ในครั้งแรกผมคิดว่าจะเขียนข้อมูลเรื่องอาหารที่ผมได้ไปลิ้มรสลิ้มลองในการท่องเที่ยวที่ฮ่องกงใส่ไปผสมในบทความซีรีย์ “Hong Kong on Foot” ไว้ทีเดียว แต่พอลองไล่ๆ เรียงๆ แล้วมันก็ยาวเกินหน้ากระดาษไปหน่อย จึงตัดสินใจยกยอดทั้งหมดมาเขียนใหม่บอกเล่าเรื่องราวแบบจัดเต็มในมื้อเดียวดีกว่า ซึ่งข้อมูลในส่วนของการท่องเที่ยวก็ต้องขอบคุณหลายๆ เว็บไซต์ เช่น วิกิพีเดีย ,ดิสคัฟเวอรี่ฮ่องกง ,เอ็มทีอาร์ รถไฟฮ่องกง,เฮชเคอีทรานสปอร์ต สำหรับการเดินทางด้วยรถเมล์ และ ทางการของฮ่องกงอีกหลายๆ อัน รวมทั้งหนังสือไกด์บุ๊กเที่ยวฮ่องกงด้วย ส่วนข้อมูลการกิน นอกจากเว็บไทยอย่างฮ่องกงแฟนคลับแล้ว เว็บโอเพ่นไรซ์ ฮ่องกง ก็ถือเป็นแหล่งหลักที่ผมใช้หาของกินเลยล่ะครับ
ถ้าพูดถึงอาหารในฮ่องกง ก็ต้องนึกไปถึงประวัติศาสตร์เก่าๆ ซึ่งผมได้เขียนเอาไว้คร่าวๆ ในงานชิ้นก่อนๆ และตามความเข้าใจของผม “คนฮ่องกงกินอาหารจีน แบบกวางตุ้ง” ที่ได้ขยายอิทธิพลมาในสมัยราชวงศ์ซ่ง ส่วนอาหารจีนแบบอื่นเช่น ฮักกา ก็เป็นไปตามชนเผ่าที่อพยพเข้ามา ขณะที่แบบ เซี่ยงไฮ้ เพิ่งเข้ามาในช่วงที่พรรคคอมมิวนิสต์ได้ปกครองจีน ราวๆ ปี พ.ศ.๒๔๙๒ เช่นเดียวกับอาหารตะวันตกที่เริ่มเข้ามาในยุคที่อังกฤษยึดครอง
ในปัจจุบันฮ่องกงถือเป็นเมือง ๑ ในโลกใบนี้ที่มีอาหารหลากหลายชนิดมากที่สุด ทั้ง จีน,ตะวันตก,ญี่ปุ่น,อินเดีย แม้กระทั่งอาหารไทย ที่ผมเดินไปๆ ก็เจออย่างร้านคนไทยข้าวมันไก่ ที่มีแฟรนไชส์หลายสาขา แต่ผมไม่ได้เข้าไปกินนะ เห็นราคาแล้วถึงกับอึ้ง ราวหลายร้อยบาท กินที่บ้านเราดีกว่า ฮ่าๆๆ จะว่าไปที่นั่นอาหารก็แพงตามค่าเงินล่ะครับ บะหมี่ชามนึงถูกสุด ๒๐ เหรียญ หรือราว ๘๐ บาท คนงบน้อยอย่างเราก็ต้องจำทน ค้นหาร้านที่ถูกและดีกันไป
ว่าแต่ แล้ว “อาหารฮ่องกง” เป็นยังไงล่ะ สำหรับผมนิยามของมันน่าจะเป็นอาหารที่มีความผสมผสานระหว่างจีนกับอื่นๆ อาทิ อาหารตะวันตก อย่างที่ค้นเจอระบุไว้ เช่น ทาร์ตไข่, ชาจีนใส่นม (naai cha) ที่ใส่กรองผ่านถุงกาแฟแบบบ้านเรา , ขนมปังไส้สับปะรด (bo lo yau) ,ชาชงผสมกาแฟ (Yuanyang) ,ซุปมักกะโรนีโปะไข่ดาวและไส้กรอก ,แซนวิชหมูทอด ซึ่งผมไม่ได้กินเลย - -"
ผมจำได้ว่าวันแรกที่ไปถึง ถ้าพูดถึงของกินผมกลับมุ่งหน้าตามหาสิ่งที่เรียกว่า “ตลาด” เพราะอยากรู้ว่า ตลาดบ้านเราเป็นอย่างไร และที่สำคัญ ถ้าไปตลาด เราก็ต้องได้กินของที่ชาวบ้าน (ที่ไม่ใช่นักท่องเที่ยว) เขากินกันแน่ๆ ตลาดบ้านเขาก็คล้ายๆ บ้านเรา เพียงแต่อยู่ใต้ถุนตึก แบ่งซอยเป็นห้องๆ มีระบบไฟฟ้าที่เดินสายอย่างเป็นระเบียบ พื้นปูด้วยกระเบื้องห้องน้ำทำความสะอาดง่าย ไม่เฉอะแฉะเหมือนบ้านเรา แต่ไม่ยักกะมีร้านอาหารให้กินแหะ มีแต่พวกหมูย่าง แบบที่ใส่ในข้าวหมูแดง เป็ดย่าง ไก่ย่าง ห่านย่าง หมูกรอบก็มี และอาหารชิ้นแรกที่ได้กินก็คือ “อกเป็ดย่าง”
ตอนซื้อก็ง่ายมาก มองราคาที่ป้าย เดาคำข้างหลังตัวเลขว่ามันต้องหมายถึง ต่อชิ้น หรือ ทั้งตัว หรือขีด แล้วสั่งเลย ชิ้นนั้นราคาราว ๖๐ บาท ก้อนประมาณไก่อกชานอ้อยห้าดาว ชิมคำแรกกลิ่นควันอบอวลพร้อมรสเค็มของเนื้อเป็ดที่ไม่แห้งมาก พูดแล้วน้ำลายจะไหล ถามว่าทำไมผมถึงไม่ใช้ภาษาอังกฤษคุยกับเขา คือลองแล้วครับ คุยกันไม่รู้เรื่อง เขางง แล้วก็พูดภาษาจีนใส่ เราก็ เออ กูเป็นใบ้ก็ได้ฟ่ะ
พวกย่างๆ นี่ได้ไปกินอีกที่ก็คือตอนต่อรถที่สถานีรถไฟ Tai Wo ข้างล่างมีตลาดอยู่ ไปกินไก่ย่างช่วงสะโพก รสหวานเหมือนอบน้ำผึ้ง กินแล้วนึกถึงไก่หมุนข้างทาง แต่เสียดายมันไม่ร้อน เลยไม่รู้สึกอร่อย อีกที่หนึ่งคือตลาดย่าน Shau Kei Wan กินหมูย่างหนังกรอบ คล้ายๆ หมูย่างเมืองตรัง หนังกรุบกระด้างเล็กๆ ผ่านชั้นเนื้อไขมันหนานุ่ม และเนื้อชิ้นใหญ่ติดเศษกระดูกมีเหนียวนุ่ม ก็อร่อยดี
คนไทยส่วนใหญ่แล้วไปกินอะไรกัน ผมเชื่อว่ามากกว่าร้อยละ ๙๐ ต้องไปเสาะแสวงลิ้มลอง “อาหารจีน” ให้ได้ ส่วนใหญ่ไม่ได้ทราบหรอกครับ อันไหนจีนกวางตุ้ง เสฉวน ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ (รวมทั้งผมด้วย ฮ่าๆๆ) เพียงแต่เห็นว่า เฮ้ยบะหมี่ เป็ดย่าง โจ๊ก ซาลาเปา ไอ้นี่จีนชัวร์!! ไว้วันหลังผมจะไปศึกษาแล้วนำมาเล่าถึงความต่างให้ได้อ่านกัน ... ถ้าได้ลองดูในเว็บไซต์ท่องเที่ยวก็จะมีโปรโมตบอกร้านที่น่าสนใจเพียบ และผมก็ได้ไปลองร้านนึงครับ เป็นร้านยอดนิยมของคนไทย ที่ชื่อว่า ทิม โฮ วาน (Tim Ho Wan) ร้านนี้ต้นฉบับอยู่ที่ย่านมงก๊ก แต่ปัจจุบันขยายสาขาไปหลายที่พอสมควร เห็นว่าที่สาขาแรกถึงกับต้องรอคิวเป็นชั่วโมง ผมก็ไปลองตามหา
ปรากฏว่า ปิด!! ....
ไม่เป็นไร ผมมีแผนสำรองเพราะอยากลองร้านนี้ให้ได้ จึงเลือกสาขาที่อยู่ไกลออกไปอย่างย่านนอร์ท พอยท์ บนเกาะฮ่องกงดู ปรากฏว่า ขายครับ แถมโต๊ะว่างโคตรๆ เสร็จเราล่ะ ร้านนี้ตามที่เขาเล่าลือคืออร่อยถึงขนาดได้รางวัลมิชลิน ๑ ดาวเลยทีเดียว และที่สำคัญราคาสามารถเข้าถึงได้ เข่งละราวๆ ๔๐ บาทขึ้นไป ผมสั่งมาลองไม่ว่าจะเป็น โจ๊กฮ่องกง ที่ต่างจากบ้านเราตรงเนื้อละเอียดมาก และกลิ่นหอยเชลล์แห้งหอมชัด ข้าวอบใบบัว คล้ายๆ บะจ่าง ฮะเก๋ากุ้ง กัดได้เนื้อกุ้งเด้งเต็มๆ ซาลาเปาไส้หมูแดงทอด ไส้ร้อนๆ เยิ้มๆ ฮะเก๋าไส้กุ่ยช่าย กินแล้วเหมือกุ่ยช่ายนึ่งบ้านเรา ขนมจีบกุ้ง และก๋วยเตี๋ยวหลอด ที่เส้นเหนียวนุ่มน้ำรสหวานเค็มอร่อยมากๆ ที่ต้องสั่งอีกอย่างคือวุ้นสมุนไพรสีส้มๆ น่าจะทำจากน้ำมะตูมผสมเก็กฮวยและสมุนไพรอื่นๆ (อันนี้ไม่มั่นใจนะครับ) แต่รสชาติพอชิมแล้วมันหอมหวานอวลในปาก พูดแล้วน้ำลายไหล
สิ่งต่อมาที่จะไม่เล่าเลยก็คงไม่ได้คือ “บะหมี่เกี๊ยว” หรือ Wonton soup ถ้าไปแล้วไม่ได้กินนี่ต้องเสียใจแน่ๆ ร้านก๋วยเตี๋ยวที่นั่นจะมีตู้ด้านหน้าพร้อมป้ายภาษาจีน บางร้านก็พูดอังกฤษได้บ้างไม่ได้บ้าง ผมได้ไปลองมา ๒ ร้าน ในย่านจิมซาจุ่ย หลังสวนสาธารณะเกาลูน เป็นบะหมี่เกี๊ยวกุ้ง เส้นเล็กเหนียวนุ่ม เกี๊ยวกุ้งจริงๆ จริงๆ ร้านนี้มีทีเด็ดที่ก๋วยเตี๋ยวเนื้อ แต่ผมไม่ได้ลอง เพราะใช้วิธีชี้จากรูปที่ผมพรินท์ไป บังเอิญรูปมันไม่ชัด กลัวว่าจะได้อะไรที่พิสดารมาทานแน่ ก็เลยมิได้สั่ง
ส่วนอีกร้านอยู่ในโซนฝั่งตรงข้ามสวน สั่งเกี๊ยวน้ำเป็นเกี๊ยวไส้เนื้อตุ๋น ไอ้เราก็นึกว่าเป็นเนื้อล้วนๆ ที่ไหนได้ มันมีน้ำข้างในครับ ยิ่งแบบทอดคล้ายๆ จี่ลงในกระทะแบบเกี๊ยวซ่า ยิ่งอร่อยมาก น้ำซุปเนื้อไหลลงฉ่ำในปาก ถึงกับต้องร้อง .... มันร้อนลวกปากอ่า - -"
หรืออย่าง “ของกินเล่น” บ้านเขา แน่นอนว่าลูกชิ้นทอด เครื่องในต้มวัว ก็โด่งดัง แต่ผมกลับได้มากินที่เขตปกครองพิเศษมาเก๊าซะงั้น อ่อ ใช่ๆ ผมได้กินวันแรกเลยลูกชิ้นปลาทอดเนื้อเด้งๆ น้ำจิ้มเผ็ดร้อนแต่ไม่เผ็ดหวานมากเหมือนบ้านเรานัก และอีกอย่างที่ผมเจอตอนไปเดินถนนคนเดินย่านมงก๊ก คืออาหารชนิดนี้ครับ บะหมี่ซองปรุงตามใจฉัน ... ชื่อเรียกอย่างเป็นทางการผมจำไม่ได้ว่าอะไรแต่ผมขอเรียกแบบนี้แล้วกัน
ร้านจะอยู่ริมทางมีตู้เหมือนตู้ไอศกรีมแต่ภายในกลับมีแต่อาหารแช่วางเรียงรายกัน ตั้งแต่ปลาหมึก กุ้งต้ม ยำสาหร่าย ... ไปจนถึงหูฉลามแบบเส้น เวลาสั่งเขาก็จะมีบะหมี่สดใส่ซอง แล้วก็ให้เราชี้สั่งเครื่องใส่ลงไปในซอง กี่อย่างก็ได้ คิดราคาอย่างละ ๑๒ บาท เมื่อเลือกเสร็จเขาก็จะคลุกกับซอสพริก ซีอิ๊ว และซอสอื่นๆ ให้เข้ากัน แล้วก็กิน รสชาติก็เค็มๆ ปะแล่มปะแล่มดีครับ เหมือนวัยรุ่นเขากำลังฮิต ก็ลองไปชิมกันได้
พูดถึงของกินเล่นก็นึกถึงพวก “ของหวาน” ในฮ่องกงร้านเบเกอรี่ ขนมปังก็เยอะพอๆ กับบ้านเรา บางร้านก็มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง เช่น ร้าน Charlie Brown Cafe ที่แต่งร้าน และเค้กเป็นรูปตัวการ์ตูนในเรื่อง เป็นต้น แต่ที่ขึ้นชื่อที่คนไทยฮิตๆ ก็จะเป็นวาฟเฟิลบอล ขนมรังผึ้งกรอบเป็นรูปลูกบอล ผมกินแล้วก็ว่ามันจืดๆ ไม่โดนเท่าไหร่ แต่ที่ชอบมากๆ นี่เลยครับ ขนมปังไส้กรอก ร้านวิง ล็อก หยวน (Wing Lok Yuen) ในย่านเซ็นทรัล ที่ขึ้นชื่อของร้านคือฮอตด็อก หรือขนมปังใส่ไส้กรอก ๒ ชิ้น ทาด้วยชีสและเนย ชิ้นละ ๔๐ บาทได้กระมัง แต่มันอร่อย หอม หวาน เนื้อไส้กรอกแน่นเค็มนิดๆ ฮึ่ย ติดใจจนอยากไปกินอีก
ถามว่ามีอะไรที่ไม่อร่อย หรือไม่คุ้นลิ้นเรามั้ย ก็ต้องบอกว่า มีแน่ๆ เช่นร้านขายขนมปังย่านมงก๊ก เป็นขนมปังไส้ไก่ ไส้หมู แบบบ้านเราเนี่ยล่ะ ในเว็บโอเพ่นไรซ์คนชิมเยอะมาก ผมก็อยากลอง แต่พอได้ชิมแล้วแบบ เอิ่ม ... มันเป็นขนมเปี๊ยะที่มีไส้ข้างในเป็นผัดผักกับเครื่องเทศ พวกพริกไทยและอื่นๆ รสชาติจืดแท้ๆ หรืออย่างร้านขายน้ำสมุนไพรตรงย่านนอร์ธพ้อยท์ ฝั่งเกาะฮ่องกง ผมสั่งน้ำสีดำๆ มาเป็นถ้วย ใจเราก็คิดว่ามันต้องเป็นจับเลี้ยง ผิดครับ! มันคือน้ำลำไยไม่ใส่น้ำตาล
ของหวานอีกอย่างที่ขึ้นชื่อก็คือทาร์ตไข่ ร้าน Tai Cheong Bakery ในฝั่งเกาะฮ่องกงครับ เขาว่าอร่อยถึงขนาดผู้ว่าการเขตปกครองพิเศษยังต้องมาชิมเลย ซึ่งของที่นี่จะไม่เหมือนมาเก๊า แป้งฐานของทาร์ตจะเหมือนแป้งพายแข็งๆ รสก็จะหวานกว่า หรือจะเป็นพุดดิ้งนม ก็ถือว่าดังเช่นกัน ผมไปกินที่ร้าน Yee Shun Dairy Company. ในย่านจอร์แดนด้วยความบังเอิญ เพราะอีกร้านปิด ตัวพุดดิ้งกลิ่นไม่เท่าไหร่ แต่พอตักชิมเข้าไป กลิ่นนมอวลหอมไปหมด มันหวานอร่อยมาก (และลวกปากด้วย)
นอกจากนี้ก็ยังมีเต้าฮวย เต้าฮวยร้อนแบบบ้านเราเนี่ยล่ะ กินเปล่าๆ กลิ่นเต้าหู้แรงใช้ได้เลย ต้องกินคู่กับน้ำเชื่อมรสขิงและน้ำตาลที่มีรสส้ม ที่วางไว้ให้เติม อึ้มมมม อร่อย ผมซึ่งไม่ชอบกินเต้าหู้ถึงขนาดกินหมดเลยล่ะ รวมถึงน้ำมะม่วงปั่นนี่ก็ดังเห้นเขาว่าอร่อย แต่ผมไม่ได้กิน ผมเลือกทานน้ำกะทิปั่นใส่สาคูเม็ดเป้ง (รสเหมือนกินรวมมิตรเลย) นี่ก็ถือว่าฮิตเหมือนกัน
อาหารอีกอย่างที่คนไทยนิยมมากก็คือ “สุกี้ฮ่องกง หรือ ฮอตพอต” ผมพยายามตามหาร้านที่มันเป็นบุฟเฟ่ต์ แต่ก็ไม่เจอ (มารู้อีกทีว่ามีตอนกลับมาแล้ว) เลยได้ไปกินร้าน Tao Heung อยู่ในอาคารคาร์นิวอน พลาซ่า ย่านจิมซาจุ่ยแทน ร้านนี้ดียังไง ไม่ทราบ รู้แต่หลังสามทุ่มมันลดราคา นี่คือประเด็นหลัก บางอย่างลดครึ่งราคา บางอย่างก็จ่ายเต็ม แล้วแต่เราสั่ง แต่ต้องเสียค่าเปิดหม้อ ไม่สิค่าน้ำซุปด้วย ซึ่งน้ำซุปก็จะมีให้เลือกหลายอย่าง ผมสั่งต้นตำรับมา รสชาติก็ดี กลิ่นเครื่องเทศพอใช้
โต๊ะที่ผมนั่งเป็นโต๊ะกลมมีเตาแม่เหล็กไฟฟ้าอยู่ตรงกลาง คล้ายๆ บ้านเรา แต่ทำไมทุกคนในร้านต่างมองผมราวกับเป็นตัวประหลาด ผมจึงเดาว่า เป็นเพราะมากินคนเดียวแหงๆ มองไปรอบๆ มีแต่มากันเป็นครอบครัว เป็นแก๊ง เป็นคู่ ... บนโต๊ะมีน้ำชาวางไว้ รู้สึกจะคิดอีก ๑๒ บาท เราก็สงสัยเอาวางไว้ให้ล้างถ้วยหรือให้ดื่ม แต่ก็ช่างเถอะเสียตังค์แล้ว เลยไม่สั่งน้ำเพิ่ม (งก) แล้วก็มีเครื่องปรุงตามมา อันนี้งงกว่า คือ แล้วยังไงต่อล่ะ? พนักงานรุ่นป้ายืนมองสักพักคงรู้ว่าผมสงสัย เลยเข้ามาใช้ภาษามือชี้ที่เครื่องปรุงแล้วหมุนๆ อ่อ.... ให้ใส่ทุกอย่างลงในถ้วยเลยสินะ ในเครื่องปรุงก็มีซอสถั่ว พริกเผา กระเทียมเจียว ถั่วป่น ต้นหอม และพริก มันดูประหลาดมาก (แหงล่ะบ้านเราไม่มีงี้นิ) ผมก็ทำตามที่เขาบอกนั่นล่ะ รสมันก็เค็มปะแล่มๆ แต่ก็กินได้
ได้เวลาเมนูที่สั่งไว้มา เริ่มจากเนื้อสไลด์ ในนั้นเขียนว่าเกรดเอ ราคาเลยไม่ลด ก็อร่อยจริงๆ เคี้ยวนุ่มมาก แต่ก็มีเนื้ออีกราคานึง ผมอยากรู้เลยสั่ง มันเป็นเนื้อสดหั่นหยาบ ก็ไม่ได้เลวร้าย สั่งลูกชิ้นเนื้อ ก็คิดว่าจะมาแบบลูกเสียบไม้บ้านเรา ปรากฏตรงหน้าโอ้วมันใหญ่กว่าเท่านึงได้ แถมพอเคี้ยวแล้วสัมผัสได้เลยว่า แม่งหาไม่ได้ในไทยแน่นอน เนื้อล้วนๆ จริงๆ ด้วยว่างบน้อยเลยสั่งเกี๊ยวกุ้งมาอีกอย่าง ก็สมคุณค่าจริงๆ แล้วก็มีอะไรมาวางไว้บนโต๊ะ เป็นเนื้อปลา ผมงงเลยกูสั่งไปตอนไหนฟ่ะ เลยเรียกคุณป้ามาคืนไป ไม่ได้กิน ทั้งหมดมื้อนี้ค่าเสียหายก็หลายร้อยอยู่ครับ
พูดถึง “บุฟเฟ่ต์” แล้วก็ลืมไม่ได้สำหรับเมนูนี้ ผมเป็นคนนึงที่บ้าการกินบุฟเฟ่ต์อย่างมาก ถ้ามีตังค์นี่จะไปตามชิมตลอด และนี่ก็เป็นอีกจุดมุ่งหมายหนึ่งในการไปเที่ยวเพื่ออยากรู้ว่า ที่นั่นมันเป็นยังไง ซึ่งมันก็ไม่ต่างจากบ้านเราล่ะครับ แต่ราคาสูงไปหน่อย เผอิญไปเจอร้านอาหารญี่ปุ่นเข้าแล้วมันก็เป็นรูปแบบการกินที่อยากเสียด้วย เลยจัดซะหน่อย
ร้านนี้ชื่อว่าไดกิยะ อยู่ในย่านจิมซาจุ่ย และความประหลาดอย่างนึงของร้านอาหารที่นี่คือ ถ้าเป็นช่วงค่ำๆ ก็จะแพงมาก แต่ถ้ากลางวันหรือเริ่มดึกก็จะถูกลง ทั้งๆ ที่เมนูเหมือนกันเดี๊ยะเลย ส่วนที่เลือกร้านนี้มีอยู่ ๒ อย่างครับ ๑.มันได้คะแนนความนิยมเยอะ และ ๒.มันมีหอยปีกนกให้กินในไลน์แบบจุใจ ซึ่งในบ้านเราร้านที่มีขั้นต่ำก็เหยียบพันอัพ ถ้าผมจำไม่ผิดงบมื้อนี้ราวๆ ๙๐๐ บาท ที่ร้านจะเป็นบุฟเฟ่ต์แบบตามสั่ง มีกระดาษใบเมนูแล้วเราก็เขียนเลขเลือก เมนูมีหลายแผ่นมาก
แต่! ที่นี่มันไม่เหมือนบ้านเรานะครับ ... ตามปกติ อย่างในร้านทั่วไป ถ้าเราเขียนเลข ๑ นั่นหมายถึง ๑ ที่ หรือ ๑ จาน แต่สำหรับร้านนี้หมายถึง ๑ ชิ้น!! อย่างที่เจอเลย ผมสั่งกุ้งเทมปุระ เขียนเลข ๑ ไปข้างหน้า แล้วพลางคิดในใจว่า มันต้องมา ๑ จานซึ่งประกอบไปด้วยกุ้งหลายๆ ตัวกับผักหลากชนิดแบบที่เราเคยเห็น แต่สิ่งที่ได้คือ กุ้ง ๑ ตัว แค่นั้นเอง ....
พูดถึงอาหารถ้าอย่างปลาดิบ นอกจากหอยปีกนกก็มี ปลาแซลมอน ทูน่า ฮามาจิ ปลานิชิน (nishin) อันนี้ประหลาดมากครับ เป็นปลาที่มีไข่ติดท้องเป็นแถบสีเหลืองหมดเลย แล้วก็หอยงวงช้าง หอยสังข์ กินแบบดิบๆ นั่นล่ะ เมนูอื่นๆ ก็ทั่วไปน่ะครับ ซูชิหน้าต่างๆ มีประหลาดหน่อยก็ชื่อ Thai style tiger prawn สั่งมาก็ ... ซูชิกุ้งลายเสือดิบราดซอสเค็มเปรี้ยว ผมเดาว่าเขาพยายามเลียนแบบกุ้งแช่น้ำปลาแน่ๆ มีอีกอันครับ นี่เป็นอาหารประเภทของว่าง มันชื่อ chicken legs in Thai style ทายสิมันจะออกมาเป็นอะไร??? และสิ่งที่ได้ก็คือ!! ยำเล็บมือนาง .... เอาตีนไก่มาราดซอสเชิงน้ำจิ้มไก่แต่เจือจาง บร๊ะเจ้า คนที่นั่นเขาชอบอาหารไทยแบบนี้เหรอฟ่ะ??
ที่อร่อยๆ ก็อย่างซี่โครงแกะย่าง หอยนางรมอบชีส ซูชิหอยเชลล์ย่าง ซูชิปลาไหลย่าง ซูชิปลาฮามาจิลนไฟ ซาลาเปาทอดไส้ชีส สลัดหูฉลาม สุกี้ญี่ปุ่นเนื้อ พอเริ่มอิ่มก็ตบท้ายด้วยผลไม้ คือแก้วมังกร และสับปะรดหั่นเป็นชิ้นๆ แต่มาทั้งเปลือก? ....อืมมม์ เขียนไปก็หิวตาม ถ้าจำไม่ผิดเขาให้เวลาเราราว ๒ ชั่วโมงในการกินได้
ผมเป็นพวกบ้าอีกแบบคืออยากลองกิน “ฟาสต์ฟู้ดในต่างแดน” ฟังดูแล้วอาจตลก จริงๆ มันก็ตลกล่ะ อุตส่าห์ไปถึงที่โน้นแต่ไปกินฟาสต์ฟู้ดซะงั้น แต่จุดประสงค์ของผมคือ อยากรู้ว่าเฮ้ย มันเหมือนบ้านเราเปล่าวะ .... ผมได้สำรวจแมคโดนัลด์ มันเป็นอาหารที่ถูกมากๆ ชีสเบอร์เกอร์เนื้อธรรมดาถ้าช่วงโปรราคาไม่ถึง ๔๐ บาท ถูกกว่าบ้านเราอีก ตอนผมไปเจอโปรซอสเนื้อเทอริยากิ (ถ้าจำไม่ผิด) ก็ฉ่ำอร่อยดี แต่ไก่ทอด เบอร์เกอร์ปกติ รสเหมือนบ้านเรา อ่อ ลืมไป อย่างแมคฯ คาเฟ่นี่เขามีขายในสวนสาธารณะเกาลูนด้วย เมนูที่ต่างก็อย่างไอศครีมโปะสเลอปี้ ราดซอสราสเบอรี่แก้วใหญ่ในราคาราวๆ ๕๐ บาท อร่อยดี บ้านเราน่าทำบ้าง
หรืออย่างเคเอฟซี ที่ต่างจากบ้านเราชัดๆ คือ เขาไม่ใส่จานแต่จะใส่ตระกร้า พร้อมอุปกรณ์คือ ถุงมือพลาสติกให้ได้ใช้กัดแทะกินกันอย่างเต็มที่ ผมเจอโปรไก่ย่างซอสญี่ปุ่น ในรูปดูน่ากินมากๆ เจอของจริงไก่แห้งๆ แล้วแอบเซ็ง ส่วนตัวไก่ทอดบ้านเรารสชาติดีกว่า .... โยชิโนย่า ร้านข้าวหน้าเนื้อแฟรนไชส์จากญี่ปุ่น ที่นี่ก็มีขาย และที่สำคัญมีเซ็ทที่ถูกกว่าเมืองไทย ผมสั่งข้าวหน้าเนื้อธรรมดาแบบที่กำลังลดราคา มีน้ำชาแถมให้ตกแค่ ๙๐ บาท แถมรสชาติผมว่าน้ำราดเข้มข้นกว่านิดนึงด้วย เอาล่าสุดที่เข้ามาในไทย ชาไข่มุกโคโค่ ที่นั่นมีโปรแก้วละ ๗๐ บาท เป็นชารสช๊อกโกแลตใส่ไข่มุกราดด้วยครีมรสชีส ดูแพงแต่อร่อยหวานเค็มมันกำลังดี ....กว่าที่ขายอยู่ในไทยซึ่งผมลองไปชิมแม้จะไม่มีรสนี้ แต่ผมคิดถึงที่ฮ่องกงจัง
ที่ลืมไม่ได้คือไอศครีมรถตู้ โมบาย ซอฟตี้ เป็นรถตู้ขายไอศครีมกดใส่โคน โคนละ ๓๒ บาท (แอบแพง) มีรสนมรสเดียวก็ไม่เลวร้าย นอกจากนี้ลุงแกยังมีไอศครีมถ้วยด้วย มีรสส้ม รสนมและนมโรยถั่ว รสส้มนี่เปรี้ยวดี จำได้ตอนไปซื้อที่ศูนย์จัดแสดงนิทรรศการฮ่องกง ย่านหว่านไจ๋ เกาะฮ่องกงนี่กินยากมาก ไม่ใช่อะไรครับ อากาศมันหนาว ไอศครีมก็เลยแข็ง แคะไม่ออก
เอาเข้าจริงๆ “การกินของอร่อยเปรียบดั่งความสุขอันแสนหวานของผมนะ” ยิ่งในต่างแดนก็เหมือนเราได้เรียนรู้และสัมผัสถึงชีวิตของคนที่นั่น ในทุกร้าน มีความต่างในตัวมัน หลายที่ก็มีพฤติกรรมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเขา เช่น การพูด การสั่งอาหารจากผู้รับเมนูด้วยสำเนียงที่แข็งกร้าว หลายที่ก็มีผู้คนเช่นบ้านเรา ทั้งน้ำใจในระหว่างการกินอย่างที่ร้านก๋วยเตี๋ยวซึ่งผมทำงงๆ กับเครื่องปรุง คุณลุงและป้า ซึ่งนั่งโต๊ะเดียวกับผมก็พยายามคุยและสอนผมเป็นภาษาอังกฤษ ที่ผมไม่คิดว่าจะได้เจอ หรือแม้กระทั่งป้าพนักงานเซเว่นที่หยิบกระดาษทิชชู่ส่วนตัวของแกมาให้ผมเอาไปใช้ตอนที่ผมไปซื้ออาหารกล่องแล้วพออุ่นไมโครเวฟมันเลอะมือ เป็นสิ่งเล็กๆ ที่ผมไม่คิดว่าจะได้ในต่างแดนจริงๆ
มีอีกหลายอย่างที่ผมอยากกลับไปกินมากๆ ทั้งสุกี้แบบปักกิ่ง ชาจีนใส่นม, ขนมปังไส้สับปะรด ,ชาชงผสมกาแฟ ,ซุปมักกะโรนีโปะไข่ ดาวและไส้กรอก ,แซนวิสหมูทอด ,ขนมเปี๊ยะ และอื่นๆ ที่อยากไปซ้ำรวมถึงบุฟเฟ่ต์อาหารญี่ปุ่น จึงไม่แปลกใจเลยที่ทำไมบางคนเขาถึงนิยมจะไปฮ่องกงเพื่อกิน
เพราะของอร่อยมันมีเยอะแบบนี้นี่เอง.....
ขอบคุณทุกท่านสำหรับการติดตามซีรี่ย์ ฮ่องกง และหวังว่าจะมีภาคต่อของเรื่องราวอื่นๆ ให้ได้เล่าสู่แก่ผู้อ่านอีกในไม่ช้า ......
ถ้าพูดถึงอาหารในฮ่องกง ก็ต้องนึกไปถึงประวัติศาสตร์เก่าๆ ซึ่งผมได้เขียนเอาไว้คร่าวๆ ในงานชิ้นก่อนๆ และตามความเข้าใจของผม “คนฮ่องกงกินอาหารจีน แบบกวางตุ้ง” ที่ได้ขยายอิทธิพลมาในสมัยราชวงศ์ซ่ง ส่วนอาหารจีนแบบอื่นเช่น ฮักกา ก็เป็นไปตามชนเผ่าที่อพยพเข้ามา ขณะที่แบบ เซี่ยงไฮ้ เพิ่งเข้ามาในช่วงที่พรรคคอมมิวนิสต์ได้ปกครองจีน ราวๆ ปี พ.ศ.๒๔๙๒ เช่นเดียวกับอาหารตะวันตกที่เริ่มเข้ามาในยุคที่อังกฤษยึดครอง
ในปัจจุบันฮ่องกงถือเป็นเมือง ๑ ในโลกใบนี้ที่มีอาหารหลากหลายชนิดมากที่สุด ทั้ง จีน,ตะวันตก,ญี่ปุ่น,อินเดีย แม้กระทั่งอาหารไทย ที่ผมเดินไปๆ ก็เจออย่างร้านคนไทยข้าวมันไก่ ที่มีแฟรนไชส์หลายสาขา แต่ผมไม่ได้เข้าไปกินนะ เห็นราคาแล้วถึงกับอึ้ง ราวหลายร้อยบาท กินที่บ้านเราดีกว่า ฮ่าๆๆ จะว่าไปที่นั่นอาหารก็แพงตามค่าเงินล่ะครับ บะหมี่ชามนึงถูกสุด ๒๐ เหรียญ หรือราว ๘๐ บาท คนงบน้อยอย่างเราก็ต้องจำทน ค้นหาร้านที่ถูกและดีกันไป
ว่าแต่ แล้ว “อาหารฮ่องกง” เป็นยังไงล่ะ สำหรับผมนิยามของมันน่าจะเป็นอาหารที่มีความผสมผสานระหว่างจีนกับอื่นๆ อาทิ อาหารตะวันตก อย่างที่ค้นเจอระบุไว้ เช่น ทาร์ตไข่, ชาจีนใส่นม (naai cha) ที่ใส่กรองผ่านถุงกาแฟแบบบ้านเรา , ขนมปังไส้สับปะรด (bo lo yau) ,ชาชงผสมกาแฟ (Yuanyang) ,ซุปมักกะโรนีโปะไข่ดาวและไส้กรอก ,แซนวิชหมูทอด ซึ่งผมไม่ได้กินเลย - -"
ผมจำได้ว่าวันแรกที่ไปถึง ถ้าพูดถึงของกินผมกลับมุ่งหน้าตามหาสิ่งที่เรียกว่า “ตลาด” เพราะอยากรู้ว่า ตลาดบ้านเราเป็นอย่างไร และที่สำคัญ ถ้าไปตลาด เราก็ต้องได้กินของที่ชาวบ้าน (ที่ไม่ใช่นักท่องเที่ยว) เขากินกันแน่ๆ ตลาดบ้านเขาก็คล้ายๆ บ้านเรา เพียงแต่อยู่ใต้ถุนตึก แบ่งซอยเป็นห้องๆ มีระบบไฟฟ้าที่เดินสายอย่างเป็นระเบียบ พื้นปูด้วยกระเบื้องห้องน้ำทำความสะอาดง่าย ไม่เฉอะแฉะเหมือนบ้านเรา แต่ไม่ยักกะมีร้านอาหารให้กินแหะ มีแต่พวกหมูย่าง แบบที่ใส่ในข้าวหมูแดง เป็ดย่าง ไก่ย่าง ห่านย่าง หมูกรอบก็มี และอาหารชิ้นแรกที่ได้กินก็คือ “อกเป็ดย่าง”
ตอนซื้อก็ง่ายมาก มองราคาที่ป้าย เดาคำข้างหลังตัวเลขว่ามันต้องหมายถึง ต่อชิ้น หรือ ทั้งตัว หรือขีด แล้วสั่งเลย ชิ้นนั้นราคาราว ๖๐ บาท ก้อนประมาณไก่อกชานอ้อยห้าดาว ชิมคำแรกกลิ่นควันอบอวลพร้อมรสเค็มของเนื้อเป็ดที่ไม่แห้งมาก พูดแล้วน้ำลายจะไหล ถามว่าทำไมผมถึงไม่ใช้ภาษาอังกฤษคุยกับเขา คือลองแล้วครับ คุยกันไม่รู้เรื่อง เขางง แล้วก็พูดภาษาจีนใส่ เราก็ เออ กูเป็นใบ้ก็ได้ฟ่ะ
พวกย่างๆ นี่ได้ไปกินอีกที่ก็คือตอนต่อรถที่สถานีรถไฟ Tai Wo ข้างล่างมีตลาดอยู่ ไปกินไก่ย่างช่วงสะโพก รสหวานเหมือนอบน้ำผึ้ง กินแล้วนึกถึงไก่หมุนข้างทาง แต่เสียดายมันไม่ร้อน เลยไม่รู้สึกอร่อย อีกที่หนึ่งคือตลาดย่าน Shau Kei Wan กินหมูย่างหนังกรอบ คล้ายๆ หมูย่างเมืองตรัง หนังกรุบกระด้างเล็กๆ ผ่านชั้นเนื้อไขมันหนานุ่ม และเนื้อชิ้นใหญ่ติดเศษกระดูกมีเหนียวนุ่ม ก็อร่อยดี
คนไทยส่วนใหญ่แล้วไปกินอะไรกัน ผมเชื่อว่ามากกว่าร้อยละ ๙๐ ต้องไปเสาะแสวงลิ้มลอง “อาหารจีน” ให้ได้ ส่วนใหญ่ไม่ได้ทราบหรอกครับ อันไหนจีนกวางตุ้ง เสฉวน ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ (รวมทั้งผมด้วย ฮ่าๆๆ) เพียงแต่เห็นว่า เฮ้ยบะหมี่ เป็ดย่าง โจ๊ก ซาลาเปา ไอ้นี่จีนชัวร์!! ไว้วันหลังผมจะไปศึกษาแล้วนำมาเล่าถึงความต่างให้ได้อ่านกัน ... ถ้าได้ลองดูในเว็บไซต์ท่องเที่ยวก็จะมีโปรโมตบอกร้านที่น่าสนใจเพียบ และผมก็ได้ไปลองร้านนึงครับ เป็นร้านยอดนิยมของคนไทย ที่ชื่อว่า ทิม โฮ วาน (Tim Ho Wan) ร้านนี้ต้นฉบับอยู่ที่ย่านมงก๊ก แต่ปัจจุบันขยายสาขาไปหลายที่พอสมควร เห็นว่าที่สาขาแรกถึงกับต้องรอคิวเป็นชั่วโมง ผมก็ไปลองตามหา
ปรากฏว่า ปิด!! ....
ไม่เป็นไร ผมมีแผนสำรองเพราะอยากลองร้านนี้ให้ได้ จึงเลือกสาขาที่อยู่ไกลออกไปอย่างย่านนอร์ท พอยท์ บนเกาะฮ่องกงดู ปรากฏว่า ขายครับ แถมโต๊ะว่างโคตรๆ เสร็จเราล่ะ ร้านนี้ตามที่เขาเล่าลือคืออร่อยถึงขนาดได้รางวัลมิชลิน ๑ ดาวเลยทีเดียว และที่สำคัญราคาสามารถเข้าถึงได้ เข่งละราวๆ ๔๐ บาทขึ้นไป ผมสั่งมาลองไม่ว่าจะเป็น โจ๊กฮ่องกง ที่ต่างจากบ้านเราตรงเนื้อละเอียดมาก และกลิ่นหอยเชลล์แห้งหอมชัด ข้าวอบใบบัว คล้ายๆ บะจ่าง ฮะเก๋ากุ้ง กัดได้เนื้อกุ้งเด้งเต็มๆ ซาลาเปาไส้หมูแดงทอด ไส้ร้อนๆ เยิ้มๆ ฮะเก๋าไส้กุ่ยช่าย กินแล้วเหมือกุ่ยช่ายนึ่งบ้านเรา ขนมจีบกุ้ง และก๋วยเตี๋ยวหลอด ที่เส้นเหนียวนุ่มน้ำรสหวานเค็มอร่อยมากๆ ที่ต้องสั่งอีกอย่างคือวุ้นสมุนไพรสีส้มๆ น่าจะทำจากน้ำมะตูมผสมเก็กฮวยและสมุนไพรอื่นๆ (อันนี้ไม่มั่นใจนะครับ) แต่รสชาติพอชิมแล้วมันหอมหวานอวลในปาก พูดแล้วน้ำลายไหล
สิ่งต่อมาที่จะไม่เล่าเลยก็คงไม่ได้คือ “บะหมี่เกี๊ยว” หรือ Wonton soup ถ้าไปแล้วไม่ได้กินนี่ต้องเสียใจแน่ๆ ร้านก๋วยเตี๋ยวที่นั่นจะมีตู้ด้านหน้าพร้อมป้ายภาษาจีน บางร้านก็พูดอังกฤษได้บ้างไม่ได้บ้าง ผมได้ไปลองมา ๒ ร้าน ในย่านจิมซาจุ่ย หลังสวนสาธารณะเกาลูน เป็นบะหมี่เกี๊ยวกุ้ง เส้นเล็กเหนียวนุ่ม เกี๊ยวกุ้งจริงๆ จริงๆ ร้านนี้มีทีเด็ดที่ก๋วยเตี๋ยวเนื้อ แต่ผมไม่ได้ลอง เพราะใช้วิธีชี้จากรูปที่ผมพรินท์ไป บังเอิญรูปมันไม่ชัด กลัวว่าจะได้อะไรที่พิสดารมาทานแน่ ก็เลยมิได้สั่ง
ส่วนอีกร้านอยู่ในโซนฝั่งตรงข้ามสวน สั่งเกี๊ยวน้ำเป็นเกี๊ยวไส้เนื้อตุ๋น ไอ้เราก็นึกว่าเป็นเนื้อล้วนๆ ที่ไหนได้ มันมีน้ำข้างในครับ ยิ่งแบบทอดคล้ายๆ จี่ลงในกระทะแบบเกี๊ยวซ่า ยิ่งอร่อยมาก น้ำซุปเนื้อไหลลงฉ่ำในปาก ถึงกับต้องร้อง .... มันร้อนลวกปากอ่า - -"
หรืออย่าง “ของกินเล่น” บ้านเขา แน่นอนว่าลูกชิ้นทอด เครื่องในต้มวัว ก็โด่งดัง แต่ผมกลับได้มากินที่เขตปกครองพิเศษมาเก๊าซะงั้น อ่อ ใช่ๆ ผมได้กินวันแรกเลยลูกชิ้นปลาทอดเนื้อเด้งๆ น้ำจิ้มเผ็ดร้อนแต่ไม่เผ็ดหวานมากเหมือนบ้านเรานัก และอีกอย่างที่ผมเจอตอนไปเดินถนนคนเดินย่านมงก๊ก คืออาหารชนิดนี้ครับ บะหมี่ซองปรุงตามใจฉัน ... ชื่อเรียกอย่างเป็นทางการผมจำไม่ได้ว่าอะไรแต่ผมขอเรียกแบบนี้แล้วกัน
ร้านจะอยู่ริมทางมีตู้เหมือนตู้ไอศกรีมแต่ภายในกลับมีแต่อาหารแช่วางเรียงรายกัน ตั้งแต่ปลาหมึก กุ้งต้ม ยำสาหร่าย ... ไปจนถึงหูฉลามแบบเส้น เวลาสั่งเขาก็จะมีบะหมี่สดใส่ซอง แล้วก็ให้เราชี้สั่งเครื่องใส่ลงไปในซอง กี่อย่างก็ได้ คิดราคาอย่างละ ๑๒ บาท เมื่อเลือกเสร็จเขาก็จะคลุกกับซอสพริก ซีอิ๊ว และซอสอื่นๆ ให้เข้ากัน แล้วก็กิน รสชาติก็เค็มๆ ปะแล่มปะแล่มดีครับ เหมือนวัยรุ่นเขากำลังฮิต ก็ลองไปชิมกันได้
พูดถึงของกินเล่นก็นึกถึงพวก “ของหวาน” ในฮ่องกงร้านเบเกอรี่ ขนมปังก็เยอะพอๆ กับบ้านเรา บางร้านก็มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง เช่น ร้าน Charlie Brown Cafe ที่แต่งร้าน และเค้กเป็นรูปตัวการ์ตูนในเรื่อง เป็นต้น แต่ที่ขึ้นชื่อที่คนไทยฮิตๆ ก็จะเป็นวาฟเฟิลบอล ขนมรังผึ้งกรอบเป็นรูปลูกบอล ผมกินแล้วก็ว่ามันจืดๆ ไม่โดนเท่าไหร่ แต่ที่ชอบมากๆ นี่เลยครับ ขนมปังไส้กรอก ร้านวิง ล็อก หยวน (Wing Lok Yuen) ในย่านเซ็นทรัล ที่ขึ้นชื่อของร้านคือฮอตด็อก หรือขนมปังใส่ไส้กรอก ๒ ชิ้น ทาด้วยชีสและเนย ชิ้นละ ๔๐ บาทได้กระมัง แต่มันอร่อย หอม หวาน เนื้อไส้กรอกแน่นเค็มนิดๆ ฮึ่ย ติดใจจนอยากไปกินอีก
ถามว่ามีอะไรที่ไม่อร่อย หรือไม่คุ้นลิ้นเรามั้ย ก็ต้องบอกว่า มีแน่ๆ เช่นร้านขายขนมปังย่านมงก๊ก เป็นขนมปังไส้ไก่ ไส้หมู แบบบ้านเราเนี่ยล่ะ ในเว็บโอเพ่นไรซ์คนชิมเยอะมาก ผมก็อยากลอง แต่พอได้ชิมแล้วแบบ เอิ่ม ... มันเป็นขนมเปี๊ยะที่มีไส้ข้างในเป็นผัดผักกับเครื่องเทศ พวกพริกไทยและอื่นๆ รสชาติจืดแท้ๆ หรืออย่างร้านขายน้ำสมุนไพรตรงย่านนอร์ธพ้อยท์ ฝั่งเกาะฮ่องกง ผมสั่งน้ำสีดำๆ มาเป็นถ้วย ใจเราก็คิดว่ามันต้องเป็นจับเลี้ยง ผิดครับ! มันคือน้ำลำไยไม่ใส่น้ำตาล
ของหวานอีกอย่างที่ขึ้นชื่อก็คือทาร์ตไข่ ร้าน Tai Cheong Bakery ในฝั่งเกาะฮ่องกงครับ เขาว่าอร่อยถึงขนาดผู้ว่าการเขตปกครองพิเศษยังต้องมาชิมเลย ซึ่งของที่นี่จะไม่เหมือนมาเก๊า แป้งฐานของทาร์ตจะเหมือนแป้งพายแข็งๆ รสก็จะหวานกว่า หรือจะเป็นพุดดิ้งนม ก็ถือว่าดังเช่นกัน ผมไปกินที่ร้าน Yee Shun Dairy Company. ในย่านจอร์แดนด้วยความบังเอิญ เพราะอีกร้านปิด ตัวพุดดิ้งกลิ่นไม่เท่าไหร่ แต่พอตักชิมเข้าไป กลิ่นนมอวลหอมไปหมด มันหวานอร่อยมาก (และลวกปากด้วย)
นอกจากนี้ก็ยังมีเต้าฮวย เต้าฮวยร้อนแบบบ้านเราเนี่ยล่ะ กินเปล่าๆ กลิ่นเต้าหู้แรงใช้ได้เลย ต้องกินคู่กับน้ำเชื่อมรสขิงและน้ำตาลที่มีรสส้ม ที่วางไว้ให้เติม อึ้มมมม อร่อย ผมซึ่งไม่ชอบกินเต้าหู้ถึงขนาดกินหมดเลยล่ะ รวมถึงน้ำมะม่วงปั่นนี่ก็ดังเห้นเขาว่าอร่อย แต่ผมไม่ได้กิน ผมเลือกทานน้ำกะทิปั่นใส่สาคูเม็ดเป้ง (รสเหมือนกินรวมมิตรเลย) นี่ก็ถือว่าฮิตเหมือนกัน
อาหารอีกอย่างที่คนไทยนิยมมากก็คือ “สุกี้ฮ่องกง หรือ ฮอตพอต” ผมพยายามตามหาร้านที่มันเป็นบุฟเฟ่ต์ แต่ก็ไม่เจอ (มารู้อีกทีว่ามีตอนกลับมาแล้ว) เลยได้ไปกินร้าน Tao Heung อยู่ในอาคารคาร์นิวอน พลาซ่า ย่านจิมซาจุ่ยแทน ร้านนี้ดียังไง ไม่ทราบ รู้แต่หลังสามทุ่มมันลดราคา นี่คือประเด็นหลัก บางอย่างลดครึ่งราคา บางอย่างก็จ่ายเต็ม แล้วแต่เราสั่ง แต่ต้องเสียค่าเปิดหม้อ ไม่สิค่าน้ำซุปด้วย ซึ่งน้ำซุปก็จะมีให้เลือกหลายอย่าง ผมสั่งต้นตำรับมา รสชาติก็ดี กลิ่นเครื่องเทศพอใช้
โต๊ะที่ผมนั่งเป็นโต๊ะกลมมีเตาแม่เหล็กไฟฟ้าอยู่ตรงกลาง คล้ายๆ บ้านเรา แต่ทำไมทุกคนในร้านต่างมองผมราวกับเป็นตัวประหลาด ผมจึงเดาว่า เป็นเพราะมากินคนเดียวแหงๆ มองไปรอบๆ มีแต่มากันเป็นครอบครัว เป็นแก๊ง เป็นคู่ ... บนโต๊ะมีน้ำชาวางไว้ รู้สึกจะคิดอีก ๑๒ บาท เราก็สงสัยเอาวางไว้ให้ล้างถ้วยหรือให้ดื่ม แต่ก็ช่างเถอะเสียตังค์แล้ว เลยไม่สั่งน้ำเพิ่ม (งก) แล้วก็มีเครื่องปรุงตามมา อันนี้งงกว่า คือ แล้วยังไงต่อล่ะ? พนักงานรุ่นป้ายืนมองสักพักคงรู้ว่าผมสงสัย เลยเข้ามาใช้ภาษามือชี้ที่เครื่องปรุงแล้วหมุนๆ อ่อ.... ให้ใส่ทุกอย่างลงในถ้วยเลยสินะ ในเครื่องปรุงก็มีซอสถั่ว พริกเผา กระเทียมเจียว ถั่วป่น ต้นหอม และพริก มันดูประหลาดมาก (แหงล่ะบ้านเราไม่มีงี้นิ) ผมก็ทำตามที่เขาบอกนั่นล่ะ รสมันก็เค็มปะแล่มๆ แต่ก็กินได้
ได้เวลาเมนูที่สั่งไว้มา เริ่มจากเนื้อสไลด์ ในนั้นเขียนว่าเกรดเอ ราคาเลยไม่ลด ก็อร่อยจริงๆ เคี้ยวนุ่มมาก แต่ก็มีเนื้ออีกราคานึง ผมอยากรู้เลยสั่ง มันเป็นเนื้อสดหั่นหยาบ ก็ไม่ได้เลวร้าย สั่งลูกชิ้นเนื้อ ก็คิดว่าจะมาแบบลูกเสียบไม้บ้านเรา ปรากฏตรงหน้าโอ้วมันใหญ่กว่าเท่านึงได้ แถมพอเคี้ยวแล้วสัมผัสได้เลยว่า แม่งหาไม่ได้ในไทยแน่นอน เนื้อล้วนๆ จริงๆ ด้วยว่างบน้อยเลยสั่งเกี๊ยวกุ้งมาอีกอย่าง ก็สมคุณค่าจริงๆ แล้วก็มีอะไรมาวางไว้บนโต๊ะ เป็นเนื้อปลา ผมงงเลยกูสั่งไปตอนไหนฟ่ะ เลยเรียกคุณป้ามาคืนไป ไม่ได้กิน ทั้งหมดมื้อนี้ค่าเสียหายก็หลายร้อยอยู่ครับ
พูดถึง “บุฟเฟ่ต์” แล้วก็ลืมไม่ได้สำหรับเมนูนี้ ผมเป็นคนนึงที่บ้าการกินบุฟเฟ่ต์อย่างมาก ถ้ามีตังค์นี่จะไปตามชิมตลอด และนี่ก็เป็นอีกจุดมุ่งหมายหนึ่งในการไปเที่ยวเพื่ออยากรู้ว่า ที่นั่นมันเป็นยังไง ซึ่งมันก็ไม่ต่างจากบ้านเราล่ะครับ แต่ราคาสูงไปหน่อย เผอิญไปเจอร้านอาหารญี่ปุ่นเข้าแล้วมันก็เป็นรูปแบบการกินที่อยากเสียด้วย เลยจัดซะหน่อย
ร้านนี้ชื่อว่าไดกิยะ อยู่ในย่านจิมซาจุ่ย และความประหลาดอย่างนึงของร้านอาหารที่นี่คือ ถ้าเป็นช่วงค่ำๆ ก็จะแพงมาก แต่ถ้ากลางวันหรือเริ่มดึกก็จะถูกลง ทั้งๆ ที่เมนูเหมือนกันเดี๊ยะเลย ส่วนที่เลือกร้านนี้มีอยู่ ๒ อย่างครับ ๑.มันได้คะแนนความนิยมเยอะ และ ๒.มันมีหอยปีกนกให้กินในไลน์แบบจุใจ ซึ่งในบ้านเราร้านที่มีขั้นต่ำก็เหยียบพันอัพ ถ้าผมจำไม่ผิดงบมื้อนี้ราวๆ ๙๐๐ บาท ที่ร้านจะเป็นบุฟเฟ่ต์แบบตามสั่ง มีกระดาษใบเมนูแล้วเราก็เขียนเลขเลือก เมนูมีหลายแผ่นมาก
แต่! ที่นี่มันไม่เหมือนบ้านเรานะครับ ... ตามปกติ อย่างในร้านทั่วไป ถ้าเราเขียนเลข ๑ นั่นหมายถึง ๑ ที่ หรือ ๑ จาน แต่สำหรับร้านนี้หมายถึง ๑ ชิ้น!! อย่างที่เจอเลย ผมสั่งกุ้งเทมปุระ เขียนเลข ๑ ไปข้างหน้า แล้วพลางคิดในใจว่า มันต้องมา ๑ จานซึ่งประกอบไปด้วยกุ้งหลายๆ ตัวกับผักหลากชนิดแบบที่เราเคยเห็น แต่สิ่งที่ได้คือ กุ้ง ๑ ตัว แค่นั้นเอง ....
พูดถึงอาหารถ้าอย่างปลาดิบ นอกจากหอยปีกนกก็มี ปลาแซลมอน ทูน่า ฮามาจิ ปลานิชิน (nishin) อันนี้ประหลาดมากครับ เป็นปลาที่มีไข่ติดท้องเป็นแถบสีเหลืองหมดเลย แล้วก็หอยงวงช้าง หอยสังข์ กินแบบดิบๆ นั่นล่ะ เมนูอื่นๆ ก็ทั่วไปน่ะครับ ซูชิหน้าต่างๆ มีประหลาดหน่อยก็ชื่อ Thai style tiger prawn สั่งมาก็ ... ซูชิกุ้งลายเสือดิบราดซอสเค็มเปรี้ยว ผมเดาว่าเขาพยายามเลียนแบบกุ้งแช่น้ำปลาแน่ๆ มีอีกอันครับ นี่เป็นอาหารประเภทของว่าง มันชื่อ chicken legs in Thai style ทายสิมันจะออกมาเป็นอะไร??? และสิ่งที่ได้ก็คือ!! ยำเล็บมือนาง .... เอาตีนไก่มาราดซอสเชิงน้ำจิ้มไก่แต่เจือจาง บร๊ะเจ้า คนที่นั่นเขาชอบอาหารไทยแบบนี้เหรอฟ่ะ??
ที่อร่อยๆ ก็อย่างซี่โครงแกะย่าง หอยนางรมอบชีส ซูชิหอยเชลล์ย่าง ซูชิปลาไหลย่าง ซูชิปลาฮามาจิลนไฟ ซาลาเปาทอดไส้ชีส สลัดหูฉลาม สุกี้ญี่ปุ่นเนื้อ พอเริ่มอิ่มก็ตบท้ายด้วยผลไม้ คือแก้วมังกร และสับปะรดหั่นเป็นชิ้นๆ แต่มาทั้งเปลือก? ....อืมมม์ เขียนไปก็หิวตาม ถ้าจำไม่ผิดเขาให้เวลาเราราว ๒ ชั่วโมงในการกินได้
ผมเป็นพวกบ้าอีกแบบคืออยากลองกิน “ฟาสต์ฟู้ดในต่างแดน” ฟังดูแล้วอาจตลก จริงๆ มันก็ตลกล่ะ อุตส่าห์ไปถึงที่โน้นแต่ไปกินฟาสต์ฟู้ดซะงั้น แต่จุดประสงค์ของผมคือ อยากรู้ว่าเฮ้ย มันเหมือนบ้านเราเปล่าวะ .... ผมได้สำรวจแมคโดนัลด์ มันเป็นอาหารที่ถูกมากๆ ชีสเบอร์เกอร์เนื้อธรรมดาถ้าช่วงโปรราคาไม่ถึง ๔๐ บาท ถูกกว่าบ้านเราอีก ตอนผมไปเจอโปรซอสเนื้อเทอริยากิ (ถ้าจำไม่ผิด) ก็ฉ่ำอร่อยดี แต่ไก่ทอด เบอร์เกอร์ปกติ รสเหมือนบ้านเรา อ่อ ลืมไป อย่างแมคฯ คาเฟ่นี่เขามีขายในสวนสาธารณะเกาลูนด้วย เมนูที่ต่างก็อย่างไอศครีมโปะสเลอปี้ ราดซอสราสเบอรี่แก้วใหญ่ในราคาราวๆ ๕๐ บาท อร่อยดี บ้านเราน่าทำบ้าง
หรืออย่างเคเอฟซี ที่ต่างจากบ้านเราชัดๆ คือ เขาไม่ใส่จานแต่จะใส่ตระกร้า พร้อมอุปกรณ์คือ ถุงมือพลาสติกให้ได้ใช้กัดแทะกินกันอย่างเต็มที่ ผมเจอโปรไก่ย่างซอสญี่ปุ่น ในรูปดูน่ากินมากๆ เจอของจริงไก่แห้งๆ แล้วแอบเซ็ง ส่วนตัวไก่ทอดบ้านเรารสชาติดีกว่า .... โยชิโนย่า ร้านข้าวหน้าเนื้อแฟรนไชส์จากญี่ปุ่น ที่นี่ก็มีขาย และที่สำคัญมีเซ็ทที่ถูกกว่าเมืองไทย ผมสั่งข้าวหน้าเนื้อธรรมดาแบบที่กำลังลดราคา มีน้ำชาแถมให้ตกแค่ ๙๐ บาท แถมรสชาติผมว่าน้ำราดเข้มข้นกว่านิดนึงด้วย เอาล่าสุดที่เข้ามาในไทย ชาไข่มุกโคโค่ ที่นั่นมีโปรแก้วละ ๗๐ บาท เป็นชารสช๊อกโกแลตใส่ไข่มุกราดด้วยครีมรสชีส ดูแพงแต่อร่อยหวานเค็มมันกำลังดี ....กว่าที่ขายอยู่ในไทยซึ่งผมลองไปชิมแม้จะไม่มีรสนี้ แต่ผมคิดถึงที่ฮ่องกงจัง
ที่ลืมไม่ได้คือไอศครีมรถตู้ โมบาย ซอฟตี้ เป็นรถตู้ขายไอศครีมกดใส่โคน โคนละ ๓๒ บาท (แอบแพง) มีรสนมรสเดียวก็ไม่เลวร้าย นอกจากนี้ลุงแกยังมีไอศครีมถ้วยด้วย มีรสส้ม รสนมและนมโรยถั่ว รสส้มนี่เปรี้ยวดี จำได้ตอนไปซื้อที่ศูนย์จัดแสดงนิทรรศการฮ่องกง ย่านหว่านไจ๋ เกาะฮ่องกงนี่กินยากมาก ไม่ใช่อะไรครับ อากาศมันหนาว ไอศครีมก็เลยแข็ง แคะไม่ออก
เอาเข้าจริงๆ “การกินของอร่อยเปรียบดั่งความสุขอันแสนหวานของผมนะ” ยิ่งในต่างแดนก็เหมือนเราได้เรียนรู้และสัมผัสถึงชีวิตของคนที่นั่น ในทุกร้าน มีความต่างในตัวมัน หลายที่ก็มีพฤติกรรมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเขา เช่น การพูด การสั่งอาหารจากผู้รับเมนูด้วยสำเนียงที่แข็งกร้าว หลายที่ก็มีผู้คนเช่นบ้านเรา ทั้งน้ำใจในระหว่างการกินอย่างที่ร้านก๋วยเตี๋ยวซึ่งผมทำงงๆ กับเครื่องปรุง คุณลุงและป้า ซึ่งนั่งโต๊ะเดียวกับผมก็พยายามคุยและสอนผมเป็นภาษาอังกฤษ ที่ผมไม่คิดว่าจะได้เจอ หรือแม้กระทั่งป้าพนักงานเซเว่นที่หยิบกระดาษทิชชู่ส่วนตัวของแกมาให้ผมเอาไปใช้ตอนที่ผมไปซื้ออาหารกล่องแล้วพออุ่นไมโครเวฟมันเลอะมือ เป็นสิ่งเล็กๆ ที่ผมไม่คิดว่าจะได้ในต่างแดนจริงๆ
มีอีกหลายอย่างที่ผมอยากกลับไปกินมากๆ ทั้งสุกี้แบบปักกิ่ง ชาจีนใส่นม, ขนมปังไส้สับปะรด ,ชาชงผสมกาแฟ ,ซุปมักกะโรนีโปะไข่ ดาวและไส้กรอก ,แซนวิสหมูทอด ,ขนมเปี๊ยะ และอื่นๆ ที่อยากไปซ้ำรวมถึงบุฟเฟ่ต์อาหารญี่ปุ่น จึงไม่แปลกใจเลยที่ทำไมบางคนเขาถึงนิยมจะไปฮ่องกงเพื่อกิน
เพราะของอร่อยมันมีเยอะแบบนี้นี่เอง.....
ขอบคุณทุกท่านสำหรับการติดตามซีรี่ย์ ฮ่องกง และหวังว่าจะมีภาคต่อของเรื่องราวอื่นๆ ให้ได้เล่าสู่แก่ผู้อ่านอีกในไม่ช้า ......