xs
xsm
sm
md
lg

Hong Kong on Foot : ไหว้หมื่นพุทธ หมุนกังหัน สำรวจยามค่ำ เยามะไต๋

เผยแพร่:   โดย: ดรงค์ ฤทธิปัญญา

ความเดิมตอนที่แล้วอ่าน
Hong Kong on Foot : โยนผลส้มขอพรที่ต้นไม้อธิษฐานหลัมเซิน
Hong Kong on Foot : สัมผัสอุ่นวาเลนไทน์ที่ มงก๊ก
Hong Kong on Foot : ยลเมืองเยือนย่านประวัติศาสตร์
Hong Kong on Foot : ส่อง Ngong Ping - Tai O ที่ยอดฮิตคนไทย
Hong Kong on Foot : ตามรอยมรดก Ping Shan # ๒
Hong Kong on Foot : ตามรอยมรดก Ping Shan # ๑
Hong Kong on Foot : พิชิต Dragon Back
Hong Kong on Foot : ตะลุยเกาะ Lamma

๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ - ผมเดินออกมาจากงานเทศกาลขอพรต้นไม้อธิษฐานหลัมเซิน รอรถเมล์ที่ป้ายเพื่อนั่งกลับมาที่สถานีรถไฟ Taiwo ไปยังสถานีรถไฟ Sha tin ซึ่งสถานที่ที่เราจะไปเป็นแห่งที่ ๓ คือ “วัดหมื่นพุทธ หรือ Ten Thousand Buddhas Monastery” อีกหนึ่งวัดที่คนไทย หรือทัวร์ไทย มักจะมาสักการะบูชากันตลอดทั้งปี ด้วยความที่เราเป็นพวกอยากรู้อยากเห็นว่ามีดีอะไร ก็เลยต้องมาตามรอยทัวร์ด้วย

วัดนี้เดินจากสถานีรถไฟมาไม่ไกลครับ ดูป้ายออกทางเดิน บี แล้วก็เดินไปตาม ถ.Pai Tau ไปเรื่อยๆ แต่ระหว่างทางอาจเจอความงงเข้าได้ เพราะเมื่อเรามาถึงจุดตัดระหว่างทางเดินเล็กๆ ไปสู่วัด เราจะเห็นอีกวัดหนึ่งซึ่งอยู่ด้านหน้าเรา มีซุ้มประตูสีขาวหลังคาเขียวสวยงาม ด้านในมีทางเดินบันไดขึ้นไปยังวิหารอาคารจีน ด้านหลังมีเจดีย์สูงๆ และมีลิฟท์สามารถขนส่งคนขึ้นหรือลงได้ ในวิหารก็จะมีพระโพธิสัตว์ประดิษฐานเป็นประธานอยู่ ๓ องค์ ส่วนกำแพงประดับด้วยพระโพธิสัตว์องค์สีนิลอยู่ภายในช่องทั้งองค์เล็กและองค์ใหญ่อย่างสวยงาม
ภายในวัดด้านหน้าทางเข้าวัดหมื่นพุทธ ที่ผมหลงเข้ามา
ที่เล่ามาทั้งหมด คือ ผมหลงเข้าไปมาแล้วครับ ..... ตอนแรกคิดว่าเป็นวัดเดียวกัน พอสักพักเริ่มเอะใจ เฮ้ย ที่จำภาพได้มันไม่ใช่นี่หว่า ก็เริ่มเดินหาทางเพื่อทะลุไปยังจุดหมาย แต่... ไม่มี สรุปคือต้องเดินย้อนลงไปใหม่ แต่โดยรวมถ้ามีเวลาว่าง มาเดินชมดูก็สวยดีครับ

เราเดินย้อนกลับมายังถนนอีกครั้ง แล้วเลาะข้างตึกมองเห็นป้ายวัดหมื่นพุทธ ก็เริ่มแน่ใจมากขึ้นว่า เมื่อกี้ที่ไปน่ะ ผิดวัด (ตอนแรกพอลงมาแล้วก็ยังคิดว่ามันเป็นวัดเดียวกัน) จนผ่านทางเข้าแคบๆ มาเห็นพระพุทธรูปเรียงรายตามทางหลากอิริยาบถ ก็รู้สึกตัวได้ว่า ใช่แล้ว เรามาถึงจุดหมายแล้ว

วัดหมื่นพุทธ หรือ Man Fat Tsz อยู่ในเขต Sha Tin ตามที่ค้นเจอ เป็นวัดที่ไม่มีพระภิกษุจำพรรษา สร้างโดยพระ Yuet Kai ภิกษุที่เข้ามาสอนศาสนาในฮ่องกงตั้งแต่ปี ๒๔๗๖ ซึ่งได้อุทิศตนในช่วงบั้นปลายของชีวิตในการก่อสร้างวัดอย่างประณีต ที่รายล้อมไปด้วยพระพุทธรูปกว่า ๑๓,๐๐๐ องค์ โดยพระ Yuet Kai ผู้ก่อตั้งสำนักพุทธศาสนา ได้เริ่มสร้างวัดเมื่อปี ๒๔๙๒ โดยในครั้งแรกได้วางแผนเพื่อก่อตั้งวิทยาลัยพุทธศาสนาภายหลังจากได้รับมอบที่ดินจากเศรษฐีผู้เลื่อมใสในศาสนาพุทธ ซึ่งพระ Yuet Kai พร้อมสาวกได้แบกวัสดุก่อสร้างจากตีนเขาขึ้นสู่ยอดเขาเพื่อก่อสร้างพระอาราม ซึ่งใช้เวลากว่า ๘ ปีจึงสร้างตัวอาคารเสร็จทั้งหมด และใช้เวลาร่วม ๑๐ ปีจึงปั้นพระพุทธรูปเสร็จหมด ๑๒,๘๐๐ องค์ และมีการอ้างว่า ทุกวันนี้ร่างของท่านได้ถูกสต๊าฟไว้ในโลงในวิหารหลักของวัด

ซึ่งถ้าเราเข้าไปชมวิหารใหญ่ก็จะเห็นรูปปั้นของพระผู้สถาปนาวัดในชุดทรงเครื่องอยู่ตรงกลาง ลองนึกดูก็เหมือนกับวัดในบ้านเราก็มักจะนำพระผู้สร้างวัดมาปั้นเป็นรูปให้ชาวบ้านสักการะนั้นแล แต่ภายในวัดนี้ใหญ่จริงๆ ครับ เราต้องเดินขึ้นเขาโดยมีพระพุทธรูปจีนนิกายมหายานปางต่างๆ นำทางไป ซึ่งก็มีเยอะสมคำร่ำลือจริงๆ ทุกปางไม่ซ้ำกันเลย รวมไปถึงพระโพธิสัตว์ พอจะถึงด้านบนลานกว้างมีพระพุทธรูปแบบสยามประดิษฐานอยู่ด้วย
วัดหมื่นพุทธ
ส่วนภายในลานก็จะมีวิหารอีกหลายๆ แห่ง มีพระโพธิสัตว์และเทพเจ้าประดิษฐานอยู่ภายในให้คนได้เลือกสักการะ ส่วนลานกว้างก็มีเจดีย์จีน ๙ ชั้นให้ได้เข้าไปสักการะพระโพธิสัตว์ด้วย นอกจากนี้ก็ยังมีจุดรูปปั้นพระโพธิสัตว์ต่างๆ เป็นลานอีกหลายแห่ง ผมเดินๆ ไม่ทั่วมากนัก อันนี้เป็นข้อเสียอย่างยอดแย่ แต่ก็เพราะแอบรู้สึกไม่สนุกสักเท่าไหร่ ผมแค่มีความรู้สึกเหมือนเรามาดูในสิ่งที่คุ้นเคย ไม่ค่อยมีอะไรแปลกแตกต่างจากที่เคยไปมา ประกอบกับเวลาที่ค่อนข้างจำกัด ทำให้ผมรู้สึกเฉยๆ มาให้พอรู้ว่าอ๋อมันเป็นอย่างนี้นะ แล้วก็กลับ อ่อในวัดมีร้านอาหารเจให้ผู้เลื่อมใสได้รับประทานกัน แต่ไม่ฟรีนะครับ ราคาก็พอตัวอยู่ ผมก็ไม่ได้ทาน

เราเดินลงจากเขาเพื่อกลับมาตามเส้นทางเดิมไปยังสถานีรถไฟ Sha tin แต่ตรงนั้นมีห้างอยู่ครับ ชื่อว่า นิว ทาวน์ พลาซ่า เป็นห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในเขตนิวเทอร์ริตอรี่ส์เลย ภายในก็มีร้านค้ามากมายคล้ายๆ ในเมือง แต่ที่เด่นกว่านั้นคือมันมีลานสนามเด็กเล่นที่ชื่อว่า “Snoopy's World” ให้ได้เข้าชมกัน พูดถึงสนูปี้ พวกอดีตเด็กแบบผมก็น่าจะพอจำเค้าลางถึงการ์ตูนหมาน้อยสีขาวๆ หูยาว พร้อมกับชาร์ลี บราวน์ เด็กหนุ่มเจ้าของและผองเพื่อน ในการ์ตูนฝรั่งซีรี่ย์ พีนัตส์ (Peanut's) นั่นเอง

ในส่วนของสนามเด็กเล่นสนูปี้ เวิร์ลด์นี้เปิดมาตั้งแต่เมื่อ ๑ กันยายน ๒๕๔๓ อยู่บนชั้น ๓ ของห้าง ภายในก็จะมีหลายโซน เช่น ซุ้มทางเข้าซึ่งเป็นบ้านของสนูปี้ โซนโรงเรียนของเด็กๆ แก๊งพีนัตส์ โซนเบสบอล ก็จะมีเครื่องเล่นให้เด็กๆ ได้ปีนป่าย โซนเมืองจำลอง ห้องจัดกิจกรรม รวมไปถึงเครื่องเล่นล่องแก่ง อันนี้เห็นว่าเล่นฟรี แต่ต้องซื้อสินค้าภายในห้างครบจำนวนที่เป็นเงื่อนไขถึงได้เล่นนะ ผมก็เดินๆ ถ่ายรูปเล่น พลางดูเด็กสนุกสนานกับตัวการ์ตูน (ที่เขาอาจจะไม่รู้จัก) ปีนขึ้นเครื่องเล่น หรือรูปปั้น อืมมม์ ก็มีความสุขแท้ เป็นสถานที่พักอารมณ์ได้เป็นอย่างดี ... แต่คนก็เยอะเหมือนกันนะ
Snoopy’s World
เดินทางต่อดีกว่าครับ ย้อนกลับมาที่สถานีรถไฟ Sha Tin ขึ้นรถไฟแล้วไปกันต่อ ไปแค่ป้ายเดียวลงที่สถานี Tai Wai เพื่อเดินมาสู่ “วัดกังหัน หรือ Che Kung temple” ที่คนไทยรู้จักกันดีอีกวัดหนึ่ง ซึ่งวัดนี้อยู่ในเขตไตหว่าย (Tai Wai) ของชาทิ่น (Sha Tin) ตามตำนานระบุว่า วัดนี้สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึง แช กุง ผู้เป็นนายพลในยุคราชวงศ์ซ่งใต้ ราวๆ พ.ศ.๑๖๗๐ - ๑๘๒๒ ซึ่งเป็นผู้เรืองอำนาจแห่งยุคในการปราบปรามกบฏ และเป็นที่เลื่องลือถึงความจงรักภักดีต่อจักรพรรดิ์ นอกจากนี้ยังมีชื่อเสียงทางด้านการใช้ยารักษาโรคระบาดด้วย เขาพยายามต่อสู้เพื่อปกป้องราชวงศ์ซ่งให้คงอยู่ โดยคุ้มกันจักรพรรดิ์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ซ่งใต้ เพื่อหลบหนีไปที่ย่านไซกุง (Sai Kung) ทางตะวันออกของฮ่องกง และปัจจุบัน นายพลแชกุง ถูกยกย่องให้เป็นเทพเจ้าแห่งการปกปักคุ้มครอง

วัดแชกุง หรือ แชกุงหมุย แต่ดั่งเดิมสร้างในสมัยราชวงศ์หมิง ราวๆ พ.ศ.๑๙๑๑ - ๒๑๘๗ และได้รับการบูรณะตั้งแต่พ.ศ. ๒๔๓๓ เรื่อยมา อย่างไรก็ตามเมื่อ พ.ศ.๒๕๓๗ ได้มีการสร้างอาคารวิหารวัดขึ้นใหม่ อยู่ทางด้านหน้าของตัววิหารเดิม เพื่อรองรับคลื่นมหาชนที่มาสักการะในช่วงเทศกาล โดยจะเปิดให้เข้าภายในวิหารเก่าก็ต่อเมื่อมีวันสำคัญๆ เท่านั้น ซึ่งตัววิหารใหม่นี้สร้างแบบสถาปัตยกรรมญี่ปุ่น มีขนาดใหญ่เป็น ๘ เท่าของตัววิหารเก่า ซึ่งจะมีประชาชนมาสักการะกันมากในวันที่ ๒ และ ๓ ของเทศกาลตรุษจีน โดยเฉพาะวันที่ ๒ นี่จะเยอะเป็นพิเศษ เพราะถือว่าเป็นวันเกิดของแม่ทัพแชกุง วัดเปิดในเวลา ๗ โมงเช้า - ๖ โมงเย็น

ตอนเดินมาถึงภายนอกวัดก็รู้สึกแปลกใจ มีของขายเต็มหน้าลานไปหมด ทั้งเครื่องราง ของบูชา โดยเฉพาะกังหัน เยอะมากๆ ซุ้มขายพวกหยก เครื่องประดับ ของที่ระลึก รวมถึงซุ้มหมอดูก็มีชาวจีน (ผมเดาเอา เพราะคิดว่าคนต่างชาติที่ไม่รู้ภาษาเขาไม่น่าจะลองแหยมดูนะ) ต่างยืนรอเพื่อจะทำนายดวงชะตากัน นึกภาพคล้ายๆ ตรงแยกห้วยขวาง เมืองกรุง ที่มีลานพระพิฆเนศวร ใกล้ๆ กันจะมีนักศึกษาและหญิงสาวจำนวนมากต่างยืนรอคอยดูดวงกะพ่อหมอแม่หมอประมาณนั้น
วัดกังหัน หรือวัดแชกุง
ด้านหน้าวัด (ความรู้สึกผมน่าจะเหมือนกับศาลเจ้ามากกว่า) จะเป็นซุ้มประตูพร้อมกำแพงสีแดงก่ำ ส่วนภายในก็พบฝูงชนต่างยืนจุดธูปไหว้เทพเจ้าอยู่ด้านนอกศาลากันควันโขมง ผมเดินจนเข้าไปภายในวิหารพบกับรูปปั้นเทพแชกุงขนาดยักษ์สีทองอร่ามยืนเด่นเป็นสง่า ให้ประชาชนกราบไหว้นำกังหันไปวางไว้ด้านหน้าแม่ทัพ พูดถึงกังหันแล้ว มันเป็นความเชื่ออย่างหนึ่งครับ ที่ว่าจะช่วยปัดเป่าสิ่งไม่ดีออกจากตัวเรา อย่างที่นี่ก็มีกังหันเหล็กให้หมุน อันนี้ถือเป็นไฮไลท์ของวัดเลยล่ะ (สำหรับชาวไทยนะ) อยู่เต๊นท์ด้านนอกของวิหาร ถ้ามาแล้วต้องหมุนครบ ๓ ที จะโชคดี และก็ต้องตีกลองหนังด้วย เพื่อจะได้มีโชคดีตลอดปี อันนี้เป็นความเชื่อแต่ละบุคคลนะ ส่วนอื่นๆ ก็ว่ากันไปแล้วแต่ใครจะค้นหากันมาได้ ส่วนรอบๆ วิหารก็มีสถาปัตยกรรมให้ได้ชม รวมทั้งวิหารพระโพธิสัตว์ด้วย

เสร็จพิธีกรรมเราก็กลับไปพักผ่อนกัน พอถึงโรงแรมที่พักผมกับน้องผู้ร่วมทางก็แยกย้ายกันพักผ่อน ตัวผมน่ะเป็นพวกบ้าพลังใช่เล่น เลยเห็นเวลาที่เหลือจะนอนอยู่เฉยๆ เพื่ออะไร ไหนๆ ก็มาแล้ว ออกเดินทางต่อดีกว่า ผมเดินเข้าไปยังสวนสาธารณะเกาลูน ในย่านจิมซาจุ่ย ซึ่งมีขนาดใหญ่มาก ภายในก็มีการจัดสวนต้นไม้ ดอกไม้ อย่างสวยงาม แต่ที่น่าสังเกตุคือ เขามีกรงพวกนกให้ได้ชมกันด้วย แถมยังมีร้านฟาสต์ฟูตขายอาหารอีก อืมมม์ พอเดินทะลุหลังสวน ก็ตามหาของกินในลายแทงที่เขียนมาเรื่อยๆ เจอบ้างไม่เจอบ้าง บ้างก็ปิดร้านเพราะยังอยู่ในช่วงเทศกาล เดินไปเรื่อยเปื่อยโดยมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่ “ตลาดนัด Temple street”

ตลาดเทมเปิล สตรีท ปากทางเข้าอยู่บน ถ.จอร์แดน เป็นซอยแคบๆ ด้านหน้ามีซุ้มเสาสีแดงเหมือนทางเข้าวัดแบบจีนๆ เขียนกำกับไว้ เดินมาเรื่อยๆ ก็ทั้งซอยล่ะครับ ในช่วงเย็นๆ จะเริ่มมีของขาย ทั้งอาหารที่ตั้งโต๊ะข้างทาง สินค้าเบ็ดเตล็ด ตั้งแต่เสื้อผ้า ไปยันของที่ระลึก แอบคล้ายๆ ตลาดมืดคลองถมบ้านเรา (ไม่เหมือนตรงที่ไม่มีเดินมาถามโป๊มั้ยเพ่ ฮ่าๆๆๆ) จะมีของขายยาวไปถึง ซ. Kunsu เลยครับ ส่วนพวกอาหารนี่ เป็นอาหารทะเลผัด ทอด เท่าที่เหลือบมองเพราะไม่ได้สั่งกิน
ตลาดนัดเทมเปิลสตรีท
พอหลุดจากตลาด ผมก็เดินไปเรื่อยๆ โดยตั้งเป้าไว้ว่า จะไปแถบๆ ซ.ดันดัส (Dundas st.) เพื่อจะไปหาซื้อรองเท้าฟุตบอลที่ ซ.Fa Yuan แหล่งศูนย์รวมรองเท้า แต่จะไปยังไงเนี่ยสิ..... ปัญหาเหล่านี้จะหมดไปเมื่อกำลังขาคุณยังดีอยู่ ถือเสียว่าเป็นการได้ดูบ้านเมืองของเขาไปในตัว ซึ่งเวลานั้นน่าจะราวสองทุ่มได้ บ้านเรือนร้านค้าต่างปิดตัวลงเงียบเชียบ

ไม่มั่นใจว่าตอนนี้อยู่บนถนนเส้นไหน แต่บรรยากาศขณะนี้ ราวกับเดินบนแถวเจริญกรุง ย่านเยาวราช ไม่ผิดนัก ต่างกันที่รถไม่ค่อยมี และมีแต่ตึกสูงที่ดูเก่าๆ โทรมๆ มีประตูทางเข้าแคบๆ ผมเห็นหญิงสาวบางคนยืนอยู่หน้าตึกที่เป็นบันไดขึ้นไป ผมพยายามนึกว่าเธอไม่น่าจะใช่ จนพอเดินผ่านเธอยิ้มให้แบบมีเลศนัย พร้อมถามเป็นภาษาอังกฤษว่า มาสซาส

นั่นไง!! ... แม่งเหมือนเดินอยู่ แถววงเวียน ๒๒ ยังไงอย่างงั้น ผมรีบเดินด้วยความมึน เฮ้ย ที่นี่มันมีแบบนี้ด้วยเหรอวะ? ผมไม่มั่นใจว่า ไอ้มาสซาสเนี่ย มันนวดธรรมดา แบบบ้านเรา หรือนวดไม่ธรรมดากันแน่ แต่ก็เก็บความสงสัยไว้อย่างนั้นดีกว่า

เมื่อออกจากจุดนั้นไปได้สักพักก็ไม่เจอหญิงสาวแปลกหน้าคนอื่นอีก แต่พบร้านอาหารที่แลดูไม่ค่อยน่าเข้า มีไฟสีๆ สลัวๆ พร้อมบรรยากาศเงียบๆ ราวกับตึกร้าง ทำให้ผมนึกถึงหนังมาเฟียฮ่องกงเลยทีเดียว แล้วผมก็เริ่มรู้สึกไม่ปลอดภัยขึ้นมา มันเป็นมโนภาพที่จริงๆ ไม่รู้ว่ามันจะคิดขึ้นมาทำไม แต่ผมเชื่อว่า หลายคนคงเคยรู้สึก เมื่อเห็นบางสิ่งมันคล้ายกับจินตภาพที่เรานึกคิดกลัว แต่แท้จริงมันอาจจะไม่มีอะไรเลยก็ได้ ปอดแหกไปก่อน

ผมรีบจ้ำเดินท่ามกลางแสงไฟของถนน จนมาเห็นอาคารที่ประดับไฟส่องสว่างแลดูเหมือนห้าง ก็พลางสบถในใจว่า .... กูรอดแล้ว (ฮ่าๆๆๆ) มันเป็นความรู้สึกที่เหมือนมาเจอกับอีกด้านของเมือง เงียบงัน ลึกลับ ต่างกับอีกฝั่งที่มีสีสันตลอดยามค่ำคืนจนเหมือนแทบจะอยู่คนละเมืองกัน ทำให้ได้เห็นว่า ฮ่องกง ยามค่ำคืนก็ไม่ได้มีแค่ดินแดนแห่งการช้อปปิ้งทุกย่อมหญ้าอย่างที่นักท่องเที่ยวทั่วไปเคยได้สัมผัสแหะ
กำลังโหลดความคิดเห็น