หลังจากที่ผ่านเดือนพฤษภาคมมาตลอดเดือน ฝนแทบไม่ตกเลย มีบ้างประปรายแบบตกลงมาให้ร้อนกว่าเดิมแล้ว จนหวั่นเกรงว่าปีนี้น่าจะแล้งหนัก ด้วยปรากฏการณ์ เอล นีโญ ซึ่งส่งผลให้ฝนทิ้งช่วงเป็นเวลานาน จนเขื่อนต่างๆ เริ่มกังวลว่าจะไม่มีน้ำพอที่จะทำการเกษตร
และแล้วฝนแรกก็กระหน่ำลงมากลางเมืองกรุงเมื่อเช้าวันจันทร์ แต่แทนที่ชาว กทม.จะได้ดีใจที่มีฝนลงมาคลายร้อน ก็กลับกลายเป็นว่าต่างก็แช่งฟ้าด่าฝนกันเสียไม่มีดี
ก็จะให้แฮปปี้ดีใจกันอย่างไรไหว ในเมื่อฝนเล่นมาตกเอาตอนเช้าตรู่ของวันทำงานวันแรก ซึ่งปกติรถติดมากเป็นปกติอยู่แล้ว
ฝนตกลงมาทำให้ทัศนวิสัยและสภาพถนนแย่ลงเกิดอุบัติเหตุกันง่ายๆ แต่เท่านั้นไม่พอ ยังปรากฏว่ามีน้ำท่วมสูงในหลายพื้นที่ทั่วกรุงเทพฯ โดยเฉพาะจุดหนักๆ ที่เป็นจุดรถติดสาหัสอยู่แล้วแม้ไม่มีใครไปทำอะไร อย่างเส้นอโศกสุขุมวิท
น้ำท่วมทำให้รถหลายคันจอดตายแน่นิ่งกันเป็นแถว ไม่เลือกชั้นวรรณะ ทั้งรถเก่ารถใหม่ ญี่ปุ่น อเมริกัน ยุโรป มีหมด ใครที่ติดตามข่าวโกลาหลเช้าวันจันทร์คงได้เห็นภาพส่งต่อกันมาแบบถ้วนหน้า
บางคนโชคดีที่ไม่ต้องออกจากบ้าน หรือสาธุที่ไม่ได้อยู่บนถนน หลายคนเลี้ยวรถกลับบ้าน ยอมขาดยอมลางานกันไป
ยังไม่เคยมีใครประเมินว่าฝนตกน้ำท่วมแต่ละครั้งนั้นเกิดความเสียหายในมูลค่าทางเศรษฐกิจเป็นเงินเท่าไร แต่คาดว่าเยอะ ทั้งการเผาผลาญน้ำมัน โอกาสค่าเสียเวลา ค่าซ่อมรถบางคันที่เสียไปอย่างว่า ยังไม่มีรายงานว่ามีคนเสียชีวิตเพราะไปโรงพยาบาลไม่ทันเพราะรถติดบ้างหรือไม่
คนที่ถูกเรียกหาอย่างหนักในเช้าวันนั้น ก็ได้แก่คุณชายหมู ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร นั่นเอง ซึ่งเป็นความโชคร้ายของแกที่มีคิวงานต้องไปศึกษาดูงานป้องกันน้ำท่วมที่ประเทศเนเธอร์แลนด์พอดีๆ เสียตอนนั้น
เล่นเอาโดนคุณชูวิทย์แขวะว่า เป็นผู้ว่าฯ กทม. มาแล้วสองสมัย ไปดูงานน้ำท่วมมากี่ปีแล้ว เลิกดูแล้วกลับมาแก้ปัญหากันเถิด
เรื่องนี้จะว่าน่าเห็นใจคุณชายก็ว่าได้ เพราะการที่น้ำท่วมเนื่องจากระบายน้ำไม่ทันนั้นเป็นเหตุตามธรรมชาติ ซึ่งเตรียมตัวมาดีอย่างไรก็ต้องเกิดขึ้นแน่ๆ เหมือนเดินกลางฝนแล้วจะไม่ให้ตัวเปียกสักหยดเลยก็เป็นไปไม่ได้
แต่ทาง กทม.รับมืออย่างไรมากกว่า เครื่องสูบน้ำนั้นพร้อมหรือไม่ การส่งต่อน้ำส่วนเกินไปยังอุโมงค์ระบายน้ำขนาดยักษ์ (ที่เป็นจุดขายในการหาเสียงของคุณชาย แต่ก็กลายมาเป็นหอกข้างแคร่ทิ่มเอาๆ ทุกครั้งที่น้ำท่วม)
ปัญหาส่วนหนึ่งคือ ท่อระบายน้ำอุดตันเต็มไปด้วยขยะ ก็เป็นขยะที่ชาว กทม.นั่นเองที่ทิ้งลงไป ภาพหน้าเครื่องสูบน้ำฟ้องให้เห็นว่าทะเลขยะจากฝีมือคนกรุงนั้นมีมากแค่ไหน
กระนั้นก็จะถือเป็นเหตุปัดความรับผิดชอบเสียก็ไม่ได้ ก็ในเมื่อ กทม.เป็นหน่วยงานท้องถิ่นที่ทำหน้าที่เป็นเหมือน “เทศบาล” ที่ต้องบำบัดดูแลเมืองให้สะอาดเรียบร้อย การจัดการขยะนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ถือเป็นความรับผิดชอบอย่างเลี่ยงไม่ได้
ตอนที่คุณชายได้รับการเลือกตั้งมานั้น คงจะต้องยอมรับในความเป็นจริงว่า ที่ท่านได้เป็นผู้ว่าฯ กทม. อีกสมัยนั้น “ไม่ใช่” เพราะคนกรุงเทพฯ “เลือก” หรือไว้ใจให้ท่านมาเป็นผู้ว่าฯ กทม.ต่อไปอีกสมัย แต่เป็นเพราะคนกรุงเทพฯ “ไม่เลือก” ตัวแทนจากฝั่งเสื้อแดงที่กำลังมีคะแนนนำมาแบบน่ากลัวมากกว่า คือ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครพรรคเพื่อไทย ซึ่งตอนนั้นทุกโพลนั้นให้คะแนนนำโด่งมาว่าเข้าวินแน่ๆ
เพื่อเป็นการส่งสัญญาณต่อพรรคและฝ่ายสีเสื้อแดงที่กำลังดี๊ด๊าเพราะเพิ่งเอาชนะมาจากการเลือกตั้งระดับประเทศ และกำลังจะได้ปักธงแดงผืนใหม่ลงใน กทม.ซึ่งเป็นเมืองหลวงและเป็นพื้นที่ที่พรรคเพื่อไทยเจาะไม่เข้าในการเลือกตั้งใหญ่ด้วย ทำให้ชาว กทม.จะต้องไปช่วยกันลงคะแนนให้ตัวเลือกรองที่มีโอกาส “โค่น” คุณพงศพัศได้มากที่สุด ซึ่งมองไม่เห็นใครแล้ว นอกจากคุณชายสุขุมพันธุ์ ชนะกันไปล้านสองกับล้านนิดๆ ชนะกันสองแสนเสียง เท่านั้น
ผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งหลายคนพูดแบบไม่สงสารคุณชายเลยว่า “ไปเลือกมาเป็นไม้กันหมา” ซึ่งถึงจะไม่ได้ว่าคุณชายเป็น “หมา” เหมือนอีกคนหนึ่งที่ถูกตีพ่ายกลับไปเลียแผลที่บ้าน แต่ก็ไม่ได้ดูดีสักเท่าไร
ดังนั้นชาว กทม.เองก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้อะไรใหม่ๆ จากคุณชายอยู่แล้ว จากผลงานในสมัยแรก ก็เอาแค่ว่า มา “ประคอง” กทม.ไปได้ตามระบบรูทีนเท่านั้นก็พอ มีคนมาเก็บขยะที่บ้านให้ตามเวลา กวาดถนนอย่าให้มันสกปรก ดูแลท่อน้ำถังขยะตามสมควร ไอ้เรื่องรถไฟฟ้าจะขยายไปไหนๆ หรือมาสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆ น่ะไม่ว่างก็ไม่ต้องก็ได้
แต่กระนั้น เพียงความคาดหวังชั้นต้น คุณชายก็ทำให้ชาว กทม.ไม่ได้ จันทร์ที่ผ่านมาไม่ใช่ครั้งแรกที่ฝนตกหนักแล้วรถติด ก่อนหน้านี้ตอนที่เกิดฝนหลังฤดูปลายมีนาที่ผ่านมา ซึ่งทำให้น้ำท่วมหนักในถนนเส้นสำคัญๆ จนรถติดไม่แพ้วันจันทร์นั้น เสียงสวดคุณชายก็กระหึ่มเมือง และหนักขึ้นเมื่อคุณชายเผลอมาแนะนำชาวกรุงเทพฯ ว่า “ไม่อยากน้ำท่วมก็ต้องย้ายบ้านไปอยู่บนดอย” ซึ่งยิ่งสร้างภาพลบต่อฐานคะแนนตัวเองเข้าไปใหญ่ จนต้องมีการมาแก้ข่าวกันภายหลัง
ตอนนั้นยังพออ้างได้ว่าเป็น “ฝนหลงฤดู” เลยไม่ได้เตรียมการรับมือไว้ แต่รอบนี้โดนเต็มๆ เพราะเป็น “ฝนตามฤดูกาล” แถมยังต่อเวลามาช้าเป็นเดือน จะบอกว่าเตรียมตัวไม่ทันนี่ก็ฟังไม่ขึ้นเสียแล้ว แถมยังเคราะห์ร้ายที่ขณะเกิดเหตุท่านไม่อยู่ไปดูงานต่างประเทศเสียอีกด้วย ก็เลยเจอหนักทุกทาง
หนักจนถึงขั้นมีผู้เข้าชื่อกันร้องขอให้ท่านนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาใช้อำนาจตามมาตรา 44 ปลดคุณชายออกจากตำแหน่งกันเลยทีเดียว
ซึ่งแม้ข้อเสนอดังกล่าวจะได้รับการปฏิเสธ แต่ท่าทีของฝ่ายรัฐบาล คือตัวนายกฯ เอง และ รมว.มหาดไทยหรือ มท. 1 ก็ออกมาไม่ค่อยดีเท่าไร
โดยนายกฯ ออกมาเปรยว่า ที่ผ่านมาได้ให้โอกาสผู้ว่าฯ กทม.ในการจัดการแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถจัดการได้ ซึ่งผู้ว่าฯ กทม.นั้นมาจากการเลือกตั้งของประชาชนจึงไปใช้อำนาจปลดไม่ได้ แต่หากต่อไปการแก้ปัญหาดังกล่าวยังไม่มีความคืบหน้า คงจะต้องสั่งการให้ปลัดกระทรวงมหาดไทย หรือข้าราชการระดับสูงที่เกี่ยวข้องกับ กทม.เข้าไปดูแลและดำเนินการต่อ
อันนี้ “ไม่ปลดก็เหมือนปลด” ถูกลดอำนาจลงให้ฝ่ายข้าราชการประจำลงไปดูแลแทนเสียอย่างนั้น
ส่วน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ยื่นคำขาดว่า ถ้าต่อไปน้ำท่วมไม่เกิน 60 ซม.จะต้องดำเนินการแก้ไขระบายรถให้ได้ทันภายในหนึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมงครึ่ง หากฝนตกในช่วงเวลากลางคืน น้ำจะต้องแห้งก่อนเวลา 05.00 น. หากพื้นที่ใดไม่แห้ง เจ้าหน้าที่ตำรวจจะปิดถนนดังกล่าวเพื่อเร่งระบายน้ำ พร้อมแจ้งประชาชนให้หลีกเลี่ยงเส้นทาง
เรียกว่าทุกคนวางแผนการรับมือแบบมองข้ามท่านผู้ว่าฯ กทม.กันไปหมดเลย
เสียงตอบรับจากพรรคประชาธิปัตย์ต้นสังกัดเองก็ไม่ดีเท่าไร ในเมื่อหัวหน้าพรรค นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เองก็ออกมายอมรับว่าเรื่องนี้ทำให้กระทบกระเทือนต่อฐานเสียงชาว กทม. มากพอสมควร ซึ่งการจะให้คุณชายลงสมัครผู้ว่าฯ กทม. ต่อไปอีกสมัยหรือไม่คงต้องพิจารณากันให้รอบคอบ
แต่เราๆ ท่านๆ คงพอรู้ว่าคุณชายคงจะพอแล้วแค่สมัยนี้แหละ
รวมถึงอนาคตทางการเมืองต่อไปของท่านก็อาจจะหายลาไปจากวงการอย่างเงียบๆ.
และแล้วฝนแรกก็กระหน่ำลงมากลางเมืองกรุงเมื่อเช้าวันจันทร์ แต่แทนที่ชาว กทม.จะได้ดีใจที่มีฝนลงมาคลายร้อน ก็กลับกลายเป็นว่าต่างก็แช่งฟ้าด่าฝนกันเสียไม่มีดี
ก็จะให้แฮปปี้ดีใจกันอย่างไรไหว ในเมื่อฝนเล่นมาตกเอาตอนเช้าตรู่ของวันทำงานวันแรก ซึ่งปกติรถติดมากเป็นปกติอยู่แล้ว
ฝนตกลงมาทำให้ทัศนวิสัยและสภาพถนนแย่ลงเกิดอุบัติเหตุกันง่ายๆ แต่เท่านั้นไม่พอ ยังปรากฏว่ามีน้ำท่วมสูงในหลายพื้นที่ทั่วกรุงเทพฯ โดยเฉพาะจุดหนักๆ ที่เป็นจุดรถติดสาหัสอยู่แล้วแม้ไม่มีใครไปทำอะไร อย่างเส้นอโศกสุขุมวิท
น้ำท่วมทำให้รถหลายคันจอดตายแน่นิ่งกันเป็นแถว ไม่เลือกชั้นวรรณะ ทั้งรถเก่ารถใหม่ ญี่ปุ่น อเมริกัน ยุโรป มีหมด ใครที่ติดตามข่าวโกลาหลเช้าวันจันทร์คงได้เห็นภาพส่งต่อกันมาแบบถ้วนหน้า
บางคนโชคดีที่ไม่ต้องออกจากบ้าน หรือสาธุที่ไม่ได้อยู่บนถนน หลายคนเลี้ยวรถกลับบ้าน ยอมขาดยอมลางานกันไป
ยังไม่เคยมีใครประเมินว่าฝนตกน้ำท่วมแต่ละครั้งนั้นเกิดความเสียหายในมูลค่าทางเศรษฐกิจเป็นเงินเท่าไร แต่คาดว่าเยอะ ทั้งการเผาผลาญน้ำมัน โอกาสค่าเสียเวลา ค่าซ่อมรถบางคันที่เสียไปอย่างว่า ยังไม่มีรายงานว่ามีคนเสียชีวิตเพราะไปโรงพยาบาลไม่ทันเพราะรถติดบ้างหรือไม่
คนที่ถูกเรียกหาอย่างหนักในเช้าวันนั้น ก็ได้แก่คุณชายหมู ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร นั่นเอง ซึ่งเป็นความโชคร้ายของแกที่มีคิวงานต้องไปศึกษาดูงานป้องกันน้ำท่วมที่ประเทศเนเธอร์แลนด์พอดีๆ เสียตอนนั้น
เล่นเอาโดนคุณชูวิทย์แขวะว่า เป็นผู้ว่าฯ กทม. มาแล้วสองสมัย ไปดูงานน้ำท่วมมากี่ปีแล้ว เลิกดูแล้วกลับมาแก้ปัญหากันเถิด
เรื่องนี้จะว่าน่าเห็นใจคุณชายก็ว่าได้ เพราะการที่น้ำท่วมเนื่องจากระบายน้ำไม่ทันนั้นเป็นเหตุตามธรรมชาติ ซึ่งเตรียมตัวมาดีอย่างไรก็ต้องเกิดขึ้นแน่ๆ เหมือนเดินกลางฝนแล้วจะไม่ให้ตัวเปียกสักหยดเลยก็เป็นไปไม่ได้
แต่ทาง กทม.รับมืออย่างไรมากกว่า เครื่องสูบน้ำนั้นพร้อมหรือไม่ การส่งต่อน้ำส่วนเกินไปยังอุโมงค์ระบายน้ำขนาดยักษ์ (ที่เป็นจุดขายในการหาเสียงของคุณชาย แต่ก็กลายมาเป็นหอกข้างแคร่ทิ่มเอาๆ ทุกครั้งที่น้ำท่วม)
ปัญหาส่วนหนึ่งคือ ท่อระบายน้ำอุดตันเต็มไปด้วยขยะ ก็เป็นขยะที่ชาว กทม.นั่นเองที่ทิ้งลงไป ภาพหน้าเครื่องสูบน้ำฟ้องให้เห็นว่าทะเลขยะจากฝีมือคนกรุงนั้นมีมากแค่ไหน
กระนั้นก็จะถือเป็นเหตุปัดความรับผิดชอบเสียก็ไม่ได้ ก็ในเมื่อ กทม.เป็นหน่วยงานท้องถิ่นที่ทำหน้าที่เป็นเหมือน “เทศบาล” ที่ต้องบำบัดดูแลเมืองให้สะอาดเรียบร้อย การจัดการขยะนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ถือเป็นความรับผิดชอบอย่างเลี่ยงไม่ได้
ตอนที่คุณชายได้รับการเลือกตั้งมานั้น คงจะต้องยอมรับในความเป็นจริงว่า ที่ท่านได้เป็นผู้ว่าฯ กทม. อีกสมัยนั้น “ไม่ใช่” เพราะคนกรุงเทพฯ “เลือก” หรือไว้ใจให้ท่านมาเป็นผู้ว่าฯ กทม.ต่อไปอีกสมัย แต่เป็นเพราะคนกรุงเทพฯ “ไม่เลือก” ตัวแทนจากฝั่งเสื้อแดงที่กำลังมีคะแนนนำมาแบบน่ากลัวมากกว่า คือ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครพรรคเพื่อไทย ซึ่งตอนนั้นทุกโพลนั้นให้คะแนนนำโด่งมาว่าเข้าวินแน่ๆ
เพื่อเป็นการส่งสัญญาณต่อพรรคและฝ่ายสีเสื้อแดงที่กำลังดี๊ด๊าเพราะเพิ่งเอาชนะมาจากการเลือกตั้งระดับประเทศ และกำลังจะได้ปักธงแดงผืนใหม่ลงใน กทม.ซึ่งเป็นเมืองหลวงและเป็นพื้นที่ที่พรรคเพื่อไทยเจาะไม่เข้าในการเลือกตั้งใหญ่ด้วย ทำให้ชาว กทม.จะต้องไปช่วยกันลงคะแนนให้ตัวเลือกรองที่มีโอกาส “โค่น” คุณพงศพัศได้มากที่สุด ซึ่งมองไม่เห็นใครแล้ว นอกจากคุณชายสุขุมพันธุ์ ชนะกันไปล้านสองกับล้านนิดๆ ชนะกันสองแสนเสียง เท่านั้น
ผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งหลายคนพูดแบบไม่สงสารคุณชายเลยว่า “ไปเลือกมาเป็นไม้กันหมา” ซึ่งถึงจะไม่ได้ว่าคุณชายเป็น “หมา” เหมือนอีกคนหนึ่งที่ถูกตีพ่ายกลับไปเลียแผลที่บ้าน แต่ก็ไม่ได้ดูดีสักเท่าไร
ดังนั้นชาว กทม.เองก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้อะไรใหม่ๆ จากคุณชายอยู่แล้ว จากผลงานในสมัยแรก ก็เอาแค่ว่า มา “ประคอง” กทม.ไปได้ตามระบบรูทีนเท่านั้นก็พอ มีคนมาเก็บขยะที่บ้านให้ตามเวลา กวาดถนนอย่าให้มันสกปรก ดูแลท่อน้ำถังขยะตามสมควร ไอ้เรื่องรถไฟฟ้าจะขยายไปไหนๆ หรือมาสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆ น่ะไม่ว่างก็ไม่ต้องก็ได้
แต่กระนั้น เพียงความคาดหวังชั้นต้น คุณชายก็ทำให้ชาว กทม.ไม่ได้ จันทร์ที่ผ่านมาไม่ใช่ครั้งแรกที่ฝนตกหนักแล้วรถติด ก่อนหน้านี้ตอนที่เกิดฝนหลังฤดูปลายมีนาที่ผ่านมา ซึ่งทำให้น้ำท่วมหนักในถนนเส้นสำคัญๆ จนรถติดไม่แพ้วันจันทร์นั้น เสียงสวดคุณชายก็กระหึ่มเมือง และหนักขึ้นเมื่อคุณชายเผลอมาแนะนำชาวกรุงเทพฯ ว่า “ไม่อยากน้ำท่วมก็ต้องย้ายบ้านไปอยู่บนดอย” ซึ่งยิ่งสร้างภาพลบต่อฐานคะแนนตัวเองเข้าไปใหญ่ จนต้องมีการมาแก้ข่าวกันภายหลัง
ตอนนั้นยังพออ้างได้ว่าเป็น “ฝนหลงฤดู” เลยไม่ได้เตรียมการรับมือไว้ แต่รอบนี้โดนเต็มๆ เพราะเป็น “ฝนตามฤดูกาล” แถมยังต่อเวลามาช้าเป็นเดือน จะบอกว่าเตรียมตัวไม่ทันนี่ก็ฟังไม่ขึ้นเสียแล้ว แถมยังเคราะห์ร้ายที่ขณะเกิดเหตุท่านไม่อยู่ไปดูงานต่างประเทศเสียอีกด้วย ก็เลยเจอหนักทุกทาง
หนักจนถึงขั้นมีผู้เข้าชื่อกันร้องขอให้ท่านนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาใช้อำนาจตามมาตรา 44 ปลดคุณชายออกจากตำแหน่งกันเลยทีเดียว
ซึ่งแม้ข้อเสนอดังกล่าวจะได้รับการปฏิเสธ แต่ท่าทีของฝ่ายรัฐบาล คือตัวนายกฯ เอง และ รมว.มหาดไทยหรือ มท. 1 ก็ออกมาไม่ค่อยดีเท่าไร
โดยนายกฯ ออกมาเปรยว่า ที่ผ่านมาได้ให้โอกาสผู้ว่าฯ กทม.ในการจัดการแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถจัดการได้ ซึ่งผู้ว่าฯ กทม.นั้นมาจากการเลือกตั้งของประชาชนจึงไปใช้อำนาจปลดไม่ได้ แต่หากต่อไปการแก้ปัญหาดังกล่าวยังไม่มีความคืบหน้า คงจะต้องสั่งการให้ปลัดกระทรวงมหาดไทย หรือข้าราชการระดับสูงที่เกี่ยวข้องกับ กทม.เข้าไปดูแลและดำเนินการต่อ
อันนี้ “ไม่ปลดก็เหมือนปลด” ถูกลดอำนาจลงให้ฝ่ายข้าราชการประจำลงไปดูแลแทนเสียอย่างนั้น
ส่วน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ยื่นคำขาดว่า ถ้าต่อไปน้ำท่วมไม่เกิน 60 ซม.จะต้องดำเนินการแก้ไขระบายรถให้ได้ทันภายในหนึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมงครึ่ง หากฝนตกในช่วงเวลากลางคืน น้ำจะต้องแห้งก่อนเวลา 05.00 น. หากพื้นที่ใดไม่แห้ง เจ้าหน้าที่ตำรวจจะปิดถนนดังกล่าวเพื่อเร่งระบายน้ำ พร้อมแจ้งประชาชนให้หลีกเลี่ยงเส้นทาง
เรียกว่าทุกคนวางแผนการรับมือแบบมองข้ามท่านผู้ว่าฯ กทม.กันไปหมดเลย
เสียงตอบรับจากพรรคประชาธิปัตย์ต้นสังกัดเองก็ไม่ดีเท่าไร ในเมื่อหัวหน้าพรรค นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เองก็ออกมายอมรับว่าเรื่องนี้ทำให้กระทบกระเทือนต่อฐานเสียงชาว กทม. มากพอสมควร ซึ่งการจะให้คุณชายลงสมัครผู้ว่าฯ กทม. ต่อไปอีกสมัยหรือไม่คงต้องพิจารณากันให้รอบคอบ
แต่เราๆ ท่านๆ คงพอรู้ว่าคุณชายคงจะพอแล้วแค่สมัยนี้แหละ
รวมถึงอนาคตทางการเมืองต่อไปของท่านก็อาจจะหายลาไปจากวงการอย่างเงียบๆ.