xs
xsm
sm
md
lg

“มาร์ค” แปลกใจ คสช.ลดภาษีเบนซิน เก็บเพิ่มดีเซล แนะเร่งแก้ปัญหาภาคเกษตร

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (แฟ้มภาพ)
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์แปลกใจ คสช.ตัดสินใจลดภาษีเบนซิน แต่เพิ่มภาษีดีเซล ทั้งที่ยังไม่มีการปฏิรูปพลังงาน ย้ำต้องขายก๊าซหุงต้มภาคครัวเรือนในราคาทุน แนะดูแลภาคเกษตร เหตุแรงกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะทำให้เติบโตมาจากกลุ่มเกษตรกรที่รัฐบาลต้องดูแล

นายอภิสิทธ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แสดงความแปลกใจต่อการตัดสินใจปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเบนซินลง แต่กลับไปเพิ่มภาษีน้ำมันดีเซล แม้ประชาชนจะพอใจ แต่ตนยังเป็นห่วงเพราะน้ำมันเบนซิน 95 คนใช้น้อย และไม่ใช่น้ำมันที่รัฐจะมาสนับสนุน จึงทำให้ที่ผ่านมาจึงมีการเก็บภาษีสรรพสามิตและกองทุนน้ำมันในอัตราที่สูงมาตลอด เมื่อลดภาษีสรรพสามิตและลดเงินที่จะเข้ากองทุนฯ ในน้ำมันเบนซิน 95 ลง รายได้รัฐก็จะลดลง จะกระทบต่อฐานราคาน้ำมันเบนซินให้ลดลงไปใกล้เคียงกับแก๊สโซฮอล์ ก่อให้เกิดแรงจูงใจประชาชนไปใช้เบนซินมากกว่าแก๊สโซฮอล์

ทั้งนี้ รัฐบาลและสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ต้องกลับไปตัดสินใจอีกหลายเรื่องรวมทั้งโครงสร้างราคาทั้งหมด ตนไม่อยากให้เก็บภาษีน้ำมันดีเซลเพราะขณะนี้ราคาอยู่ใกล้เพดาน 30 บาทต่อลิตรแล้ว หากในอนาคตราคาขยับขึ้น ดีเซลจะสูงขึ้นด้วย ระดับนโยบายต้องมาหารืออีกครั้งว่าจะปรับลงอย่างไร การปรับโครงสร้างภาษีน้ำมันครั้งนี้จึงไม่ใช่การปรับที่ยั่งยืน

“รัฐบาลกับ สปช.ยังต้องพิจารณาโครงสร้างราคาอีก แต่ไม่ทราบเหตุผลว่าทำไมต้องทำเรื่องนี้ในเวลานี้ มีความประสงค์เรื่องอะไร ถ้าเห็นว่าเบนซิน 95 รับภาระภาษีมากเกินไปก็ถือเป็นเรื่องนโยบาย ประชาชนต้องทราบว่าการลดราคาที่เกิดขึ้น ภาษีจะหายไป แต่ไปเก็บเพิ่มที่ดีเซลแทน ซึ่งเป็นดุลพินิจของผู้บริหารว่าระหว่างผู้ใช้ดีเซลกับเบนซิน ใครควรจ่ายภาษีมากกว่ากัน”

นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ราคาน้ำมันที่ลดลงขณะนี้ไม่เกี่ยวกับผู้ประกอบการแต่เป็นเรื่องนโยบายที่ปรับลดภาษี ในส่วนของบริษัทน้ำมันยังต้องไปหารือกันอีกยาวเพราะยังไม่มีความชัดเจนว่าแนวทางจะเป็นอย่างไร จึงต้องถามแนวทางว่าทำเรื่องนี้ก่อนที่มีสภาปฏิรูปทำไม ซึ่งมีการชี้แจงว่าไม่กระทบต่อรายได้ในการจัดเก็บภาษี แต่ถ้ารัฐบาลต้องการปรับโครงสร้างราคาอย่างยั่งยืนก็ต้องไปพิจารณาเรื่องกองทุนน้ำมัน ที่ตนยังเห็นว่ามีความจำเป็นในการเป็นเครื่องมือเพื่อรักษาเสถียรภาพด้านราคา แต่ไม่ใช่นำไปใช้อุดหนุนหรือพยุงราคา ซึ่งจะทำให้บริหารกองทุนโดยไม่ขาดทุน และยังเป็นเครื่องมือในการส่งสัญญาณว่ารัฐบาลต้องการให้ประชาชนหันมาใช้น้ำมันชนิดไหน เช่น ถ้าต้องการให้ใช้แก๊สโซฮอล์ก็ต้องลดภาระ ส่วนน้ำมันชนิดไหนที่ไม่ต้องการให้ประชาชนใช้ ก็กำหนดให้มีราคาสูง

ส่วนนโยบายเกี่ยวกับก๊าซหุงต้ม ที่ถือว่าเป็นของคนไทยทั้งชาติมีปริมาณเพียงพอที่จะให้ประชาชนใช้ในภาคครัวเรือนจึงต้องให้ใช้ในราคาต้นทุน ไม่ใช่ในราคาตลาด แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับผู้กำหนดนโยบาย ซึ่งตนไม่เห็นด้วยกับการขยับราคาแอลพีจีภาคครัวเรือนขึ้นเรื่อยๆ เพราะในการเสวนาเวทีพลังงาน ปตท.ก็ยอมรับเองว่ายังขายแอลพีจีให้บางบริษัทในราคาที่ถูกกว่า

ส่วนที่มีข่าวว่าจะมีการปรับราคาแอลพีจีภาคขนส่งเท่ากับภาคครัวเรือนนั้น ขึ้นอยู่กับนโยบายว่าต้องการให้แอลพีจีทั้งสองภาคอยู่ในระดับใด แต่ทั้งสองส่วนควรอยู่ในอัตราที่เท่ากันเพื่อป้องกันปัญหาการยักย้ายถ่ายเทแอลพีจีข้ามภาค จะเกิดปัญหาตามมาอีก จึงเห็นว่าสิ่งที่ต้องทำคือ ต้องหาต้นทุนที่แท้จริงของแอลพีจีว่าเท่าไหร่ แต่เวลานี้ยังไม่สามารถจับหลักคิดของ คสช.ได้ว่ามีแนวทางเกี่ยวกับแอลพีจีอย่างไร เพราะยังไม่ชัดเจน

นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวถึงการตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าไม่มีอะไรนอกเหนือความคาดหมาย เป็นดุลพินิจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ต้องตัดสินใจจะให้ใครเข้ามาทำงาน ซึ่งจะเป็นความรับผิดชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ต่อไป ขณะนี้คนคาดหวังเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต และให้แก้ปัญหาของประเทศนำสู่การปฏิรูป ต้องติดตามต่อไปว่าจะทำได้หรือไม่ งานที่จะทำถือว่าท้าทาย แม้เศรษฐกิจจะได้ประโยชน์จากความสงบลงในเหตุการณ์ทางการเมือง แต่ประมาทไม่ได้ เพราะแรงกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะให้มีความเติบโตจะมาจากไหน เนื่องจากเศรษฐกิจในชนบทมีปัญหาเรื่องกำลังซื้อ โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกร ที่รัฐบาลต้องเข้าไปดู

นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวถึงกรณีเกษตรกรฆ่าตัวตายจากปัญหาราคายางพาราตกต่ำว่า คสช.และรัฐบาลต้องเข้าไปดูมาตรการช่วยเหลือและแก้ปัญหาราคายางตกต่ำ อย่ามองเฉพาะเรื่องการรับซื้อเข้ามา เพราะไม่ใช่วิธีเดียวที่จะแก้ปัญหาได้ ถ้ารัฐบาลบริหารเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตลาดได้ จะช่วยในเรื่องราคาและขณะนี้ต้องระวังหากมีการระบายยางออกมาในช่วงนี้จะกระทบต่อราคาให้ต่ำลงไปอีก


กำลังโหลดความคิดเห็น