พูดถึง "ญี่ปุ่น" คงเป็นประเทศหนึ่งที่หลายคนไฝ่ฝันจะต้องไปเยือนให้ได้สักครั้งในชีวิต บางคนหวังจะไปกิน บ้างก็หวังจะไปช้อปปิ้่ง หรือ ได้สัมผัสอากาศเย็นๆ เล่นเครื่องเล่น เห็นเทคโนโลยีใหม่ๆ ให้เป็นบุญตา ....
แต่เอาเข้าจริงญี่ปุ่นไม่ใช่ประเทศในฝันของผมนะ ถ้าไปได้ก็ดี ไม่ไปก็ไม่เป็นไร จนเมื่อมันมีโอกาสจากโปรโมชั่นของสายการบินที่ชื่อไทยแอร์เอเชียเอ็กซ์ ออกโปรโมชั่นตั๋วบินในราคาถูก นั่นจึงทำให้การเดินทางของผมในครั้งนี้ได้เริ่มต้นขึ้น .... จะว่าไปมันก็เหมือนกับแผนการ ๑ ในปีนี้ ที่เมื่อช่วงต้นปีผมตัดสินใจไปมาเลเซียเพราะเชื่อมั่นว่าในปลายปีจะได้ออกไปชมโลกเอเชียตะวันออก ... และก็เป็นดังที่คาด
ด้วยความที่ไม่รู้เรื่องอะไรมากมายเกี่ยวกับประเทศนี้ นอกจากวัด อาหาร การ์ตูน เพลง และภาพยนต์สำหรับผู้ใหญ่อย่างละนิดละหน่อย ผมจึงเลือกเดินทางในเส้นทาง ไปลงสนามบินนาริตะ กลับสนามบินคันไซ เพราะเวลาไปและกลับมันดีมากๆ โดยที่เพิ่งมารู้ในภายหลังกดจองโปรโมชั่นเรียบร้อยแล้วว่า ๒ สนามบินนี้ มันอยู่ข้ามภาคกันเลย - -“ ... แล้วคือ ยังไงล่ะ จองไปแล้วนิ
ถ้านับจากวันจองก็เป็นเวลา ๓ เดือนเต็มในการค้นหาข้อมูลต่างๆ สถานที่ท่องเที่ยว อาหาร การเดินทางภายในประเทศ ซึ่งก็ได้รับข้อมูลจากทั้งพี่กุ้ง พี่นก เฮียแมว และพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ที่ไม่ได้เอ่ยนาม จนไปถึงเว็บไซต์แฟนเพจต่างๆ อย่าง ไม่ใช่กรูรู แต่กรูรู้ ของถูกในโตเกียว , Osaka Convention & Tourism Bureau , เที่ยวญี่ปุ่นดอทคอม ,redlovetree ,BeamSensei ,เกตุวดี และที่สำคัญคือแอดมินเพจ marumura และเจ้าหน้าที่องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวญี่ปุ่นแห่งประเทศไทย ในงานท่องเที่ยวญี่ปุ่นที่พารากอนเมื่อกลางเดือนพฤศจิกายน ที่ได้ตอบคำถามไร้สาระของผมในหลายๆ เรื่อง ขอขอบคุณจากใจจริง อะริกะโตะ โกะไซมัส
จนในที่สุดก็ได้แผนเดินทางการท่องเที่ยวขึ้นมา ๑ ฉบับ แบบเชื่อมั่นว่า ไม่หลงแน่นอน !!
ก่อนอื่นเรามารู้จักญี่ปุ่นแบบคร่าวๆ กันก่อนครับ แน่นอนว่า เป็นประเทศที่เจริญน่าจะที่สุดในภูมิภาค มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน มีการปกครองประชาธิปไตยแบบรัฐสภา และสมเด็จพระจักรพรรดิ์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ทรงเป็นเพียงสัญลักษณ์แห่งรัฐและความสามัคคีของประชาชน มิได้เป็นประมุขแห่งรัฐ เหมือนบ้านเรา ประเทศเขาแบ่งออกเป็น ๘ ภูมิภาคตามลักษณะวัฒนธรรม รวมทั้งหมด ๔๗ จังหวัด ภูมิศาสตร์ส่วนใหญ่มีภูเขา สภาพอากาศมี ๔ ฤดูกาล ใบไม้ผลิ ,ร้อน ,ใบไม้ร่วง และหนาว ไม่เหมือนกับสยามที่มีแค่ ๓ ฤดู คือ ร้อน, ร้อนมาก และร้อนที่สุด ...
เวลาในการเดินทางคืนนี้อยู่ที่ ๒๓.๔๕ น. เครื่องบินจะใช้เวลา ๖ ชั่วโมง ที่ญี่ปุ่นจะเร็วกว่าบ้านเรา ๒ ชั่วโมง ก็น่าจะสัก ๘ โมงเช้าคงถึงที่หมาย ผมมาถึงที่สนามบินดอนเมืองก่อนเครื่องขึ้นราว ๒ ชั่วโมง พร้อมกับผู้ร่วมชะตากรรมชาวไทยหลายร้อย ด้วยความตื่นเต้นอย่างยิ่ง พอถึงเวลาบินจริงจึงนอนไม่หลับตามคาด และก็เป็นเรื่องขึ้นในเวลาต่อมา ....
และการเดินทางของผม ก็จะเริ่มต้น ณ บัดนี้ ....
(บทความต่อไปนี้ ไม่ใช่การรีวิว ,ไกด์บุ๊ก หรือ กูรู เป็นเพียงการเล่าประสบการณ์ในสิ่งที่เห็นและสัมผัส หากท่านผู้อ่านมีข้อมูลเสริมสามารถร่วมกันแชร์ได้ผ่านช่องทางแสดงความคิดเห็นด้านล่าง และร่วมเดินทางไปด้วยกัน)
๒๖พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ท่าอากาศยานนานาชาตินาริตะ จ.จิบะ ประเทศญี่ปุ่น
แสงสนธยาบ่งบอกเวลารุ่งสางจากท้องฟ้าส่องมาทางหน้าต่างเครื่องบินแสดงถึงนาฬิกาธรรมชาติที่บอกเวลาว่าเช้าแล้วนะ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้เห็นมันกลางเวหา กัปตันแจ้งเตือนว่ากำลังจะเข้าสู่ท่าอากาศยานในไม่ช้าก่อนเวลาปกติถึง ๑ ชั่วโมง และขณะนี้ฝนกำลังตก พูดถึงเครื่องบินลำนี้มีแอร์โฮสเตสนามแฝงทรายสีเพลิง เป็นหัวหน้าแอร์ เธอพยายามปล่อยมุขให้คนไทยรู้สึกผ่อนคลายในระหว่างแจ้งประกาศเสียงตามสาย ผมเองไม่เคยเจอก็แปลกใจ ก็ดีนะ แต่ไอ้ที่ไม่ดีคือฝนเนี่ยล่ะ ผมทราบมาจากพยากรณ์อากาศของเว็บไซต์ญี่ปุ่นว่า พระพิรุณจะสำแดงเดช และมันก็โคตรแม่นจริงๆ เมื่อเข้าสู่สนามบิน ก็เห็นร่องร่อยมวลน้ำฝนพัดพา จนคิดในใจว่า วันนี้ได้เจอของดีแล้ว ....
เมื่อผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองเสร็จก็เข้าสู่สนามประลองความท้าทายแห่งชีวิต ที่น่าจะสนุกไม่น้อยในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่...อย่างแรกผมต้องไปหาซื้อตั๋วที่ชื่อว่า “Tokyo Subway 2 days” ที่เคาน์เตอร์ขายตั๋วในสนามบิน ตั๋วนี้ดีอย่างไร คือมันทำให้เราขึ้นลงรถไฟใต้ดินทั้งยี่ห้อโตเกียวเมโทร และโตเอย์ เท่าไหร่ก็ได้ภายในเวลาที่กำหนด และต้องใช้ติดต่อกัน ในราคาเพียง ๑,๒๐๐ เยน แต่ตั๋วนี้มีขายแค่ในสนามบินเท่านั้น พอเสร็จสรรพก็ได้เวลาเดินทาง
*ครั้งแรกกับรถไฟฉบับนิฮง
ตามปกติแล้วนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักใช้การเดินทางโดยรถไฟพิเศษที่วิ่งตรงจากสนามบินเข้าสู่เมือง ทั้ง เคย์เซย์ สกายไลเนอร์ (Keisei Skyliner) ,เจอาร์นาริตะเอ็กเพรส (N’EX) หรือ รถบัส แต่ผมเน้นถูกไว้ก่อน เลยนั่งรถไฟสาย เคย์เซย์ ธรรมดา คันนี้สามารถเข้าไปถึงในกรุงโตเกียว ที่สถานีอุเอะโนะ (Ueno) แต่ผมลงที่สถานี ฟุนะบะชิ (Funabashi) เพราะจุดหมายของผมไม่ได้อยู่แถวปลายทางของรถไฟครับ ชานชาลารถไฟอยู่ชั้นล่างผมต้องไปซื้อตั๋วที่เครื่องจำหน่ายอัตโนมัติ หน้าตาประมาณเครื่องในรถไฟฟ้าใต้ดินบ้านเรา แต่เล็กและยิบย่อยกว่า ไม่มีเส้นทางบอกมีแต่คุณสมบัติของตั๋วกับราคาให้เลือก เวลาจะซื้อก็ต้องไปดูแผนที่ของเส้นทางรถไฟบนป้ายเหนือตู้ก่อน ซึ่งมันจะบอกราคาเอาไว้ว่า อย่างของผมไปลงฟุนะบะชิ ก็ราคา ๗๔๐ เยน ดูเสร็จปั๊บก็กดซื้อ ไม่ยาก แต่งง ...
เสร็จแล้วก็ไปรอรถไฟที่ชานชาลา ซึ่งตรงนี้ก็จะมีป้ายไฟดิจิตอลบอกว่ารถไฟคันไหนกำลังจะมาในอีกกี่นาที ส่วนภายในรถไฟก็จะมีป้ายดิจิตอลบอกว่าสถานีหน้าอยู่ที่ใดเช่นกัน รถขับมาค่อนข้างเร็วครับ จนถึงจุดหมายในเวลาไม่นานมากนัก แต่ผมต้องเดินออกมาขึ้นที่สถานีเจอาร์ ฟุนะบะชิ ซึ่งมีห้างกั้นอยู่กลางระหว่าง ๒ สถานีนี้ แน่นอนก็ต้องใช้เครื่องอัตโนมัติซื้อตั๋ว จุดหมายของผมคือสถานีบะกุโระโจ (Bakurocho) ในแผนคือต้องไปขึ้นรถสายโซะบุ (Sobu) เหตุสนุกมันอยู่ตรงนี้ล่ะครับ ... ไอ้สายนี้เนี่ย มันมี ๒ สี คือ สีเหลือง กับ สีน้ำเงินและสถานีนี้มันก็จอดทั้ง ๒ สี แต่คนละชานชาลา ปัญหาคือ ผมไม่ได้เขียนไว้ว่ามันต้องไปสีไหน ...
ผมเลือกมาที่ชานชาลาสีเหลือง เพราะมันเขียนว่าไปอาซะกุสะบะชิ สถานีนี้ก็ใกล้ที่พัก พอโดดขึ้นปุ๊ป จู่ๆ ก็เริ่มไม่มั่นใจ รุดไปยืนดูแผนที่สายรถไฟในขบวน อ้าวเฮ้ย มันไม่ผ่านนี่หว่า ก็รีบวิ่งออกมาจากขบวนได้อย่างเฉียดฉิว แล้วเดินไปขึ้นที่สายสีน้ำเงินแทน ...
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เวลาทำแผนที่รถไฟที่นี่ให้เน้นที่สีอย่าเน้นชื่อ ...
ไปๆ มาๆ ผมถึงที่พักโฮสเทลที่ชื่อ “ข้าวสาร โตเกียว นินจา” (Khaosan Tokyo Ninja) เกือบ ๑๑ โมงได้ ว่าแต่เอ๊ะ ของคนไทยเหรอ ... ไม่ใช่ครับ แต่เห็นเขาว่าเจ้าของชอบตรอกข้าวสารเลยเอามาใช้เป็นชื่อ แต่เรามาเร็วเกินไป ทำให้ไม่สามารถเช็กอินได้ จึงต้องฝากกระเป๋าแล้วออกเดินเที่ยวต่อ ... ด้วยสภาพอากาศกับสภาพชีวิตตอนนี้ เรื่องนึงที่ผมไม่เคยคิดเลยว่ามันโหดร้าย นั่นคือฝนครับ ด้วยอากาศที่อยู่ราว ๑๐ กว่าองศา ผสมกับละอองน้ำที่พัดพามาถูกตัวนี่ทำเอาผมหนาวสั่นปรับสภาพไม่ทัน บวกกับร่างกายอ่อนเพลีย และในท้องดันมีแก๊สอัดแน่นเกินพิกัด แม้จะอัดยาเข้าไปก็ยังไม่ดีเท่าไหร่ โอ้.... นี่มันหนังชีวิตชัดๆ
แต่ไหนๆ มาถึงแล้ว ก็เดินมันตามแผนนั่นล่ะ!!
*เข้าร้านอาหารญี่ปุ่นครั้งแรก
ตามโปรแกรมที่วางไว้อย่างแรกเมื่อมาถึงคือกิน “บุฟเฟ่ต์อาหารญี่ปุ่น” ครับ ร้านนี้ชื่อเป็นภาษาญี่ปุ่นแน่นอนว่า ผมแปลไม่ออก แต่ถ้าเอาตามชื่อเว็บไซต์ของร้านก็คือ ไทโคะจาย่ะ (Taikochaya) อยู่บนถนนยาสุกุนิ (Yasukuni Dori) เปิด ๒ เวลาคือมื้อเที่ยงและมื้อเย็น ซึ่งมื้อกลางวันนี้จะเป็นบุฟเฟ่ต์ หรือที่นี่จะเรียกว่า ไวกิ้ง เริ่มตั้งแต่เวลา ๑๑.๓๐ - ๑๔.๐๐ น.ในราคา ๑,๑๐๐ เยน หรือ ๓๓๐ บาท (ตามเรตราคาที่ผมแลกไป) ที่เจอร้านนี้ก็เพราะได้ลายแทงจากแฟนเพจของไทยสักที่ (จำไม่ได้จริงๆ ขออภัย)
เข้าไปภายในนี่ทำเอาผมอึ้งไปชั่วขณะ ... เขาแทบจะพูดอังกฤษกันไม่ได้เลย ก็ต้องค่อยๆ อธิบายเป็นภาษามือและร่างกายกัน สรุปก็คือ ให้จ่ายตังค์ก่อนครับ จากนั้นเขาจะพาเราไปที่โต๊ะ ซึ่งมีถาดสี่เหลี่ยมพร้อมจานหลุมและตะเกียบวางไว้ ให้เราเอาจานเดินไปตักอาหาร ซึ่งไลน์อาหารแน่นอน มันต้องมีปลาดิบ!! เป็นทูน่าสดหั่นชิ้นเป๊งๆ วางบนน้ำแข็งให้เลือกคีบได้ตามแต่จะกินให้หมด นอกจากนั้นก็มีแบบเผาไฟนิดๆ ให้ด้านนอกสุก มีแบบหมักซอส และต้มซีอิ๊ว อย่างอื่นก็มีปูอัด ปลาข้าวสาร สาหร่ายเส้นเล็ก อันนี้ผมพลาด คิดว่ามันคือยำสาหร่ายแบบที่เคยกิน พอชิมไปคำแรก .. ผมนี่น้ำตาจะไหล มันคือสาหร่ายสดไม่ปรุงอะไรเลย มันหยึยๆ รสเฝื่อนๆ มาก
ส่วนอย่างอื่นก็มีข้าวสวย ซุปมิโสะ ผัดเส้นอะไรสักอย่าง (อันนี้ไม่ได้ทาน) ผัดผัก สลัด แล้วก็พวกเครื่องแก้เลี่ยนเช่น ขิงดอง วาซาบิ สาหร่ายซองแบบที่กินเล่น งาข้าว และมีน้ำเปล่าให้ไปกดทั้งร้อนและเย็น ที่ร้านยิ่งใกล้เที่ยงคนยิ่งเยอะ ส่วนใหญ่เป็นชาวออฟฟิศ และกรุ๊ปทัวร์ พวกญี่ปุ่นเนี่ยล่ะครับ ไม่ใช่คนชาติอื่น มากินกัน น่าเสียดายที่ผมทานได้ไม่มาก เพราะสภาพท้องที่เริ่มจะบวมขึ้นเรื่อยๆ จากลมที่อัดแน่นภายใน จึงต้องขอลา ... แต่เดี๋ยวก่อน จะลุกไปเลยก็คงไม่ใช่แน่ๆ ผมสังเกตุคนแถวนั้นจะตักอาหารทานพอประมาณและกินให้หมดก่อนจบมื้ออาหาร นั่นทำให้ผมต้องกินในสิ่งที่เหลือให้จบ ก่อนลุกนำถาดไปวางไว้ในที่เก็บจานด้วย .... เป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำอย่างดี
*จองตั๋ว บขส.ตีรถนอนข้ามเมือง
ภารกิจที่ ๒ ของผมจะต้องไปยังสถานีรถไฟโตเกียว เพื่อซื้อตั๋วรถทัวร์ข้ามไปยังฝั่งคันไซ เอาจริงๆ การเดินทางข้ามภูมิภาคสามารถทำได้หลายทาง เร็วสุดก็รถไฟความเร็วสูงชิงกันเซ็ง ใช้เวลาราว ๒ ชั่วโมงก็ถึงจุดหมาย แต่โดยรวมแล้วราคาเกือบ ๔ พันบาท ง่ายกว่านั้นก็นั่งเครื่องบิน ซึ่งก่อนมาผมก็เหล่ๆ สายการบิน พีชแอร์ไลน์เอาไว้ ราคาตอนที่ดูน่าจะไม่ถึงพันบาท แต่ต้องไปขึ้นที่สนามบินนาริตะ และต้องใช้เวลาโน้นนี่นั่นก็พอๆ กับนั่งชิงกันเซ็ง ผมคนงบน้อย เบี้ยน้อย จึงเลือกอีกทางคือนั่งรถทัวร์ตีตั๋วนอน ตอนแรกจะจองรถเอกชนยี่ห้อ วิลเลอร์ เอ็กซ์เพรส (Willer Express) เจ้านี้ขายตั๋วแค่ในเว็บไซต์เท่านั้น แต่พอถามแอดมินแฟนเพจมารุมุรา แกแนะนำให้ผมขึ้นของ เจอาร์บัส ด้วยคำที่ว่า "บริการแบบญี่ปุ่น" นั่นล่ะครับ จึงตัดสินใจลองทันที
ซึ่งที่ขายตั๋ว “เจอาร์ เอ็กซ์เพรส บัส” หรือ บขส. (ขออนุญาติใช้คำนี้) อยู่ตรงทางออก Yaesu South ของสถานี น่าจะมีที่นี่ที่เดียวด้วย เพราะเป็นจุดขึ้นรถ แต่เหมือนว่าคนที่นี่จะไม่ค่อยนิยมการเดินทางแบบนี้ เลยไม่ได้มีสถานีใหญ่ๆ เหมือนอย่างบ้านเรา ผมเดินไปที่เคาน์เตอร์ขอซื้อตั๋วบอกจุดหมายและวันที่จะเดินทาง เขาก็แนะนำรถต่างๆ ที่จำได้คือมีแบบ ๔ ที่นั่ง ๓ ที่นั่ง ราคาแพงพอๆ กัน ผมกะว่าจะเน้นนอนเลยเลือกแบบ ๓ ที่นั่ง เป็นรถ Premium Dream 329 ขอดูราคา โอ้ ... ๘,๔๐๐ เยน ทำไมแพงจังวะ?? แต่ก็ตัดใจจอง เพราะคิดเสียว่าซื้อค่ารถบวกที่นอน
จบเรื่องตั๋ว ก็เดินตามโปรแกรมต่อ ข้างนอกวันนี้ช่างหนาวเหน็บ แถมมีฝนโปรยปรายลงแรงบ้าง หนักบ้าง เป็นจังหวะ ผมไม่คุ้นชินกับชีวิตตอนนี้จริงๆ ผมเดินวนไป วนมาสักพัก แล้วก็ตัดสินใจมุ่งหน้าไปยังด้านหน้าของสถานี เพื่อทะลุไปยัง ”พระราชวังอิมพีเรียล” จุดหมายถัดไป ยิ่งเดินยิ่งรู้สึกถึงสภาวะร่างกายอันผิดเพี้ยน แต่ผมก็ฝืนมันจนมาถึงด้านหน้าของ ”สถานีรถไฟโตเกียว” ซึ่งเป็นอาคารโบราณ เชื่อหรือไม่ว่า ที่นี่มีอายุ ๑๐๐ ปี พอดีในปีนี้ เพราะได้เปิดใช้งานเมื่อ ๒๐ ธันวาคม ๒๔๕๗ เป็นตึก ๓ ชั้น ออกแบบโดย ทัตสึโนะ คิงโงะ (Tatsuno Kingo) ถือเป็นอีก ๑ แลนด์มาร์กของโตเกียวเลยทีเดียว
ปัจจุบันบางส่วนของอาคารถูกใช้เป็นโรงแรม โซนที่ผมเดินมานี่เป็นโดมด้านเหนือมองเงยขึ้นไปจะเห็นการตกแต่งภายในสีครีมอ่อนมีรูปปั้นนกพิราบอยู่แต่ละมุม เรียกได้ว่าใครมาเห็นก็ต้องยกกล้องถ่ายชื่นชม ผมก็เช่นกัน ก่อนจะเดินออกไปด้านนอกตัวอาคาร ใจคิดจะฝ่าออกไปให้ถึงที่หมาย แต่ร่างกายวันนี้สู้ความหนาวไม่ไหวจริงๆ จึงกลับมาตั้งหลัก คิดๆๆๆ จนสุดท้ายยอมแพ้ ขอถอยดีกว่า ....
โถ....ชีวิตไอ้คุณดรงค์..............................................
(อ่านต่อฉบับหน้า...)
แต่เอาเข้าจริงญี่ปุ่นไม่ใช่ประเทศในฝันของผมนะ ถ้าไปได้ก็ดี ไม่ไปก็ไม่เป็นไร จนเมื่อมันมีโอกาสจากโปรโมชั่นของสายการบินที่ชื่อไทยแอร์เอเชียเอ็กซ์ ออกโปรโมชั่นตั๋วบินในราคาถูก นั่นจึงทำให้การเดินทางของผมในครั้งนี้ได้เริ่มต้นขึ้น .... จะว่าไปมันก็เหมือนกับแผนการ ๑ ในปีนี้ ที่เมื่อช่วงต้นปีผมตัดสินใจไปมาเลเซียเพราะเชื่อมั่นว่าในปลายปีจะได้ออกไปชมโลกเอเชียตะวันออก ... และก็เป็นดังที่คาด
ด้วยความที่ไม่รู้เรื่องอะไรมากมายเกี่ยวกับประเทศนี้ นอกจากวัด อาหาร การ์ตูน เพลง และภาพยนต์สำหรับผู้ใหญ่อย่างละนิดละหน่อย ผมจึงเลือกเดินทางในเส้นทาง ไปลงสนามบินนาริตะ กลับสนามบินคันไซ เพราะเวลาไปและกลับมันดีมากๆ โดยที่เพิ่งมารู้ในภายหลังกดจองโปรโมชั่นเรียบร้อยแล้วว่า ๒ สนามบินนี้ มันอยู่ข้ามภาคกันเลย - -“ ... แล้วคือ ยังไงล่ะ จองไปแล้วนิ
ถ้านับจากวันจองก็เป็นเวลา ๓ เดือนเต็มในการค้นหาข้อมูลต่างๆ สถานที่ท่องเที่ยว อาหาร การเดินทางภายในประเทศ ซึ่งก็ได้รับข้อมูลจากทั้งพี่กุ้ง พี่นก เฮียแมว และพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ที่ไม่ได้เอ่ยนาม จนไปถึงเว็บไซต์แฟนเพจต่างๆ อย่าง ไม่ใช่กรูรู แต่กรูรู้ ของถูกในโตเกียว , Osaka Convention & Tourism Bureau , เที่ยวญี่ปุ่นดอทคอม ,redlovetree ,BeamSensei ,เกตุวดี และที่สำคัญคือแอดมินเพจ marumura และเจ้าหน้าที่องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวญี่ปุ่นแห่งประเทศไทย ในงานท่องเที่ยวญี่ปุ่นที่พารากอนเมื่อกลางเดือนพฤศจิกายน ที่ได้ตอบคำถามไร้สาระของผมในหลายๆ เรื่อง ขอขอบคุณจากใจจริง อะริกะโตะ โกะไซมัส
จนในที่สุดก็ได้แผนเดินทางการท่องเที่ยวขึ้นมา ๑ ฉบับ แบบเชื่อมั่นว่า ไม่หลงแน่นอน !!
ก่อนอื่นเรามารู้จักญี่ปุ่นแบบคร่าวๆ กันก่อนครับ แน่นอนว่า เป็นประเทศที่เจริญน่าจะที่สุดในภูมิภาค มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน มีการปกครองประชาธิปไตยแบบรัฐสภา และสมเด็จพระจักรพรรดิ์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ทรงเป็นเพียงสัญลักษณ์แห่งรัฐและความสามัคคีของประชาชน มิได้เป็นประมุขแห่งรัฐ เหมือนบ้านเรา ประเทศเขาแบ่งออกเป็น ๘ ภูมิภาคตามลักษณะวัฒนธรรม รวมทั้งหมด ๔๗ จังหวัด ภูมิศาสตร์ส่วนใหญ่มีภูเขา สภาพอากาศมี ๔ ฤดูกาล ใบไม้ผลิ ,ร้อน ,ใบไม้ร่วง และหนาว ไม่เหมือนกับสยามที่มีแค่ ๓ ฤดู คือ ร้อน, ร้อนมาก และร้อนที่สุด ...
เวลาในการเดินทางคืนนี้อยู่ที่ ๒๓.๔๕ น. เครื่องบินจะใช้เวลา ๖ ชั่วโมง ที่ญี่ปุ่นจะเร็วกว่าบ้านเรา ๒ ชั่วโมง ก็น่าจะสัก ๘ โมงเช้าคงถึงที่หมาย ผมมาถึงที่สนามบินดอนเมืองก่อนเครื่องขึ้นราว ๒ ชั่วโมง พร้อมกับผู้ร่วมชะตากรรมชาวไทยหลายร้อย ด้วยความตื่นเต้นอย่างยิ่ง พอถึงเวลาบินจริงจึงนอนไม่หลับตามคาด และก็เป็นเรื่องขึ้นในเวลาต่อมา ....
และการเดินทางของผม ก็จะเริ่มต้น ณ บัดนี้ ....
(บทความต่อไปนี้ ไม่ใช่การรีวิว ,ไกด์บุ๊ก หรือ กูรู เป็นเพียงการเล่าประสบการณ์ในสิ่งที่เห็นและสัมผัส หากท่านผู้อ่านมีข้อมูลเสริมสามารถร่วมกันแชร์ได้ผ่านช่องทางแสดงความคิดเห็นด้านล่าง และร่วมเดินทางไปด้วยกัน)
๒๖พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ท่าอากาศยานนานาชาตินาริตะ จ.จิบะ ประเทศญี่ปุ่น
แสงสนธยาบ่งบอกเวลารุ่งสางจากท้องฟ้าส่องมาทางหน้าต่างเครื่องบินแสดงถึงนาฬิกาธรรมชาติที่บอกเวลาว่าเช้าแล้วนะ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้เห็นมันกลางเวหา กัปตันแจ้งเตือนว่ากำลังจะเข้าสู่ท่าอากาศยานในไม่ช้าก่อนเวลาปกติถึง ๑ ชั่วโมง และขณะนี้ฝนกำลังตก พูดถึงเครื่องบินลำนี้มีแอร์โฮสเตสนามแฝงทรายสีเพลิง เป็นหัวหน้าแอร์ เธอพยายามปล่อยมุขให้คนไทยรู้สึกผ่อนคลายในระหว่างแจ้งประกาศเสียงตามสาย ผมเองไม่เคยเจอก็แปลกใจ ก็ดีนะ แต่ไอ้ที่ไม่ดีคือฝนเนี่ยล่ะ ผมทราบมาจากพยากรณ์อากาศของเว็บไซต์ญี่ปุ่นว่า พระพิรุณจะสำแดงเดช และมันก็โคตรแม่นจริงๆ เมื่อเข้าสู่สนามบิน ก็เห็นร่องร่อยมวลน้ำฝนพัดพา จนคิดในใจว่า วันนี้ได้เจอของดีแล้ว ....
เมื่อผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองเสร็จก็เข้าสู่สนามประลองความท้าทายแห่งชีวิต ที่น่าจะสนุกไม่น้อยในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่...อย่างแรกผมต้องไปหาซื้อตั๋วที่ชื่อว่า “Tokyo Subway 2 days” ที่เคาน์เตอร์ขายตั๋วในสนามบิน ตั๋วนี้ดีอย่างไร คือมันทำให้เราขึ้นลงรถไฟใต้ดินทั้งยี่ห้อโตเกียวเมโทร และโตเอย์ เท่าไหร่ก็ได้ภายในเวลาที่กำหนด และต้องใช้ติดต่อกัน ในราคาเพียง ๑,๒๐๐ เยน แต่ตั๋วนี้มีขายแค่ในสนามบินเท่านั้น พอเสร็จสรรพก็ได้เวลาเดินทาง
*ครั้งแรกกับรถไฟฉบับนิฮง
ตามปกติแล้วนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักใช้การเดินทางโดยรถไฟพิเศษที่วิ่งตรงจากสนามบินเข้าสู่เมือง ทั้ง เคย์เซย์ สกายไลเนอร์ (Keisei Skyliner) ,เจอาร์นาริตะเอ็กเพรส (N’EX) หรือ รถบัส แต่ผมเน้นถูกไว้ก่อน เลยนั่งรถไฟสาย เคย์เซย์ ธรรมดา คันนี้สามารถเข้าไปถึงในกรุงโตเกียว ที่สถานีอุเอะโนะ (Ueno) แต่ผมลงที่สถานี ฟุนะบะชิ (Funabashi) เพราะจุดหมายของผมไม่ได้อยู่แถวปลายทางของรถไฟครับ ชานชาลารถไฟอยู่ชั้นล่างผมต้องไปซื้อตั๋วที่เครื่องจำหน่ายอัตโนมัติ หน้าตาประมาณเครื่องในรถไฟฟ้าใต้ดินบ้านเรา แต่เล็กและยิบย่อยกว่า ไม่มีเส้นทางบอกมีแต่คุณสมบัติของตั๋วกับราคาให้เลือก เวลาจะซื้อก็ต้องไปดูแผนที่ของเส้นทางรถไฟบนป้ายเหนือตู้ก่อน ซึ่งมันจะบอกราคาเอาไว้ว่า อย่างของผมไปลงฟุนะบะชิ ก็ราคา ๗๔๐ เยน ดูเสร็จปั๊บก็กดซื้อ ไม่ยาก แต่งง ...
เสร็จแล้วก็ไปรอรถไฟที่ชานชาลา ซึ่งตรงนี้ก็จะมีป้ายไฟดิจิตอลบอกว่ารถไฟคันไหนกำลังจะมาในอีกกี่นาที ส่วนภายในรถไฟก็จะมีป้ายดิจิตอลบอกว่าสถานีหน้าอยู่ที่ใดเช่นกัน รถขับมาค่อนข้างเร็วครับ จนถึงจุดหมายในเวลาไม่นานมากนัก แต่ผมต้องเดินออกมาขึ้นที่สถานีเจอาร์ ฟุนะบะชิ ซึ่งมีห้างกั้นอยู่กลางระหว่าง ๒ สถานีนี้ แน่นอนก็ต้องใช้เครื่องอัตโนมัติซื้อตั๋ว จุดหมายของผมคือสถานีบะกุโระโจ (Bakurocho) ในแผนคือต้องไปขึ้นรถสายโซะบุ (Sobu) เหตุสนุกมันอยู่ตรงนี้ล่ะครับ ... ไอ้สายนี้เนี่ย มันมี ๒ สี คือ สีเหลือง กับ สีน้ำเงินและสถานีนี้มันก็จอดทั้ง ๒ สี แต่คนละชานชาลา ปัญหาคือ ผมไม่ได้เขียนไว้ว่ามันต้องไปสีไหน ...
ผมเลือกมาที่ชานชาลาสีเหลือง เพราะมันเขียนว่าไปอาซะกุสะบะชิ สถานีนี้ก็ใกล้ที่พัก พอโดดขึ้นปุ๊ป จู่ๆ ก็เริ่มไม่มั่นใจ รุดไปยืนดูแผนที่สายรถไฟในขบวน อ้าวเฮ้ย มันไม่ผ่านนี่หว่า ก็รีบวิ่งออกมาจากขบวนได้อย่างเฉียดฉิว แล้วเดินไปขึ้นที่สายสีน้ำเงินแทน ...
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เวลาทำแผนที่รถไฟที่นี่ให้เน้นที่สีอย่าเน้นชื่อ ...
ไปๆ มาๆ ผมถึงที่พักโฮสเทลที่ชื่อ “ข้าวสาร โตเกียว นินจา” (Khaosan Tokyo Ninja) เกือบ ๑๑ โมงได้ ว่าแต่เอ๊ะ ของคนไทยเหรอ ... ไม่ใช่ครับ แต่เห็นเขาว่าเจ้าของชอบตรอกข้าวสารเลยเอามาใช้เป็นชื่อ แต่เรามาเร็วเกินไป ทำให้ไม่สามารถเช็กอินได้ จึงต้องฝากกระเป๋าแล้วออกเดินเที่ยวต่อ ... ด้วยสภาพอากาศกับสภาพชีวิตตอนนี้ เรื่องนึงที่ผมไม่เคยคิดเลยว่ามันโหดร้าย นั่นคือฝนครับ ด้วยอากาศที่อยู่ราว ๑๐ กว่าองศา ผสมกับละอองน้ำที่พัดพามาถูกตัวนี่ทำเอาผมหนาวสั่นปรับสภาพไม่ทัน บวกกับร่างกายอ่อนเพลีย และในท้องดันมีแก๊สอัดแน่นเกินพิกัด แม้จะอัดยาเข้าไปก็ยังไม่ดีเท่าไหร่ โอ้.... นี่มันหนังชีวิตชัดๆ
แต่ไหนๆ มาถึงแล้ว ก็เดินมันตามแผนนั่นล่ะ!!
*เข้าร้านอาหารญี่ปุ่นครั้งแรก
ตามโปรแกรมที่วางไว้อย่างแรกเมื่อมาถึงคือกิน “บุฟเฟ่ต์อาหารญี่ปุ่น” ครับ ร้านนี้ชื่อเป็นภาษาญี่ปุ่นแน่นอนว่า ผมแปลไม่ออก แต่ถ้าเอาตามชื่อเว็บไซต์ของร้านก็คือ ไทโคะจาย่ะ (Taikochaya) อยู่บนถนนยาสุกุนิ (Yasukuni Dori) เปิด ๒ เวลาคือมื้อเที่ยงและมื้อเย็น ซึ่งมื้อกลางวันนี้จะเป็นบุฟเฟ่ต์ หรือที่นี่จะเรียกว่า ไวกิ้ง เริ่มตั้งแต่เวลา ๑๑.๓๐ - ๑๔.๐๐ น.ในราคา ๑,๑๐๐ เยน หรือ ๓๓๐ บาท (ตามเรตราคาที่ผมแลกไป) ที่เจอร้านนี้ก็เพราะได้ลายแทงจากแฟนเพจของไทยสักที่ (จำไม่ได้จริงๆ ขออภัย)
เข้าไปภายในนี่ทำเอาผมอึ้งไปชั่วขณะ ... เขาแทบจะพูดอังกฤษกันไม่ได้เลย ก็ต้องค่อยๆ อธิบายเป็นภาษามือและร่างกายกัน สรุปก็คือ ให้จ่ายตังค์ก่อนครับ จากนั้นเขาจะพาเราไปที่โต๊ะ ซึ่งมีถาดสี่เหลี่ยมพร้อมจานหลุมและตะเกียบวางไว้ ให้เราเอาจานเดินไปตักอาหาร ซึ่งไลน์อาหารแน่นอน มันต้องมีปลาดิบ!! เป็นทูน่าสดหั่นชิ้นเป๊งๆ วางบนน้ำแข็งให้เลือกคีบได้ตามแต่จะกินให้หมด นอกจากนั้นก็มีแบบเผาไฟนิดๆ ให้ด้านนอกสุก มีแบบหมักซอส และต้มซีอิ๊ว อย่างอื่นก็มีปูอัด ปลาข้าวสาร สาหร่ายเส้นเล็ก อันนี้ผมพลาด คิดว่ามันคือยำสาหร่ายแบบที่เคยกิน พอชิมไปคำแรก .. ผมนี่น้ำตาจะไหล มันคือสาหร่ายสดไม่ปรุงอะไรเลย มันหยึยๆ รสเฝื่อนๆ มาก
ส่วนอย่างอื่นก็มีข้าวสวย ซุปมิโสะ ผัดเส้นอะไรสักอย่าง (อันนี้ไม่ได้ทาน) ผัดผัก สลัด แล้วก็พวกเครื่องแก้เลี่ยนเช่น ขิงดอง วาซาบิ สาหร่ายซองแบบที่กินเล่น งาข้าว และมีน้ำเปล่าให้ไปกดทั้งร้อนและเย็น ที่ร้านยิ่งใกล้เที่ยงคนยิ่งเยอะ ส่วนใหญ่เป็นชาวออฟฟิศ และกรุ๊ปทัวร์ พวกญี่ปุ่นเนี่ยล่ะครับ ไม่ใช่คนชาติอื่น มากินกัน น่าเสียดายที่ผมทานได้ไม่มาก เพราะสภาพท้องที่เริ่มจะบวมขึ้นเรื่อยๆ จากลมที่อัดแน่นภายใน จึงต้องขอลา ... แต่เดี๋ยวก่อน จะลุกไปเลยก็คงไม่ใช่แน่ๆ ผมสังเกตุคนแถวนั้นจะตักอาหารทานพอประมาณและกินให้หมดก่อนจบมื้ออาหาร นั่นทำให้ผมต้องกินในสิ่งที่เหลือให้จบ ก่อนลุกนำถาดไปวางไว้ในที่เก็บจานด้วย .... เป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำอย่างดี
*จองตั๋ว บขส.ตีรถนอนข้ามเมือง
ภารกิจที่ ๒ ของผมจะต้องไปยังสถานีรถไฟโตเกียว เพื่อซื้อตั๋วรถทัวร์ข้ามไปยังฝั่งคันไซ เอาจริงๆ การเดินทางข้ามภูมิภาคสามารถทำได้หลายทาง เร็วสุดก็รถไฟความเร็วสูงชิงกันเซ็ง ใช้เวลาราว ๒ ชั่วโมงก็ถึงจุดหมาย แต่โดยรวมแล้วราคาเกือบ ๔ พันบาท ง่ายกว่านั้นก็นั่งเครื่องบิน ซึ่งก่อนมาผมก็เหล่ๆ สายการบิน พีชแอร์ไลน์เอาไว้ ราคาตอนที่ดูน่าจะไม่ถึงพันบาท แต่ต้องไปขึ้นที่สนามบินนาริตะ และต้องใช้เวลาโน้นนี่นั่นก็พอๆ กับนั่งชิงกันเซ็ง ผมคนงบน้อย เบี้ยน้อย จึงเลือกอีกทางคือนั่งรถทัวร์ตีตั๋วนอน ตอนแรกจะจองรถเอกชนยี่ห้อ วิลเลอร์ เอ็กซ์เพรส (Willer Express) เจ้านี้ขายตั๋วแค่ในเว็บไซต์เท่านั้น แต่พอถามแอดมินแฟนเพจมารุมุรา แกแนะนำให้ผมขึ้นของ เจอาร์บัส ด้วยคำที่ว่า "บริการแบบญี่ปุ่น" นั่นล่ะครับ จึงตัดสินใจลองทันที
ซึ่งที่ขายตั๋ว “เจอาร์ เอ็กซ์เพรส บัส” หรือ บขส. (ขออนุญาติใช้คำนี้) อยู่ตรงทางออก Yaesu South ของสถานี น่าจะมีที่นี่ที่เดียวด้วย เพราะเป็นจุดขึ้นรถ แต่เหมือนว่าคนที่นี่จะไม่ค่อยนิยมการเดินทางแบบนี้ เลยไม่ได้มีสถานีใหญ่ๆ เหมือนอย่างบ้านเรา ผมเดินไปที่เคาน์เตอร์ขอซื้อตั๋วบอกจุดหมายและวันที่จะเดินทาง เขาก็แนะนำรถต่างๆ ที่จำได้คือมีแบบ ๔ ที่นั่ง ๓ ที่นั่ง ราคาแพงพอๆ กัน ผมกะว่าจะเน้นนอนเลยเลือกแบบ ๓ ที่นั่ง เป็นรถ Premium Dream 329 ขอดูราคา โอ้ ... ๘,๔๐๐ เยน ทำไมแพงจังวะ?? แต่ก็ตัดใจจอง เพราะคิดเสียว่าซื้อค่ารถบวกที่นอน
จบเรื่องตั๋ว ก็เดินตามโปรแกรมต่อ ข้างนอกวันนี้ช่างหนาวเหน็บ แถมมีฝนโปรยปรายลงแรงบ้าง หนักบ้าง เป็นจังหวะ ผมไม่คุ้นชินกับชีวิตตอนนี้จริงๆ ผมเดินวนไป วนมาสักพัก แล้วก็ตัดสินใจมุ่งหน้าไปยังด้านหน้าของสถานี เพื่อทะลุไปยัง ”พระราชวังอิมพีเรียล” จุดหมายถัดไป ยิ่งเดินยิ่งรู้สึกถึงสภาวะร่างกายอันผิดเพี้ยน แต่ผมก็ฝืนมันจนมาถึงด้านหน้าของ ”สถานีรถไฟโตเกียว” ซึ่งเป็นอาคารโบราณ เชื่อหรือไม่ว่า ที่นี่มีอายุ ๑๐๐ ปี พอดีในปีนี้ เพราะได้เปิดใช้งานเมื่อ ๒๐ ธันวาคม ๒๔๕๗ เป็นตึก ๓ ชั้น ออกแบบโดย ทัตสึโนะ คิงโงะ (Tatsuno Kingo) ถือเป็นอีก ๑ แลนด์มาร์กของโตเกียวเลยทีเดียว
ปัจจุบันบางส่วนของอาคารถูกใช้เป็นโรงแรม โซนที่ผมเดินมานี่เป็นโดมด้านเหนือมองเงยขึ้นไปจะเห็นการตกแต่งภายในสีครีมอ่อนมีรูปปั้นนกพิราบอยู่แต่ละมุม เรียกได้ว่าใครมาเห็นก็ต้องยกกล้องถ่ายชื่นชม ผมก็เช่นกัน ก่อนจะเดินออกไปด้านนอกตัวอาคาร ใจคิดจะฝ่าออกไปให้ถึงที่หมาย แต่ร่างกายวันนี้สู้ความหนาวไม่ไหวจริงๆ จึงกลับมาตั้งหลัก คิดๆๆๆ จนสุดท้ายยอมแพ้ ขอถอยดีกว่า ....
โถ....ชีวิตไอ้คุณดรงค์..............................................
(อ่านต่อฉบับหน้า...)