xs
xsm
sm
md
lg

กฎอัยการศึกถูกลองของ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: พระบาท นามเมือง

หลังจากที่สหรัฐฯ ได้แสดงท่าทีเข้ามายุ่งเกี่ยวกับกิจการภายใน คือการเสนอให้รัฐบาลไทยยกเลิกกฎอัยการศึก ก็นำมาซึ่งปฏิกิริยาโต้ตอบแบบ “อุณหภูมิสูง” จากคนไทยและรัฐบาลไทย

เริ่มจากการตอบโต้ทางการทูตด้วยการเรียกอุปทูตสหรัฐอเมริกาเข้าพบปรับความเข้าใจ แม้ไม่ใช่การประท้วง แต่ด้วยข้อความที่ชัดเจนแข็งกร้าวก็แสดงออกได้ถึงความรู้สึกแทนตัวแทนประเทศไทยและคนไทยได้ในระดับหนึ่ง

หรือท่าทีของคนไทยทั่วไปที่ปรากฏตามโซเชียลมีเดียและวงคุยในสภากาแฟ ก็ต่างแสดงความไม่พอใจถึงกับพูดกันบน ว่า เราคนไทยจะแบนสินค้ากันไหม แต่กระนั้นเพราะเป็นการโพสต์บน Facebook ที่เป็นโซเชียลมีเดียสัญชาติอเมริกัน เลยกลายเหมือนเป็นเพียงเรื่องพูดกันขำๆ เท่านั้นเอง

ส่วนท่าทีของนายกฯ ก็ปรากฏว่าอุณหภูมิการเมืองและท่าทีของสหรัฐฯ จะสร้างความเคร่งเครียดให้แก่ท่านได้เป็นอย่างยิ่ง สังเกตได้จากการให้สัมภาษณ์เมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้วด้วยวาจาอันดุเดือด แม้จะเป็นธรรมดาธรรมชาติ แต่ก็ถือว่าเพิ่มขีดความ “แรง” ทางถ้อยคำขึ้นไปมาก

รวมถึงการดำเนินมาตรการเด็ดขาดกับบรรดา “ขาประจำ” นักวิจารณ์รัฐบาลที่เป็นเครือข่ายรัฐบาลเก่า ก็มีการจับไปปรับทัศนคติแบบ Recheck กันอีกรอบ เรียกว่าสถานการณ์ทางการเมืองร้อนแรงขึ้นมาอีกครั้ง

แต่ที่แรงและดังจริงๆ ก็เห็นจะเป็นเหตุวางระเบิดบริเวณทางเชื่อมห้างสยามพารากอนกับสถานีรถไฟฟ้า BTS ในช่วงหัวค่ำของวันอาทิตย์ที่ผ่านมา

ในตอนแรกที่มีการออกข่าวมา กระแสตอนแรกยังเข้าใจว่าเป็นเรื่องหม้อแปลงระเบิด แต่ต่อมาเมื่อมีการสำรวจพื้นที่ มีผู้อยู่ในเหตุการณ์ถ่ายรูปโพสต์ขึ้นโซเชียล ก็ปรากฏภาพของสะเก็ดระเบิดตะปู และเศษซากของอุปกรณ์จุดระเบิด

เรื่องก็ชัดเจนขึ้นมาทันทีว่า นี่คือเรื่องวางระเบิดโดยฝีมือของใครสักคนในมุมมืด ซึ่งเป็นการกระทำที่อุกอาจ เพราะเป็นช่วงที่มีผู้สัญจรอยู่ และเป็นเวลาที่ยังมีคนเที่ยวห้าง โชคดีว่าไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต

ในตอนแรกการข่าวยังสับสน ไม่แน่ใจว่าเป็นฝ่ายไหนก็ได้ ฝ่ายของพวกไม่เอากฎอัยการศึก ก็เชื่อว่าเป็นฝีมือการสร้างสถานการณ์ของพวกที่อยากให้คงกฎอัยการศึกเอาไว้ เพื่อจะได้มีข้ออ้างต่อต่างชาติว่าสถานการณ์ในประเทศยังไม่นิ่ง

แต่บางส่วนก็เชื่อว่านี่เป็นการลองของเพื่อสร้างสถานการณ์เย้ยฝ่ายรัฐว่า ขนาดมีกฎอัยการศึกยังทำอะไรฝ่ายตนไม่ได้เลย สามารถก่อเหตุร้ายกันได้กลางเมือง ในย่านการค้า ในจุดต่อรถไฟฟ้าที่มีผู้ใช้บริการมากที่สุด

หรือแม้แต่นักเรียนสถาบันอาชีวะชื่อดังในย่านนั้นก็ยังไม่ถูกตัดออกไป เพราะสถานการณ์ที่สับสนจนไม่อาจตัดใครออกจากตัวเลือกผู้ต้องสงสัยได้

ยังไม่ทันที่ข่าวเสียงระเบิดจะซา ก็ปรากฏว่ามีการนำข้อความเท็จอันมิบังควรปลอมเป็นแถลงการณ์เผยแพร่ผ่านเครือข่ายโซเชียลเน็ตเวิร์กอย่างไฟลามทุ่งสร้างความแตกตื่นตกใจไปทั่วในช่วงคืนนั้น ก่อนที่จะตรวจสอบพบว่าเป็นความเท็จ เอกสารปลอม

นับว่าเป็นความบังอาจอย่างรุนแรงที่สุดของ “แก๊งหมิ่น” ที่ผ่านมา แม้จะดำเนินการกันในทางลับ ผ่านข่าวซุบซิบนินทา ข่าวลือ หรือการแซะการเสียดสีกันอยู่ในวงของบรรดาชาวคอเดียวกัน และพวกนักวิชาการบางสาย แต่ถึงขนาดการกระจายข่าวลวงออกมาสู่สังคมวงกว้างขนาดนี้เพิ่งมีเป็นครั้งแรก

จึงถือได้ว่าเป็นครั้งที่อุกอาจสั่นสะเทือนที่สุด ซึ่งในที่สุดทางฝ่ายสืบสวนก็ได้แกะรอยจนกระทั่งจับตัวคนที่เผยแพร่เป็นคนแรกๆ ก่อนกระจายออกไปได้ ซึ่งเป็นนักดนตรีที่ใกล้ชิดกับเครือข่าย นปช.มีตำแหน่งเป็นถึงผู้ช่วย นปช.ประจำจังหวัดเพชรบูรณ์

จากการสืบสาวพบว่า ผู้ต้องหาค่อนข้างมีความผูกพันใกล้ชิดกับเครือข่ายเสื้อแดงระดับตัวหัว เช่น พบรูปถ่ายกับ “ตัวพ่อ” คือทักษิณ และตัวใหญ่ๆ ที่น่าสนใจ เช่น นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ผู้ก่อตั้งและเลขาธิการองค์การเสรีไทยซึ่งอ้างว่าเพื่อต่อต้านเผด็จการซึ่งมีที่ตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกา และพ.อ.ดร.อภิวันท์ วิริยะชัย หรือ “รองโรมานอฟ” ที่ล่วงลับไปแล้ว

ตอกย้ำความเชื่อและคำพูดอมตะที่ว่า “คนเสื้อแดงทุกคนอาจจะไม่ได้ล้มเจ้า แต่คนล้มเจ้าทุกคนเป็นพวกเสื้อแดง”

สองข่าว ในสองวัน หลังจากหนึ่งสัปดาห์ของการถอดถอนอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรสื่อแสดงต่อสังคมว่า พวกเสื้อแดงและเครือข่ายแดงทั้งแผ่นดินนั้น อยู่ในสภาพ “แกล้งตาย”

และแม้มีกฎอัยการศึกที่ให้อำนาจฝ่ายทางการทหารสามารถควบคุมสถานการณ์ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเช่นในภาวะสงคราม แต่พวกลองของก็ยังเล็ดรอดออกมากระทำการอุกอาจได้ ราวกับเป็นการเย้ย ว่าพวกเขาสามารถก่อวินาศกรรมได้ ทั้งในเชิงกายภาพเป็นรูปธรรม และการก่อวินาศกรรมเชิงข่าวสาร

หรือแม้แต่เรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการเมือง แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความเหิมเกริมไม่เกรงกฎอัยการศึก เช่น กรณีแก๊งวัยรุ่นดักปล้นนิสิตจุฬาฯ ในช่วงค่ำ จนทางมหาวิทยาลัยต้องออกประกาศเตือนในช่วงที่สัปดาห์ก่อน

ในที่สุดแก๊งดังกล่าวถูกตำรวจจับได้ แต่ก็แสดงให้เห็นว่า เมื่อเวลาผ่านไป การมีกฎอัยการศึก แต่ชีวิตของคนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้พัวพันเกี่ยวข้องกับการเมืองก็ไม่ได้มีผลกระทบอะไรนัก จนอาจกล่าวได้อีกทางว่า แม้แต่พวกลักวิ่งชิงปล้นก็ยังไม่กลัวกฎอัยการศึก

ดูแล้วรัฐบาลคงไม่ยกเลิกกฎอัยการศึกในเร็วๆ นี้แน่ แม้จะมีการแย้มท่าทีออกมาว่าจะมีการลองหาทางเขียนกฎหมายขึ้นใหม่เพื่อควบคุมสถานการณ์ใช้แทนกฎอัยการศึกนี้ก็ตาม แต่เสียงระเบิดเมื่อวันอาทิตย์ และสงครามข่าวสารในวันจันทร์ คงบอกเราได้ว่าโครงการยกเลิกกฎอัยการศึกที่ฝ่ายกฎหมาย คสช.ออกมาเปิดเผยว่าเพิ่งเป็นวุ้นอยู่นั้น คงแท้งไปเรียบร้อยแล้ว

อย่างน้อยก็จนกว่าจะมีการควบคุมสถานการณ์ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดตลอดเวลาจนกว่าที่ฝ่ายทหารจะวางมือจากอำนาจและจัดให้มีการเลือกตั้งได้ตามรัฐธรรมนูญใหม่เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว

แต่ก่อนหน้านั้น ก็ไม่รู้ว่าจะมีการลองของประลองกำลังอะไรกันอีกหรือเปล่า.
กำลังโหลดความคิดเห็น