราคา ๑,๐๐๐ เยน คือ แพงอ่ะ แต่ก็คิดว่าใช้คุ้ม แล้วนั่งรถไฟไปสถานีไดมง (Daimon) พอขึ้นมาตามทางออกก็จะเห็นซุ้มประตูดูลักษณะโบราณ ให้เดินเข้าไปแล้วมองตรงสามแยก จะเห็นซุ้มประตูสีแดงขนาดใหญ่มากๆ โดดเด่น พร้อมฉากหลังคือโตเกียวทาวเวอร์ นั่นแสดงว่า เรามาถึงจุดหมายแล้ว ...
วัดโซโจ (Zojo ji) เป็นวัดประจำตระกูลโทกุงะวะ แห่งโชกุนผู้สถาปนากรุงเอโดะ แรกเริ่มสร้างตั้งแต่ พ.ศ.๑๙๓๖ ก็จะย้ายมาอยู่ในพื้นที่ปัจจุบันเมื่อ พ.ศ.๒๑๔๑ โดยโชกุนอิเอะยะสุ แต่ทว่าที่นี่เองก็ไม่พ้นภัยแห่งสงครามโลกเช่นกัน แทบทั้งวัดถูกไฟเผาพินาศสิ้นด้วยระเบิดของอเมริกา ก่อนที่จะมีการบูรณะใหม่ภายหลังเสร็จสิ้นสงคราม ยกเว้นแต่ซุ้มประตูไม้สีแดงขนาดใหญ่เนี่ยล่ะ ที่รอดพ้นจากภัยต่างๆ มันมีชื่อว่า ซังเกะดัทสึ (Sangedatsu Mon) สร้างตั้งแต่ปี ๒๑๖๕ มีความสูงถึง ๒๑ เมตร กว้าง ๑๗.๖ เมตร และลึก ๑๗.๖ เมตร ชื่อของประตูนี้มีความหมายถึง ๓ ต้นเหตุแห่งความทุกข์ตามหลักพุทธศาสนา นั่นคือ โลภ - โกรธ - หลง
พอเข้ามาด้านในเราก็จะเห็นวิหารใหญ่เด่นสง่า ด้านข้างทางเดินก็มีต้นไม้ใหญ่ที่เปลี่ยนสีส้ม เหลือง สวยงาม ด้านซ้ายมีรูปปั้น ผมคาดว่าน่าจะเป็นพระโพธิสัตว์กวนอิม ส่วนด้านขวามีหอระฆังตั้งอยู่ เรียกว่า ไดบงโช (Daibonsho) ที่ดูเหมือนเป็นหอระฆังปกติ แต่ที่นี่ในคืนวันก่อนปีใหม่ชาวญี่ปุ่นจะมารวมตัวกันเพื่อดูการตีระฆังใบนี้เพื่อเริ่มต้น พ.ศ.ใหม่พร้อมกับชมความสวยงามจากแสงไฟประดับของหอคอยโตเกียว แบบที่เราเห็นๆ กันเวลาดูภาพข่าวประมวลงานฉลองต้อนรับปีใหม่ทั่วโลกนั่นล่ะ
ส่วนวิหารใหญ่นี้เรียกว่า ไดเด็น (Daiden) ตามข้อมูลเพิ่งสร้างใหม่เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๗ ภายหลังโดนถล่มไปในช่วงสงครามโลก ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปอมิตตาพุทธ อันนี้ผมไม่ได้เข้าไป เพราะเห็นประตูมันปิดอยู่ และก็ไม่มีใครเข้า เลยเดินเลี้ยวมาทางขวามือ มีวิหารอีกแห่งหลังนี้ชื่อว่า อังโคะคุ (Ankoku den) เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปองค์ดำ ตามตำนานว่าโชกุนอิเอะยะสุ จะมาอธิษฐานขอพรให้รบชนะ และแคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งปวง ซึ่งปัจจุบันก็มีชาวบ้านมาเคารพสักการะขอพรเป็นจำนวนมาก ผมก็มีโอกาสยืนไหว้อยู่ด้านหน้า แต่ตรงจุดนี้ห้ามถ่ายรูปภายในครับ
ระหว่างที่อยู่ตรงนี้ก็เจอกลุ่มคนไทยครับ ทักทายกันตามประสาคนบ้านเดียวกัน ก่อนจะให้เขาช่วยถ่ายรูปผมซึ่งยืนคู่กับ ๒ สาวในชุดกิโมโนที่มาทำบุญในวัด และจู่ๆ ผมก็เจอคุณลุงชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งเดินเข้ามา แล้วถามเป็นภาษาอังกฤษว่า เป็นคนไทยใช่ไหม ผมก็ตอบว่า ใช่ครับ รู้ได้อย่างไรว่าผมเป็นคนไทย แกก็ชี้มาที่โจงกระเบนที่ผมใส่อยู่และตอบกลับว่า สมัยเด็กๆ บ้านผมเคยอยู่ติดกับสถานทูตไทย เคยเห็นคนไทยแต่งชุดแบบนี้ แล้วแกก็ยิ้มและเดินจากไป ผมก็ยืนยิ้ม พลางคิดในใจว่า อย่างน้อยไอ้ที่เราใส่มาก็ทำให้ลุงคนนี้แกได้รำลึกถึงความหลังด้วยแหะ ...
ถัดไปด้านข้างจะมีสวนหย่อมที่เต็มไปด้วยรูปปั้นเด็กน้อยน่าจะเป็นร้อยรูปปั้น มีกังหันลมวางไว้ด้านหน้า รูปปั้นบางตนมีหมวกสีแดงและผ้าคลุมเอาไว้ ดูแปลกตา แต่หากได้รู้ความจริงแล้ว อาจต้องตกใจพอสมควร เพราะที่นี่คือป่าช้าของทารกที่ถูกแม่ทำแท้ง ,คลอดก่อนกำหนด ,เสียชีวิตในครรภ์ และเสียชีวิตหลังคลอด โดยพ่อแม่ของเด็กน้อยจะเลือกรูปปั้นหินและนำหมวก ,เสื้อผ้า และของเล่นมาวางไว้ให้ บ้างก็จะนำของขวัญชิ้นเล็กๆ มามอบให้รูปปั้นผู้พิทักษ์ทารกเหล่านี้ ด้วยมีความเชื่อที่ว่า จะนำลูกของเขาไปสู่เส้นทางที่ถูกต้องในชีวิตหลังความตายด้วย อันนี้ตามข้อมูลเขาว่ามา ส่วนใต้ฐานรูปปั้นจะมีอะไรอยู่ภายในหรือไม่ นี่ไม่ทราบจริงๆ ครับ
จะว่าไป พอยืนถ่ายรูปอยู่คนเดียว ก็หวิวๆ เหมือนกันนะ...
ในสวนนี้พอเดินเข้ามาถัดไปด้านซ้ายจะพบกับประตูบานใหญ่ๆ เหมือนเป็นทางเข้าอะไรสักอย่าง แต่ถูกปิดไว้ พอเดินมาใกล้ๆ ด้านซ้ายมือก็จะมีเคาน์เตอร์เหมือนป้อมเล็กๆ ผมอยากรู้ก็เลยเดินเข้าไปถาม ได้ความว่า หลังประตูบานนี้คือสุสานของคนในตระกูลโทคุงะวะนั่นเอง ซึ่งก็มี ๖ โชกุนฝังอยู่ที่นี่ รวมทั้งเจ้าหญิงคะซุโนะมิยะ (Imperial Princess Kazunomiya) ภรรยาของโชกุนอิเอะโมะจิ และที่สำคัญถ้าเราจะเข้าก็ต้องเสียค่าเยี่ยมชมด้วย
แน่นอนครับ ผมไม่เข้าดีกว่า ...
หลังฉากของสวนแห่งนี้ก็คือโตเกียวทาวเวอร์ หอคอยสีแดงสัญลักษณ์แห่งเมือง มันอยู่ใกล้วัดมากๆ ครับ และนั่นคือจุดหมายต่อไปของวันนี้นี่เอง!!!
(อ่านต่อฉบับหน้า...)
*ข้อมูลบางส่วน : http://www.senso-ji.jp/about/index_e.html ,http://www.japan-guide.com/e/e3010.html,http://www.zojoji.or.jp/en/,วิกิพีเดีย
ความเดิมตอนที่แล้ว อ่าน
Alone in Tokyo ๑.๐: สู่ดินแดนอาทิตย์อุทัย
Alone in Tokyo ๑.๑: ฟูจิซังไกลลิบๆ ที่ภูเขาทะคะโอะ
Alone in Tokyo ๑.๒ : สึคึจิ ตลาดปลา ใครเขาก็มากัน
Alone in Tokyo ๑.๓ : ยังกับหลุดไปในยุคเอโดะ!!
๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ : ศูนย์ข้อมูลการท่องเที่้ยววัฒนธรรมอะซะกุสะ กรุงโตเกียว
เขาว่ามาญี่ปุ่นครั้งแรก ก็ควรจะต้องมาตามโปรแกรมสถานที่ที่เขานิยมกัน ... ๑ ในนั้นก็คือย่านอะซะกุสะ ที่มักพบเห็นตามหนังสือท่องเที่ยวแดนอาทิตย์อุทัย จากในรูปมันก็ดูเชื้อเชิญชวนให้มาชมของจริงเชียว ... จึงบรรจุไว้ในแผนการเดินทางของผมเช่นกัน
แถวนี้เราสามารถพบเห็นทั้งทัวร์ หรือแบ๊กแพคเกอร์ พากันมาไม่ขาดสาย เป็นแลนด์มาร์กท่องเที่ยวที่สำคัญของกรุงโตเกียว ผมขึ้นจากสถานีรถไฟใต้ดิน และเดินมาเรื่อยๆ ตามแผนที่ ซึ่งตรงแยกหน้าทางเข้าวัดเซนโซะ จะมีอาคารรูปร่างประหลาดดูไกลๆ เหมือนเอาลังไม้มาวางซ้อนๆ กันสูงประมาณ ๙ ชั้น เราสามารถเข้าไปในนั้นได้ครับ เพราะที่นี่คือ ศูนย์ข้อมูลการท่องเที่้ยววัฒนธรรมอะซะกุสะ (Asakusa Culture Tourist Information Center) ในนี้นอกจากจะมีข้อมูลเรื่องราวของย่านแล้ว ยังมีจุดชมวิวให้นักท่องเที่ยวได้ส่องรอบๆ เมือง ซึ่งสามารถเห็นตึกอาซาฮีที่มีเมฆสีทองอยู่ด้านบน และหอคอยโตเกียวสกายทรี ที่ไม่ไกลมากนัก รวมทั้งบรรยากาศคนเดินไปมาบริเวณวัดเซนโซะด้วย.. ว้าววววว
ฝั่งตรงข้ามของศูนย์ฯ ก็จะเป็นทางเข้าวัดเซนโซะ ซึ่งมีซุ้มประตูคะมินะริ (Kaminari-mon) มีโคมสีแดงใบใหญ่ๆ อยู่กลางทางเข้า สัญลักษณ์แรกของย่านนี้ ซึ่งมีความสูงถึง ๑๑.๗ เมตร ใครๆ มาก็เก็บภาพเป็นที่ระลึกไปอวดกัน ข้อมูลเขาว่าเดิมสร้างมาตั้งแต่ พ.ศ.๑๔๘๔ แต่ว่าถูกไฟไหม้ แล้วก็สร้างใหม่ วนแบบนี้่ไปหลายครั้ง อย่างที่เห็นนี่ก็เพิ่งสร้างเมื่อ พ.ศ.๒๕๐๓ นี่ถือเป็นประตูด่านหน้าสุดของวัด ตรงเสาก็มีรูปปั้นเทพทั้ง ๒ ฝั่ง ฝั่งละ ๒ องค์ คือเทพเจ้าฟุจินแห่งวายุ (Fujin) ไรจินแห่งอสุนีบาต (Raijin) เทงริว (Tenryu) และคินริว (Kinryu)
จากประตูเราจะเข้าสู่ย่านการค้าที่ชื่อ นะคะมิเซะ (Nakamise-dori) ซึ่งมีความยาวกว่า ๒๕๐ เมตร รวมกว่า ๘๙ ร้าน ตรงนี้เขาค้าขายกันมาตั้งแต่ก่อนพุทธศตวรรษที่ ๒๔ มีการเปลี่ยนแปลงเจ้าของและรูปแบบร้านด้วยหลายสาเหตุมาตลอดจนถึงยุคสงครามโลกครั้งที่ ๒ ที่กรุงโตเกียวถูกสหรัฐอเมริกาถล่มด้วยระเบิด แถวนี้ซึ่งเป็นย่านสำคัญก็เละสิครับ เรียกได้ว่าพินาศเลยแม้กระทั่งตัววัดนี่ก็โดนเช่นกัน ต่อมาก็มีการฟื้นฟูจนเห็นในแบบปัจจุบัน ซึ่งก็มีสิ่งของต่างๆ มากมายให้เลือกซื้อตั้งแต่สินค้าทางวัฒนธรรม เช่น กิโมโน หน้ากาก ฯลฯ ไปจนถึงของกิน ของฝากให้นักท่องเที่ยวช็อปปิ้งสนุกเลย
นักท่องเที่ยวที่พลุกพล่านแต่ผมกลับไม่รู้สึกว่าอยู่ต่างแดนอะไร เพราะได้ยินแต่ภาษาไทยที่พูดคุยกัน ผมต้องขอบใจน้องๆ ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งที่ถ่ายรูปให้ผมประตูคะมินะริด้วย ไม่งั้นก็จะไม่มีรูปผมบันทึกว่าได้มาเยือนสถานที่แห่งนี้แน่ๆ ..
เดินมาเรื่อยๆ ก็เจอซุ้มประตูอีกแล้วครับ คราวนี้มี ๒ ชั้นดูอลังการกว่า ชื่อซุ้มประตูว่า โฮะโซะ (Hozomon) สูงถึง ๒๒.๗ เมตรเลย มีโคมสีแดงอยู่ตรงกลาง พร้อมโคมสีดำอีก ๒ ใบขนาบข้าง เขาว่าซุ้มนี้สร้างมาตั้งแต่ พ.ศ.๑๔๘๕ และก็เหมือนกับหลายสถานที่ในย่านที่ผมเล่ามาแล้ว โดยได้ถูกสร้างขึ้นใหม่ใน พ.ศ.๒๕๐๗ ซึ่งซุ้มนี้จะมียักษ์นิโอะประจำการคอยคุ้มกันวัดตามศิลปะพุทธศาสนาของที่นี่
และข้างหลังซุ้มนี้ก็คือ วัดเซนโซะ (Senso-ji) หรือที่คนไทยเรียกกันว่า วัดอะซะกุสะนั่นล่ะ ว่ากันว่าสร้างมาตั้งแต่ พ.ศ.๑๑๘๘ เพื่อประดิษฐานรูปแกะสลักองค์เจ้าแม่กวนอิม ภายหลังจากที่ ฮะมะนะริ และ ทะเคะนะริ ฮิโนะคุมะ (Hinokuma Hamanari and Takenari) ๒ พี่น้องชาวประมงผู้ค้นพบระหว่างทอดแหจับปลาในแม่น้ำสุมิดะ เมื่อปี ๑๑๗๑ ถือเป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในกรุงโตเกียวเลยล่ะ ต่อมาโชกุนผู้สถาปนาเมืองเอโดะ ผู้มีศรัทธาต่อวัดก็ได้สั่งปฏิสังขรณ์เพิ่มด้วย แต่สุดท้ายก็ไม่พ้นพลานุภาพการทำลายล้างของสงครามโลกไปได้ .. หลังจากความเลวร้ายผ่านพ้นชาวบ้านจึงร่วมกันสร้างวัดขึ้นใหม่ใน พ.ศ.๒๕๐๑ พร้อมกับถือเป็นสัญลักษณ์แห่งการกำเนิดและสันติภาพ
เมื่อเดินเข้ามาภายในวัดก็จะต้องไปล้างมือตามพิธีกันก่อน สำรวจรอบๆ ก็มีร้านให้เช่าวัตถุมงคล ด้านข้างมีเจดีย์ขนาด ๕ ชั้น และเมื่อเดินตรงเข้ามาก็จะถึงวิหารเจ้าแม่กวนอิม (Kannon-do) จุดสำคัญที่นักท่องเที่ยวต้องมาสักการะ ภายในวิหารเราสามารถเขาได้เพียงแค่ด้านหน้า ซึ่งมีฉากกั้นกับปะรำพิธีภายใน ให้ไหว้ขอพรได้เพียงด้านนอก ตรงนั้นมีตู้ให้ใส่เงินบริจาคขนาดใหญ่อยู่ด้านหน้า เมื่อขอพรเสร็จสรรพก็ได้เวลากลับ
จริงๆ ด้านฝั่งที่เป็นเจดีย์ก็มีศาสนสถานอีกหลายแห่งแต่ผมไม่ได้เข้าไปชม ระหว่างที่กำลังจะกลับ ผมเหลือบไปเห็นสิ่งก่อสร้างคล้ายศาลเจ้าอยู่ทางด้านข้าง ก็เลยเดินเข้าไปดู ที่นี่เงียบสงบต่างจากจุดที่ผมเดินจากมาอย่างสิ้นเชิง แทบไม่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเหยียบเลยครับ พอเดินเข้าไปดูตรงตัวอาคารเห็นป้ายเป็นภาษาอังกฤษก็ทำให้ร้องอ๋อขึ้นมา ที่แท้ที่นี่คือ ศาลเจ้าอะซะกุสะ (Asakusa jinja) นั่นเอง ตามข้อมูลเขาว่าเป็นศาลเจ้าที่ได้รับความนิยมอย่างมากจากชาวญี่ปุ่น สร้างมาตั้งแต่สมัยโชกุนเอะอิมิตสึ โทคุงะวะ (Tokugawa Iemitsu) เมื่อ พ.ศ.๒๑๙๒ เพื่อเป็นเกียรติแก่ ๒ พี่น้องที่พบรูปสลักเจ้าแม่กวนอิม และ ฮะจิ โนะ นากาโตะโมะ (Haji no Nakatomo) เศรษฐีผู้นำหมู่บ้านผู้ซึ่งหาพื้นที่ประดิษฐานให้ชาวบ้านได้สักการะ ซึ่งถือเป็นเทพทั้ง ๓ ที่สำคัญของชาวอะสะกุซะ
ว่ากันว่าศาลเจ้าแห่งนี้รอดพ้นจากภัยสงครามโลกด้วย .. นอกจากนี้ ทุกๆ ปีที่นี่ยังจัดเทศกาลที่ชื่อว่า เซนจา มัตสุรี (Sanja Matsuri) ซึ่งมีความสำคัญและอย่างยิ่งใหญ่อีกต่างหาก
อย่างที่เกริ่นไว้ว่า แถวนี้เคยมีความสำคัญทางวัฒนธรรมของกรุงโตเกียวเพราะเป็นแหล่งบันเทิงคดีที่มีโรงละคร โรงเกอิชา มากมาย แต่ถูกทำลายเพราะบอมบ์พี่กัน ปัจจุบันก็ยังมีอยู่ครับแต่ผมไม่ได้ไปนะ ผมเดินออกมาตามหาสิ่งของสำคัญที่เขาว่าเป็นอาหารของเมืองนี้ นั่นคือ มนจายากิ มันก็คล้ายๆ พิซซ่าญี่ปุ่นนั่นล่ะ แต่ผมก็ไม่รู้ว่ามันเป็นยังไง แตกต่างตรงไหน เพราะสุดท้ายแล้ว ผมก็ไม่ได้กิน ด้วยเหตุที่ว่า หาร้านที่จดไว้ไม่พบ..
น่าเสียดายที่เวลาผมมีน้อยเหลือเกินจึงไม่ได้เดินวนให้ทั่วย่านอะสะกุซะ ไม่เช่นนั้นผมอาจได้ไปนั่งชมวิวในสวนสาธารณะริมแม่น้ำสุมิดะ เดินเล่นย่านโรงละครเก่า หรือนั่งกินอาหารในหลายๆ ร้านที่เห็นแล้ว แหม มันอยากจะเข้าเสียเหลือเกิน ..
หรือว่า .. ผมต้องมาที่นี่อีกครั้งสินะ??
อันที่จริงผมอยู่ที่นี่มา ๓ วันก็ยังรู้สึกไม่ได้ซึมซับอารยะธรรมชาวโตเกียวสักเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะผมต้องสำรวจหลายจุดสำคัญที่เขานิยมกัน จึงละเลยรายละเอียดบางอย่างไป ...
และตอนนี้ผมกำลังมาถึงสถานีรถไฟโตเกียวเมโทร อุเอะโนะ อีกหนึ่งย่านยอดนิยมของคนไทย ซึ่งก็มีแหล่งท่องเที่ยวฮิต ไม่ว่าจะเป็นสวนสาธารณะอุเอะโนะ หรือแหล่งช๊อปปิ้งชื่อดังอย่าง อะเมะโยโกะ แต่มาถึงซะค่ำจึงต้องตัดแผนสวนสาธารณะทิ้ง เหลือเพียงเดินชมตลาดและสำรวจรอบๆ ย่าน แต่.. ตอนนี้ผมควรหาอะไรกินก่อนนะ!!!
ร้านที่ผมเลือกอยู่ในย่าน อะเมะยะ โยโกะโจ (Ameya Yokocho) หรือ อะเมะโยโกะ ที่คนไทยรู้จักครับ ร้านนี้เล็กๆ อาจไม่เป็นที่รู้จักมากนัก เขาขายข้าวหมูทอดเกล็ดขนมปังที่เรียกว่า ทงคัตสึ ชื่อร้านคือ ยะมะเบะ (Yamabe) เข้ามาด้านในไม่มีโต๊ะ เป็นบาร์ล้อมรอบเตา ผมก็นั่งหน้ากระทะทอดเลย (ฉลาดจริงๆ) กะว่าจะนั่งดูเขาโชว์ทอดหมูซะหน่อย ร้านนี้อุตสาหกรรมครอบครัวมากๆ ชายสูงวัยรูปร่างใหญ่น่าจะเป็นพ่อยืนทอดหมู ลูกชายยืนหั่นหมู ลูกสาว (หรืออาจจะเป็นลูกสะไภ้ แต่น่ารักเลยล่ะ) คอยเสิร์ฟข้าว น้ำ เครื่องเคียง
ตัวหมูทอดเองก็มีหลายไซส์ ผมเลือกใหญ่สุด สิริราคารวม ๙๐๐ เยน ใช้หมูสันใน (น่าจะใช่) ชิ้นเบ้อเริ่มคลุกแป้งและเกล๊ดขนมปังทอดสดๆ ก่อนเสิร์ฟพร้อมข้าวสวย ร้อนๆ กะหล่ำฝอย ชาเขียว ผักดอง และซุปหอยตัวเล็กๆ ผมนี่ถึงกับอึ้งไปเล็กน้อย ไม่คิดว่ามันจะเยอะขนาดนี้ ... พอราดซอสทงคัตสึ แล้วลงมือกินไม่นานก็หมด เป็นอีกร้านที่รู้สึกว่าคิดถูกที่เชื่อเว็บญี่ปุ่น อร่อยจริงๆ
พูดถึงตลาดอะเมะยะ นี้ตามประวัติเห็นว่า เคยเป็นแหล่งขายลูกกวาด และสินค้าที่มาจากสหรัฐอเมริกา ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ แต่ปัจจุบันนี่ดูผสมปนเปมาก ตั้งแต่ของสด อาหาร ผลไม้ ไปยันเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า ราคาพอสมควร และก็เจอคนไทยเยอะมากๆ เพราะส่วนใหญ่เขามาช๊อปกันที่ห้างทะเคะยะ (Takeya) หรือว่า ตึกม่วงกัน ผมรู้ได้อย่างไร? เพราะผมได้ยินเสียงคนเหล่านั้นที่ถือของพะรุงพะรังพร้อมถ้อยคำพูดถึงสินค้าในห้างนี้ลดราคามาก ตามที่เขาว่านะ แต่ผมไม่ได้ไปหรอก ... ไม่ใช่อะไร ผมหาไม่เจอ ฮ่าๆๆๆ
เวลาล่วงเลยมาจนทุ่มกว่าๆ แผนแรกว่าจะไปเที่ยวโตเกียวสกายทรี แถวนั้นมีเทศกาลคริสต์มาส แต่มาเปลี่ยนใจนั่งรถไฟไปอากิฮาบาระ เพราะอยากเดินดูของค่าเวลา แต่ทว่า กลับเจอเหตุการณ์เซ็งชีวิตอีกแล้ว!! ผมทำบัตรรถไฟหายคาดว่าคงเป็นบนรถไฟแน่ๆ เครียดเลยครับ ตั๋วรถไฟใช้ ๒ วันยังไม่คุ้มเลย เดินมาแจ้งเจ้าหน้าที่บอกตามความจริง แกก็เปิดให้ออกจากสถานีรถไฟโดยง่าย ... แต่ตั๋วก็จบแล้วจบกันไป โอ้ ทำไมซวยอย่างงี้ T-T
... ช่างมันเถอะ!!
อากิฮาบาระ (Akihabara) วันนี้ไม่มีฝนเหมือนวันแรกที่มาถึง และผมก็ไม่ได้ปวดท้องด้วย จึงเดินสบาย ย่านนี้ที่ดังๆ ก็คือพวกเครื่องใช้ไฟฟ้า และสินค้าเกี่ยวกับการ์ตูน ทั้งหุ่นยนต์ ของเล่น การ์ตูน และอื่นๆ รวมทั้งเมดคาเฟ่ ร้านอาหารที่จะมีสาวๆ วัยมัธยมแต่งกายเป็นคนรับใช้ในการ์ตูนญี่ปุ่นคอยเอาใจ เสิร์ฟอาหารพร้อมวาดรูปแบบน่ารักๆ ซึ่งราคาก็ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว เสียดายที่ผมไม่ได้เข้า เพราะยังจุกกับทงคัตสึ เลยได้แต่เดินดูเด็กสาวมายืนแจกใบปลิวให้เจริญตาเล่นๆ แล้วก็แวะเข้าห้างดงกิโฮเต้ (Don Quijote) หรือดงกี้ ที่คนไทยก็นิยมกัน มีหลายสาขา มันก็ดูเหมือนจะเป็นห้างธรรมดา แต่ไม่ใช่ครับ ที่เด็ดๆ นี่ก็มีพวกชุดคอสเพลย์ประหลาดๆ ตั้งแต่เสื้อผ้าตัวการ์ตูน ไปยันชุดนักเรียน ชุดพละญี่ปุ่น ผมนี่แทบอยากซื้อกลับบ้านเลย สินค้าอื่นๆ ก็ราคาไม่สูงมาก
ในย่านนี้ที่รู้ๆ กันก็คือแหล่งที่มาของศิลปินไอดอลญี่ปุ่นที่ชื่อวง เอเคบี ๔๘ (AKB48) วงนี้เขาดังมากนะเห็นจากป้ายบิลบอร์ดในโตเกียวก็เยอะดี น่าเสียดายที่ผมดันหาคาเฟ่ของพวกเธอไม่เจอ แต่กลับเจอตึกที่พวกไอดอลสาวแสดงโชว์กันซะงั้น ในนั้นมีร้านขายของที่ระลึก ของสะสมด้วย น่าเสียดายที่เขาไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปได้เลย
ที่เจอก็เพราะความระห่ำของผมเอง เจอตึกไหนที่มันขึ้นไปชั้นบนได้ก็ไล่ขึ้นไปดูทั้งแถบ บางตึกก็เป็นร้านขายการ์ตูนทุกรูปแบบ ชั้นล่างๆ นี่จะเป็นการ์ตูนปกติ พอชั้น ๔ ขึ้นไปนี่จะเป็นการ์ตูนเกี่ยวกับเพศศึกษาล้วนๆ มีแยกประเภทอย่าง การ์ตูนสำหรับผู้หญิง ที่ผู้ชายเขาไม่ค่อยนิยมกันน่ะ (ไอ้แนวการ์ตูนวาย ชายรักชายประมาณนั้น)
... และไอ้ด้วยความที่ไล่เดินมันซะแบบนี้ ก็เลยได้เจอกับสิ่งที่ผู้ชายหลายคนชอบ นั่นคือ ร้านขายภาพยนต์สำหรับผู้ใหญ่ แถวนี้เรียกว่าย่านเลยก็ได้กระมัง หน้าร้านจะระบุห้ามเด็กต่ำกว่าอายุ ๑๘ เข้า ที่เด่นๆ เลยก็คือไอ้ตึกสีเขียวตรงสถานีรถไฟ อันนี้มีหมด ทั้งหนังทุกค่าย ทั้งอุปกรณ์สร้างความบันเทิงทางเพศทุกเพศรูปแบบ ตั้งแต่ตุ๊กตายาง ยันเครื่องบำบัดทางอารมณ์ เครื่องแต่งกาย และสินค้าสำหรับผู้ที่ชื่นชอบความแปลกๆ อย่างเช่น ชุดที่ดาราสาวสวมในการแสดงภาพยนต์เรื่องนั้น รวมไปถึงชั้นในของเธอที่ใส่ในวันนั้นด้วย!!
ผมไม่ได้ซื้อมาหรอกนะ...
๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ข้าวสารโตเกียวนินจา โฮสเทล , กรุงโตเกียว
สรุปเมื่อคืนก็ไม่ได้ไปโตเกียวสกายทรีครับ นั่งรถไฟกลับมาที่พัก ซึ่งในเช้าวันนี้ ผมก็ต้องเช็กเอาท์ออกเพื่อเตรียมตัวจะเดินทางไปยังภูมิภาคคันไซในช่วงกลางคืน ถือเป็นวันสุดท้ายที่ได้เที่ยวในโตเกียวสินะ
เออ ผมยังไม่ได้เล่าเรื่องโฮสเทลที่นี่เลยนิ ...
ที่พักของผมเป็นเหมือนตู้นอนครับ แบ่งเป็นล๊อกๆ มีชั้นบนกับล่าง ประมาณ ๒๐ ตู้ได้ ภายในห้องก็มีหมอนกับเบาะและผ้าปู ให้เราต้องปูนอนเอง และเมื่อเช็กเอาท์ก็ให้นำผ้าปูนั้นไปทิ้งไว้ที่ตระกร้าซักผ้า ผมโชคดีอยู่ชั้นบน ส่วนด้านล่างเป็นครูสอนภาษาสาวฟิลิปปินส์ ที่รู้เพราะผมได้คุยและขอโทษขอโพยที่ทำเสียงดัง คือ ในห้องมันเป็นเหมือนกล่องไม้ พื้นก็เป็นไม้กระดานเวลาขยับตัวนิดเดียวเสียงไม้ก็ดังแล้ว ก็เลยสงสารคนข้างล่างพยายามขยับให้น้อยที่สุด แต่ก็ไม่รู้ว่าระหว่างที่หลับลึกผมดิ้นหรือไม่ ซึ่งเธอก็ไม่ได้ว่าอะไร ผมก็บอกว่า ตอนแรกผมคิดว่าเธอเป็นคนไทยเหมือนกัน (เพราะหน้าคล้ายๆ เพื่อนผมมาก) แต่ยังไม่กล้าทัก รอดูจังหวะให้แน่ใจว่าเป็นชนชาติเดียวกันหรือไม่ เธอก็บอกผมว่า ตอนเห็นหน้าผมครั้งแรกเธอก็คิดว่าเป็นคนชาติเดียวกับเธอเช่นกัน แต่พอเห็นเครื่องแต่งกายแล้วก็รู้ว่าไม่ใช่แน่ๆ
ในโฮสเทลที่นี่เท่าที่ทราบมีห้องแบบหมู่คณะและห้องคู่ด้วย ชั้นใต้ดินจะเป็นห้องนั่งเล่น มีครัวให้ทำอาหาร มีทีวีให้ดู ส่วนห้องน้ำก็เป็นแบบไฮเทคหน่อย ใช้กดปุ่มเอา มีห้องล๊อคเกอร์ให้เก็บของและตากผ้า ผมอยู่มา ๓ คืนก็พยายามจะสังเกตุและคุยกับชาวบ้านไปทั่ว ซึ่งก็มีชาวอังกฤษ ออสเตรเลีย สิงคโปร์ และเกาหลี มาพักในช่วงนั้น รวมทั้งคนไทยที่มากันเป็นกลุ่ม และมาเที่ยวกับแม่ใช้ที่นี่เป็นจุดแวะพักก็มี
ที่นี่เขาให้พักฟรีด้วยนะ!! อันนี้อาจจะเหมาะสำหรับพวกที่อยู่ยาวๆ คือเขามีข้อแม้ว่า ต้องแลกกับการทำความสะอาดห้องพักต่างๆ เป็นเวลากี่ชั่วโมงนี่ผมไม่มั่นใจนัก โดยรวมผมค่อนข้างประทับใจในครั้งแรกที่ได้มานอนอะไรอย่างนี้ พนักงานต้อนรับก็เป็นกันเองและคอยช่วยเหลือดีมาก (โดยเฉพาะวันที่รองเท้าหาย) แต่ว่า คงต้องได้เวลาเดินทางต่อแล้วสินะ ... ผมจึงขอฝากกระเป๋าเขาไว้และบอกเวลาที่จะกลับมาเอา ก่อนจะไปลาดตระเวนให้เต็มที่ในวันสุดท้ายที่โตเกียว
ซึ่งจุดหมายแห่งแรกก็คือ วัดโซโจ ใจกลางมหานคร ...
ผมตัดสินใจซื้อตั๋วโตเกียวซับเวย์วันเดย์ ในราคา ๑,๐๐๐ เยน คือ แพงอ่ะ แต่ก็คิดว่าใช้คุ้ม แล้วนั่งรถไฟไปสถานีไดมง (Daimon) พอขึ้นมาตามทางออกก็จะเห็นซุ้มประตูดูลักษณะโบราณ ให้เดินเข้าไปแล้วมองตรงสามแยก จะเห็นซุ้มประตูสีแดงขนาดใหญ่มากๆ โดดเด่น พร้อมฉากหลังคือโตเกียวทาวเวอร์ นั่นแสดงว่า เรามาถึงจุดหมายแล้ว ...
วัดโซโจ (Zojo ji) เป็นวัดประจำตระกูลโทกุงะวะ แห่งโชกุนผู้สถาปนากรุงเอโดะ แรกเริ่มสร้างตั้งแต่ พ.ศ.๑๙๓๖ ก็จะย้ายมาอยู่ในพื้นที่ปัจจุบันเมื่อ พ.ศ.๒๑๔๑ โดยโชกุนอิเอะยะสุ แต่ทว่าที่นี่เองก็ไม่พ้นภัยแห่งสงครามโลกเช่นกัน แทบทั้งวัดถูกไฟเผาพินาศสิ้นด้วยระเบิดของอเมริกา ก่อนที่จะมีการบูรณะใหม่ภายหลังเสร็จสิ้นสงคราม ยกเว้นแต่ซุ้มประตูไม้สีแดงขนาดใหญ่เนี่ยล่ะ ที่รอดพ้นจากภัยต่างๆ มันมีชื่อว่า ซังเกะดัทสึ (Sangedatsu Mon) สร้างตั้งแต่ปี ๒๑๖๕ มีความสูงถึง ๒๑ เมตร กว้าง ๑๗.๖ เมตร และลึก ๑๗.๖ เมตร ชื่อของประตูนี้มีความหมายถึง ๓ ต้นเหตุแห่งความทุกข์ตามหลักพุทธศาสนา นั่นคือ โลภ - โกรธ - หลง
พอเข้ามาด้านในเราก็จะเห็นวิหารใหญ่เด่นสง่า ด้านข้างทางเดินก็มีต้นไม้ใหญ่ที่เปลี่ยนสีส้ม เหลือง สวยงาม ด้านซ้ายมีรูปปั้น ผมคาดว่าน่าจะเป็นพระโพธิสัตว์กวนอิม ส่วนด้านขวามีหอระฆังตั้งอยู่ เรียกว่า ไดบงโช (Daibonsho) ที่ดูเหมือนเป็นหอระฆังปกติ แต่ที่นี่ในคืนวันก่อนปีใหม่ชาวญี่ปุ่นจะมารวมตัวกันเพื่อดูการตีระฆังใบนี้เพื่อเริ่มต้น พ.ศ.ใหม่พร้อมกับชมความสวยงามจากแสงไฟประดับของหอคอยโตเกียว แบบที่เราเห็นๆ กันเวลาดูภาพข่าวประมวลงานฉลองต้อนรับปีใหม่ทั่วโลกนั่นล่ะ
ส่วนวิหารใหญ่นี้เรียกว่า ไดเด็น (Daiden) ตามข้อมูลเพิ่งสร้างใหม่เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๗ ภายหลังโดนถล่มไปในช่วงสงครามโลก ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปอมิตตาพุทธ อันนี้ผมไม่ได้เข้าไป เพราะเห็นประตูมันปิดอยู่ และก็ไม่มีใครเข้า เลยเดินเลี้ยวมาทางขวามือ มีวิหารอีกแห่งหลังนี้ชื่อว่า อังโคะคุ (Ankoku den) เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปองค์ดำ ตามตำนานว่าโชกุนอิเอะยะสุ จะมาอธิษฐานขอพรให้รบชนะ และแคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งปวง ซึ่งปัจจุบันก็มีชาวบ้านมาเคารพสักการะขอพรเป็นจำนวนมาก ผมก็มีโอกาสยืนไหว้อยู่ด้านหน้า แต่ตรงจุดนี้ห้ามถ่ายรูปภายในครับ
ระหว่างที่อยู่ตรงนี้ก็เจอกลุ่มคนไทยครับ ทักทายกันตามประสาคนบ้านเดียวกัน ก่อนจะให้เขาช่วยถ่ายรูปผมซึ่งยืนคู่กับ ๒ สาวในชุดกิโมโนที่มาทำบุญในวัด และจู่ๆ ผมก็เจอคุณลุงชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งเดินเข้ามา แล้วถามเป็นภาษาอังกฤษว่า เป็นคนไทยใช่ไหม ผมก็ตอบว่า ใช่ครับ รู้ได้อย่างไรว่าผมเป็นคนไทย แกก็ชี้มาที่โจงกระเบนที่ผมใส่อยู่และตอบกลับว่า สมัยเด็กๆ บ้านผมเคยอยู่ติดกับสถานทูตไทย เคยเห็นคนไทยแต่งชุดแบบนี้ แล้วแกก็ยิ้มและเดินจากไป ผมก็ยืนยิ้ม พลางคิดในใจว่า อย่างน้อยไอ้ที่เราใส่มาก็ทำให้ลุงคนนี้แกได้รำลึกถึงความหลังด้วยแหะ ...
ถัดไปด้านข้างจะมีสวนหย่อมที่เต็มไปด้วยรูปปั้นเด็กน้อยน่าจะเป็นร้อยรูปปั้น มีกังหันลมวางไว้ด้านหน้า รูปปั้นบางตนมีหมวกสีแดงและผ้าคลุมเอาไว้ ดูแปลกตา แต่หากได้รู้ความจริงแล้ว อาจต้องตกใจพอสมควร เพราะที่นี่คือป่าช้าของทารกที่ถูกแม่ทำแท้ง ,คลอดก่อนกำหนด ,เสียชีวิตในครรภ์ และเสียชีวิตหลังคลอด โดยพ่อแม่ของเด็กน้อยจะเลือกรูปปั้นหินและนำหมวก ,เสื้อผ้า และของเล่นมาวางไว้ให้ บ้างก็จะนำของขวัญชิ้นเล็กๆ มามอบให้รูปปั้นผู้พิทักษ์ทารกเหล่านี้ ด้วยมีความเชื่อที่ว่า จะนำลูกของเขาไปสู่เส้นทางที่ถูกต้องในชีวิตหลังความตายด้วย อันนี้ตามข้อมูลเขาว่ามา ส่วนใต้ฐานรูปปั้นจะมีอะไรอยู่ภายในหรือไม่ นี่ไม่ทราบจริงๆ ครับ
จะว่าไป พอยืนถ่ายรูปอยู่คนเดียว ก็หวิวๆ เหมือนกันนะ...
ในสวนนี้พอเดินเข้ามาถัดไปด้านซ้ายจะพบกับประตูบานใหญ่ๆ เหมือนเป็นทางเข้าอะไรสักอย่าง แต่ถูกปิดไว้ พอเดินมาใกล้ๆ ด้านซ้ายมือก็จะมีเคาน์เตอร์เหมือนป้อมเล็กๆ ผมอยากรู้ก็เลยเดินเข้าไปถาม ได้ความว่า หลังประตูบานนี้คือสุสานของคนในตระกูลโทคุงะวะนั่นเอง ซึ่งก็มี ๖ โชกุนฝังอยู่ที่นี่ รวมทั้งเจ้าหญิงคะซุโนะมิยะ (Imperial Princess Kazunomiya) ภรรยาของโชกุนอิเอะโมะจิ และที่สำคัญถ้าเราจะเข้าก็ต้องเสียค่าเยี่ยมชมด้วย
แน่นอนครับ ผมไม่เข้าดีกว่า ...
หลังฉากของสวนแห่งนี้ก็คือโตเกียวทาวเวอร์ หอคอยสีแดงสัญลักษณ์แห่งเมือง มันอยู่ใกล้วัดมากๆ ครับ และนั่นคือจุดหมายต่อไปของวันนี้นี่เอง!!!
(อ่านต่อฉบับหน้า...)
*ข้อมูลบางส่วน : http://www.senso-ji.jp/about/index_e.html ,http://www.japan-guide.com/e/e3010.html,http://www.zojoji.or.jp/en/,วิกิพีเดีย