ในที่สุดการเลือกตั้ง 2 ก.พ. ก็ลากถูกันไปจนได้ แม้จะมีคำเตือนล่วงหน้าจากหลายฝ่ายว่า จะเป็นการเลือกตั้งที่วุ่นวายถึงขั้นนองเลือด และทั้งแม้จะมีการเปิดช่องให้รัฐบาลสามารถ “ลง” ได้ตามทางออกที่ กกต.เสนอ คือเลื่อนการเลือกตั้งได้ โดยศาลรัฐธรรมนูญรับรอง แต่รัฐบาลก็เลือกที่จะชนด้วยการยืนยันจะให้เลือกตั้งในวันที่ 2 ก.พ.ให้ได้อยู่ดี
และก็ไม่ได้ผิดจากความคาดหมายแต่อย่างใด เมื่อในที่สุดก็เกิดการนองเลือดขึ้นก่อนวันเลือกตั้งจริงๆ
เมื่อกองทัพของ “โกตี๋” หรือนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ ซึ่งเป็นเสื้อแดงสายฮาร์ดคอร์ นำกองกำลังพยายามบุกเข้ายึดที่ทำการเขตหลักสี่ ที่หลวงปู่พุทธอิสระและมวลชนกำลังเข้าไปทำการประท้วงไม่ให้ขนหีบบัตรเลือกตั้งไปจัดการเลือกตั้งในเขตหลักสี่ เพื่อไม่ให้ระบอบทักษิณใช้การเลือกตั้งเพื่อฟอกตัว
กองทัพของโกตี๋ได้รวมกำลังกันแถววัดหลักสี่ ร่วมกับเสื้อแดงในพื้นที่ ซึ่งพร้อมจะบุกเข้าเขตหลักสี่ที่หลวงปู่พุทธอิสระนำมวลชนเข้าไปอยู่
ในที่สุดก็เกิดการปะทะกันด้วยอาวุธหนักนานาชนิด ยิงกันเหมือนหนังสงครามกลางเมืองที่แยกหลักสี่ และห้างไอทีแสควร์ ซึ่งเป็นศูนย์การค้าใหญ่ของละแวกนั้นเป็นสนามรบของกองกำลังไม่ทราบฝ่าย
ภาพของผู้คนบาดเจ็บที่นอนเกลื่อนพื้นถนน หรือคนเจ็บบางส่วนที่หนีตายเข้าไปในห้างได้ ผู้คนที่ติดค้างอยู่กลางสะพานลอย จนต้องทุบประตูหนีเข้ามาในห้าง และคนหลายร้อยที่ยังติดอยู่ในห้างอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ เป็นเหมือนภาพฝันร้ายกลางวันแสกๆ ในวันเสาร์ ซึ่งควรจะเป็นวันพักผ่อนตามปกติธรรมดาของผู้คน
ไม่ต้องเกี่ยงกันหรอกว่า ใครเริ่มก่อน หรือใครกันแน่ที่คุมกองกำลังติดอาวุธเข้ามาห้ำหั่นกัน เพราะเมื่อเริ่มแล้ว ก็เท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ที่ประสงค์ต้องการความรุนแรงเข้าแทรกแซงได้
จึงต้องถามฝ่าย “จุดชนวน” ว่าต้องการอะไรกันแน่ คือฝ่ายโกตี๋ เสื้อแดง ที่ยกทัพไปเพื่อชิงพื้นที่คืน โดยอ้างว่าเพื่อจะให้จัดการเลือกตั้งได้ตามกำหนด
ตามกำหนด หรือตามความประสงค์ของนายใหญ่ก็ไม่ทราบ แต่ก็น่าสงสัยว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ มันสำคัญอะไรถึงขนาดต้องยกพลไปใช้กำลังบังคับให้เกิดการเลือกตั้งให้ได้เลยหรือ
และฝ่ายรัฐบาลรักษาการที่ยังมีหน้าที่รักษากฎหมาย ระเบียบ และความปลอดภัยของประเทศ รู้หรือไม่ว่าคนฝ่ายเสื้อแดงซึ่งเป็นฝ่ายที่สนับสนุนตัวเองนั้นจะใช้กำลังเคลื่อนไหว และได้มีการห้ามปราม หรือมีการควบคุมสถานการณ์ใดๆ หรือไม่
ยังโชคดีอยู่บ้าง ที่ในการปะทะกันในคราวนี้ยังไม่ถึงกับมีคนตาย แม้จะบาดเจ็บทั้งหนักทั้งเบากันไป ซึ่งผู้รับเคราะห์ส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่ฝ่ายไหน นอกจากชาวบ้านในละแวกนั้นที่มาดูเหตุการณ์บ้าง หรือมาเดินห้างตามปกติบ้าง
ในที่สุดความรุนแรงที่เกิดขึ้นก็ทำให้ กกต.สั่งงดการเลือกตั้งในเขตหลักสี่ลงไปทันที และ กกต.เขตหลักสี่ก็ลาออกกันทั้งคณะ เพื่อหลีกเลี่ยงความรุนแรง
เช่นเดียวกับในเขตดินแดง และราชเทวี ซึ่งมวลชนไม่เห็นด้วยคัดค้านการเลือกตั้ง จนไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้เช่นกัน
ความรุนแรงที่เล็งเห็นผลได้นี้ เป็นสิ่งที่หลายฝ่ายเตือนบอกกันไว้ล่วงหน้าแล้วทั้งสิ้น รวมทั้งเสนอช่องทางออกให้รัฐบาลเลื่อนการเลือกตั้งออกไปก่อน เพื่อลดความขัดแย้ง แต่ก็มิได้ถูกนำพาแต่อย่างใด
เพราะดังที่กล่าวไว้ สำหรับรัฐบาลก็ดี นักประชาธิปไตยเชิงรูปแบบ หรือแม้แต่สื่อต่างชาติหรือองค์กรข้ามรัฐที่ท่องคาถา “เลือกตั้งคือประชาธิปไตย เลือกตั้งชนะได้คือความชอบธรรม” นั้น ยังไงก็จะผลักดันการเลือกตั้งให้เกิดขึ้นให้ได้ตามกำหนด คือวันที่ 2 ก.พ. โดยไม่สนใจว่า จะเกิดความวุ่นวาย แตกแยก นองเลือด หรืออะไรอย่างไร
นั่นเพราะอะไรหรือ? สำหรับนักวิชาการหรือปัญญาชนที่นับถือประชาธิปไตยเชิงรูปแบบ การได้จัดการเลือกตั้งโดยไม่ได้หวังผลด้านคุณภาพหรือความยินยอมพร้อมใจ คือสมความมุ่งหมายในการรณรงค์สร้างความเชื่อ พอถึงวันที่ 2 มีการเลือกตั้งได้บ้าง ก็ถือว่าสำเร็จความเชื่อทางวิชาการกันไป และก็จะได้ท่องสูตรว่านี่แหละคือประชาธิปไตยๆๆ กัน ส่วนสื่อต่างชาติหรือองค์กรข้ามรัฐก็เช่นกัน ก็ยังมีภาพของประเทศที่ต้องปลดแอก ประเทศเกิดใหม่หรือประเทศเพิ่งได้ประชาธิปไตยใหม่ ที่ยังบูชาการเลือกตั้งอยู่ เมื่อมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น ก็ได้ทำข่าว ยิ่งการเลือกตั้งท่ามกลางเสียงปืน ยิ่งดีใหญ่ ทำให้ข่าวขายได้ เหมือนมีชูรส อารมณ์ของเขาคงคล้ายๆ ไปทำข่าวเลือกตั้งในซีเรียหรือรวันดา ซึ่งจะเป็นอย่างไรเขาก็ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรอยู่แล้ว ประเทศไทยเป็นเพียง “ฉากหนึ่ง” ของการทำข่าวให้น่าตื่นเต้นของเขาในรอบเดือนนี้เท่านั้นเอง
ส่วนรัฐบาลก็ไม่ต้องพูดถึง เพราะการเลือกตั้งนี้เป็นการเลือกตั้งที่หมายจะชุบตัว ยิ่งมีคนไปเลือกมากเท่าไร รัฐบาลก็นำมาอวดอ้างได้ว่า คนที่ไปเลือกตั้งนั้นเห็นด้วยกับแนวทาง “เลือกตั้งก่อนค่อยปฏิรูป” ของรัฐบาล และยิ่งกว่านั้น คือคนเลือกพรรคเพื่อไทย (ที่ไม่ต้องสงสัยว่าจะได้มาเป็นเสียงข้างมากแน่ๆ เพราะแข่งกับไม้ประดับทั้งนั้น) คือคนที่เห็นด้วยกับนโยบายล้มเหลวทั้งหลาย ทั้งจำนำข้าว นิรโทษกรรม และการแก้รัฐธรรมนูญ
แต่การหมายฟอกตัวด้วยการเลือกตั้งนั้น ความสำเร็จคงยังห่างไกลพอสมควรนั่นเพราะตามรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ตามมาตรา 93 ว่า สภาผู้แทนราษฎร จะถือว่าครบองค์ประกอบ ก็เมื่อมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเกินกว่าร้อยละเก้าสิบห้าของจำนวนที่กำหนดไว้ คือ 500 คนเท่านั้น นั่นคือ เท่ากับต้องมีสมาชิกอย่างน้อย 475 คน
ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้ ดูแล้วอย่างไรก็ยังได้ไม่ถึง ก็ต้องจัดการเลือกตั้งต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้ ส.ส.ครบ ซึ่งดูแล้วไม่ง่ายเลย เพราะเขตที่ขาดไปนั้น ก็เป็นเขตที่ยากจะจัดการเลือกตั้งให้ครบได้ เช่น ไม่มีผู้สมัคร หรือมวลชนเข้าขัดขวาง
และที่แน่ๆ เมื่อคะแนนเลือกตั้งทั้งประเทศยังไม่ครบ คะแนนปาร์ตี้ลิสต์ก็นับไม่ได้
บางพื้นที่ที่ไม่มีผู้สมัครเลย ก็เท่ากับว่า กระบวนการสมัครรับเลือกตั้งยังไม่ได้เริ่มขึ้นด้วยซ้ำ หรือบางพื้นที่ที่ไม่อาจลงคะแนนในวันที่ 2 ก.พ. ได้ ก็จะต้องลงคะแนนกันใหม่ ในวันที่ กกต.จะกำหนดขึ้นอีกครั้ง
ซึ่งทั้งหมดนี้ ก็น่าสงสัยว่า จะถือเป็นเหตุขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 108 ที่กำหนดให้วันเลือกตั้งในกรณีที่เป็นการยุบสภาทั้งสภาฯ หรือการเลือกตั้งทั่วไปนั้นต้องกำหนดเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร
อาจกล่าวได้ว่าการเลือกตั้งที่ลากถูกันไปมา เสียงบประมาณเลือกตั้งไปกว่า 3,000 ล้านบาท เสียชีวิตเลือดเนื้อผู้คนที่ทั้งหนุนและต้านการเลือกตั้ง ก็จะสลายไปในพริบตา เมื่อการเลือกตั้งจะต้องตกเป็นโมฆะ อย่างไม่ต้องสงสัยใดๆ
นี่คือสิ่งที่ผู้ที่กอดคัมภีร์ “การเลือกตั้งคือประชาธิปไตย” ไม่เคยคิดว่าจะต้องรับผิดชอบใดๆ.
และก็ไม่ได้ผิดจากความคาดหมายแต่อย่างใด เมื่อในที่สุดก็เกิดการนองเลือดขึ้นก่อนวันเลือกตั้งจริงๆ
เมื่อกองทัพของ “โกตี๋” หรือนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ ซึ่งเป็นเสื้อแดงสายฮาร์ดคอร์ นำกองกำลังพยายามบุกเข้ายึดที่ทำการเขตหลักสี่ ที่หลวงปู่พุทธอิสระและมวลชนกำลังเข้าไปทำการประท้วงไม่ให้ขนหีบบัตรเลือกตั้งไปจัดการเลือกตั้งในเขตหลักสี่ เพื่อไม่ให้ระบอบทักษิณใช้การเลือกตั้งเพื่อฟอกตัว
กองทัพของโกตี๋ได้รวมกำลังกันแถววัดหลักสี่ ร่วมกับเสื้อแดงในพื้นที่ ซึ่งพร้อมจะบุกเข้าเขตหลักสี่ที่หลวงปู่พุทธอิสระนำมวลชนเข้าไปอยู่
ในที่สุดก็เกิดการปะทะกันด้วยอาวุธหนักนานาชนิด ยิงกันเหมือนหนังสงครามกลางเมืองที่แยกหลักสี่ และห้างไอทีแสควร์ ซึ่งเป็นศูนย์การค้าใหญ่ของละแวกนั้นเป็นสนามรบของกองกำลังไม่ทราบฝ่าย
ภาพของผู้คนบาดเจ็บที่นอนเกลื่อนพื้นถนน หรือคนเจ็บบางส่วนที่หนีตายเข้าไปในห้างได้ ผู้คนที่ติดค้างอยู่กลางสะพานลอย จนต้องทุบประตูหนีเข้ามาในห้าง และคนหลายร้อยที่ยังติดอยู่ในห้างอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ เป็นเหมือนภาพฝันร้ายกลางวันแสกๆ ในวันเสาร์ ซึ่งควรจะเป็นวันพักผ่อนตามปกติธรรมดาของผู้คน
ไม่ต้องเกี่ยงกันหรอกว่า ใครเริ่มก่อน หรือใครกันแน่ที่คุมกองกำลังติดอาวุธเข้ามาห้ำหั่นกัน เพราะเมื่อเริ่มแล้ว ก็เท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ที่ประสงค์ต้องการความรุนแรงเข้าแทรกแซงได้
จึงต้องถามฝ่าย “จุดชนวน” ว่าต้องการอะไรกันแน่ คือฝ่ายโกตี๋ เสื้อแดง ที่ยกทัพไปเพื่อชิงพื้นที่คืน โดยอ้างว่าเพื่อจะให้จัดการเลือกตั้งได้ตามกำหนด
ตามกำหนด หรือตามความประสงค์ของนายใหญ่ก็ไม่ทราบ แต่ก็น่าสงสัยว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ มันสำคัญอะไรถึงขนาดต้องยกพลไปใช้กำลังบังคับให้เกิดการเลือกตั้งให้ได้เลยหรือ
และฝ่ายรัฐบาลรักษาการที่ยังมีหน้าที่รักษากฎหมาย ระเบียบ และความปลอดภัยของประเทศ รู้หรือไม่ว่าคนฝ่ายเสื้อแดงซึ่งเป็นฝ่ายที่สนับสนุนตัวเองนั้นจะใช้กำลังเคลื่อนไหว และได้มีการห้ามปราม หรือมีการควบคุมสถานการณ์ใดๆ หรือไม่
ยังโชคดีอยู่บ้าง ที่ในการปะทะกันในคราวนี้ยังไม่ถึงกับมีคนตาย แม้จะบาดเจ็บทั้งหนักทั้งเบากันไป ซึ่งผู้รับเคราะห์ส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่ฝ่ายไหน นอกจากชาวบ้านในละแวกนั้นที่มาดูเหตุการณ์บ้าง หรือมาเดินห้างตามปกติบ้าง
ในที่สุดความรุนแรงที่เกิดขึ้นก็ทำให้ กกต.สั่งงดการเลือกตั้งในเขตหลักสี่ลงไปทันที และ กกต.เขตหลักสี่ก็ลาออกกันทั้งคณะ เพื่อหลีกเลี่ยงความรุนแรง
เช่นเดียวกับในเขตดินแดง และราชเทวี ซึ่งมวลชนไม่เห็นด้วยคัดค้านการเลือกตั้ง จนไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้เช่นกัน
ความรุนแรงที่เล็งเห็นผลได้นี้ เป็นสิ่งที่หลายฝ่ายเตือนบอกกันไว้ล่วงหน้าแล้วทั้งสิ้น รวมทั้งเสนอช่องทางออกให้รัฐบาลเลื่อนการเลือกตั้งออกไปก่อน เพื่อลดความขัดแย้ง แต่ก็มิได้ถูกนำพาแต่อย่างใด
เพราะดังที่กล่าวไว้ สำหรับรัฐบาลก็ดี นักประชาธิปไตยเชิงรูปแบบ หรือแม้แต่สื่อต่างชาติหรือองค์กรข้ามรัฐที่ท่องคาถา “เลือกตั้งคือประชาธิปไตย เลือกตั้งชนะได้คือความชอบธรรม” นั้น ยังไงก็จะผลักดันการเลือกตั้งให้เกิดขึ้นให้ได้ตามกำหนด คือวันที่ 2 ก.พ. โดยไม่สนใจว่า จะเกิดความวุ่นวาย แตกแยก นองเลือด หรืออะไรอย่างไร
นั่นเพราะอะไรหรือ? สำหรับนักวิชาการหรือปัญญาชนที่นับถือประชาธิปไตยเชิงรูปแบบ การได้จัดการเลือกตั้งโดยไม่ได้หวังผลด้านคุณภาพหรือความยินยอมพร้อมใจ คือสมความมุ่งหมายในการรณรงค์สร้างความเชื่อ พอถึงวันที่ 2 มีการเลือกตั้งได้บ้าง ก็ถือว่าสำเร็จความเชื่อทางวิชาการกันไป และก็จะได้ท่องสูตรว่านี่แหละคือประชาธิปไตยๆๆ กัน ส่วนสื่อต่างชาติหรือองค์กรข้ามรัฐก็เช่นกัน ก็ยังมีภาพของประเทศที่ต้องปลดแอก ประเทศเกิดใหม่หรือประเทศเพิ่งได้ประชาธิปไตยใหม่ ที่ยังบูชาการเลือกตั้งอยู่ เมื่อมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น ก็ได้ทำข่าว ยิ่งการเลือกตั้งท่ามกลางเสียงปืน ยิ่งดีใหญ่ ทำให้ข่าวขายได้ เหมือนมีชูรส อารมณ์ของเขาคงคล้ายๆ ไปทำข่าวเลือกตั้งในซีเรียหรือรวันดา ซึ่งจะเป็นอย่างไรเขาก็ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรอยู่แล้ว ประเทศไทยเป็นเพียง “ฉากหนึ่ง” ของการทำข่าวให้น่าตื่นเต้นของเขาในรอบเดือนนี้เท่านั้นเอง
ส่วนรัฐบาลก็ไม่ต้องพูดถึง เพราะการเลือกตั้งนี้เป็นการเลือกตั้งที่หมายจะชุบตัว ยิ่งมีคนไปเลือกมากเท่าไร รัฐบาลก็นำมาอวดอ้างได้ว่า คนที่ไปเลือกตั้งนั้นเห็นด้วยกับแนวทาง “เลือกตั้งก่อนค่อยปฏิรูป” ของรัฐบาล และยิ่งกว่านั้น คือคนเลือกพรรคเพื่อไทย (ที่ไม่ต้องสงสัยว่าจะได้มาเป็นเสียงข้างมากแน่ๆ เพราะแข่งกับไม้ประดับทั้งนั้น) คือคนที่เห็นด้วยกับนโยบายล้มเหลวทั้งหลาย ทั้งจำนำข้าว นิรโทษกรรม และการแก้รัฐธรรมนูญ
แต่การหมายฟอกตัวด้วยการเลือกตั้งนั้น ความสำเร็จคงยังห่างไกลพอสมควรนั่นเพราะตามรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ตามมาตรา 93 ว่า สภาผู้แทนราษฎร จะถือว่าครบองค์ประกอบ ก็เมื่อมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเกินกว่าร้อยละเก้าสิบห้าของจำนวนที่กำหนดไว้ คือ 500 คนเท่านั้น นั่นคือ เท่ากับต้องมีสมาชิกอย่างน้อย 475 คน
ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้ ดูแล้วอย่างไรก็ยังได้ไม่ถึง ก็ต้องจัดการเลือกตั้งต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้ ส.ส.ครบ ซึ่งดูแล้วไม่ง่ายเลย เพราะเขตที่ขาดไปนั้น ก็เป็นเขตที่ยากจะจัดการเลือกตั้งให้ครบได้ เช่น ไม่มีผู้สมัคร หรือมวลชนเข้าขัดขวาง
และที่แน่ๆ เมื่อคะแนนเลือกตั้งทั้งประเทศยังไม่ครบ คะแนนปาร์ตี้ลิสต์ก็นับไม่ได้
บางพื้นที่ที่ไม่มีผู้สมัครเลย ก็เท่ากับว่า กระบวนการสมัครรับเลือกตั้งยังไม่ได้เริ่มขึ้นด้วยซ้ำ หรือบางพื้นที่ที่ไม่อาจลงคะแนนในวันที่ 2 ก.พ. ได้ ก็จะต้องลงคะแนนกันใหม่ ในวันที่ กกต.จะกำหนดขึ้นอีกครั้ง
ซึ่งทั้งหมดนี้ ก็น่าสงสัยว่า จะถือเป็นเหตุขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 108 ที่กำหนดให้วันเลือกตั้งในกรณีที่เป็นการยุบสภาทั้งสภาฯ หรือการเลือกตั้งทั่วไปนั้นต้องกำหนดเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร
อาจกล่าวได้ว่าการเลือกตั้งที่ลากถูกันไปมา เสียงบประมาณเลือกตั้งไปกว่า 3,000 ล้านบาท เสียชีวิตเลือดเนื้อผู้คนที่ทั้งหนุนและต้านการเลือกตั้ง ก็จะสลายไปในพริบตา เมื่อการเลือกตั้งจะต้องตกเป็นโมฆะ อย่างไม่ต้องสงสัยใดๆ
นี่คือสิ่งที่ผู้ที่กอดคัมภีร์ “การเลือกตั้งคือประชาธิปไตย” ไม่เคยคิดว่าจะต้องรับผิดชอบใดๆ.