xs
xsm
sm
md
lg

Hong Kong on Foot : ทริปสุดท้าย!! อวสานซ่งใต้ และปิดฉากสลัมกำแพงเกาลูน

เผยแพร่:   โดย: ดรงค์ ฤทธิปัญญา

ความเดิมตอนที่แล้วอ่าน
Hong Kong on Foot : ไหว้หมื่นพุทธ หมุนกังหัน สำรวจยามค่ำ เยามะไต๋
Hong Kong on Foot : โยนผลส้มขอพรที่ต้นไม้อธิษฐานหลัมเซิน
Hong Kong on Foot : สัมผัสอุ่นวาเลนไทน์ที่ มงก๊ก
Hong Kong on Foot : ยลเมืองเยือนย่านประวัติศาสตร์
Hong Kong on Foot : ส่อง Ngong Ping - Tai O ที่ยอดฮิตคนไทย
Hong Kong on Foot : ตามรอยมรดก Ping Shan # ๒
Hong Kong on Foot : ตามรอยมรดก Ping Shan # ๑
Hong Kong on Foot : พิชิต Dragon Back
Hong Kong on Foot : ตะลุยเกาะ Lamma

๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ : วันสุดท้ายในการเยือนฮ่องกงครั้งแรกในชีวิตของ เราออกเดินทางกันราว ๘ โมงเช้า ไปที่ท่าเรือสตาร์เฟอร์รี่ ในย่านจิมซาจุ่ย แต่ไม่ได้ลงเรือนะ แถวนั้นจะมีอู่รถเมล์ ไม่สิ เรียกว่าสถานีต้นสายน่าจะใกล้เคียง เราใช้บริการสาย ๑ ไปลงที่ป้าย Kowloon Walled City park. เพื่อปฏิบัติภารกิจแรก

รถเมล์วิ่งราวๆ ๔๕ นาที ก็มาถึงฝั่งตรงข้ามของสวนสาธารณะกำแพงเมืองเกาลูน แต่ผมได้บอกน้องร่วมทางให้เข้าไปก่อน ส่วนตัวเองวิ่งออกไปที่สามแยกหัวถนน Tung Tau Tsuen ตรงหัวมุมจะมีศาลเจ้าอยู่ครับ ชื่อว่า “ศาลโหวหว่อง (Hau Wong Temple)” เป็นศาลที่ดูแปลกตาดีถ้าวิ่งไปถ่ายรูปจากฝั่งตรงข้ามศาลเข้ามาจะเห็นเป็นเหมือนศาลอยู่บนกำแพงเมืองเลย
ศาลโหวหว่อง Hau Wong Temple
ศาลเจ้าโหวหว่อง ตามปกติแล้วสร้างเพื่อสักการะขุนนาง “Yeung Leung-jit” แม่ทัพผู้จงรักภักดีและกล้าหาญ แม้ว่าจะมีร่างกายที่อ่อนแอ แต่ก็ยังคงคุมกองกำลังทหารเพื่อปกป้องจักรพรรดิ์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์ซ่งใต้เมื่อคราวลี้ภัยมาทางตอนใต้ของเมืองเกาลูน ส่วนศาลเจ้านี้สร้างขึ้นราวๆ ปี พ.ศ.๒๒๗๓ โดย Chang Yu-tang ผู้บังคับการเรือแห่งต้าเป็ง (Dapeng) แม่ทัพในเมืองกำแพงเกาลูน ด้วยความระลึกถึง “จักพรรดิ์ปึ่ง (Bing) และ ต้วนจง (Duanzong) ๒ พี่น้องจักรพรรดิองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์”

ว่าแต่แล้วราชวงศ์ซ่งใต้ อวสานยังไงล่ะ?

ภายหลังราชวงศ์หยวน หรือพวก “มองโกล” ได้ยึดครองจีนปราบปรามราชวงศ์ต่างๆ จนเกือบหมดสิ้น เหลือแต่เพียง “ราชวงศ์ซ่งใต้” ที่ตั้งอาณาจักรอยู่ทางใต้ของจีนเท่านั้น มองโกลก็ใช้ข้ออ้างเรื่องพรมแดนในการโจมตีซ่งใต้ จนสงครามครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นในปี พ.ศ.๑๘๒๒ ซึ่งตรงกับยุค “พ่อขุนรามคำแหง” แห่งอาณาจักรสุโขทัย เถลิงราชสมบัติพอดี

โดยมองโกลได้ส่งกองทัพเรือมาถล่มในสมรภูมิภูเขาหยาซาน เมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม ปีดังกล่าว หลังจากที่ ๓ เสนาบดีแห่งราชวงศ์ไม่ยอมจำนนต่อกองทัพมองโกลตามจักรพรรดิ์กงตี้ (Gong) บุตรคนกลางแห่งจักรพรรดิ์ตู้จง (Duzong) ที่ขึ้นครองราชย์ภายหลังพระราชบิดาสิ้นพระชนม์ ซึ่งทั้ง ๓ พาพระโอรสทั้ง ๒ หลบหนี พร้อมทั้งยังตัดสินใจแต่งตั้ง ๒ พี่น้องขึ้นเป็นจักรพรรดิ์ตามลำดับ โดยพระโอรสพระองค์ใหญ่ เจ้าซี่ (Zhao Shi) ได้ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิ์ต้วนจง เมื่อปี พ.ศ.๑๘๑๙ และเกิดโศกนาฏกรรมตกเรือพระที่นั่งระหว่างเกิดพายุในขณะที่เสด็จพระราชดำเนินทางชลมารคเสียชีวิตในปี พ.ศ.๑๘๒๑ และเจ้าปึ่ง (Zhao Bing) พระโอรสผู้น้องจึงได้ขึ้นครองราชย์ โดยระหว่างการหลบหนี เหวินเทียนเสียง (Wen Tianxiang) ๑ ใน ๓ ขุนนางคนสำคัญถูกจับตัวเป็นเชลยศึกในระหว่างสงคราม

ในขณะที่สมรภูมิหยาซาน กองทัพเรือมองโกลได้ปราบปรามกองทัพซ่งใต้อย่างราบคาบ จางซื่อเจี๋ย (Zhang Shijie) แม่ทัพเรือถูกสังหาร โดยก่อนตายได้สละเรือพร้อมทหารชั้นดีส่งองค์จักรพรรดิ์ให้หลบหนี แต่ก็มิทันกองทัพอันแข็งแกร่งของมองโกลได้ ลู่ซิ่วฟู (Lu Xiufu) ๑ ใน ๓ ขุนนางคนสำคัญจึงตัดสินใจนำองค์พระจักรพรรดิ์น้อยขี่หลังพร้อมนำผ้าผูกเข้ากับตัวเอง ก่อนกระโดดหน้าผาลงทะเล ซึ่งในเวลาต่อมาได้พบพระศพของพระจักรพรรดิ์ที่ทะเลในเมืองเซินเจิ้น

ปัจจุบันมีการสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ของจักรพรรดิ์ปึ่ง ทรงหลังขุนนางลู่ซิ่วฟู รวมทั้งสุสานหลวง อยู่ที่เมืองเซินเจิ้น ของจีนด้วย

เข้ามาภายในศาลเจ้าอันเงียบสงบ (แหงล่ะมาตั้งแต่เขาเปิดนิ) ตรงกลางห้องโถงมีองค์เทพเจ้าน่าจะเป็นแม่ทัพ Yeung ตั้งอยู่ภายในพร้อมกับรูปปั้นขุนนางอีก ๒ ตน ส่วนตรงกลางเป็นรูปปั้นแต่งกายคล้ายจักรพรรดิ์อยู่ในกล่องกระจก ส่วนห้องอื่นๆ ก็มีรูปปั้นเทพเจ้าต่างๆ นานา อยู่ไม่น้อย นอกจากนี้ตรงชานด้านนอกยังมีปฏิมากรรมภาพสลักนูนประดับด้านบนสุดของกำแพงด้วย

ผมเดินออกมาจากศาลเจ้ากลับทางเก่าข้ามฝั่งไปยัง “สวนสาธารณะกำแพงเมืองเก่าเกาลูน (Kowloon Walled City park.)” ทางเข้าสวนเป็นกำแพงเก่าๆ ล้อมรอบบริเวณสวน พอเข้าไปก็ดูเหมือนเป็นสวนสาธารณะธรรมดา แต่ที่ดินผืนนี้ล้วนเป็นดินแดนแห่งประวัติศาสตร์
สวนสาธารณะกำแพงเมืองเก่าเกาลูน Kowloon Walled City park
ตามประวัติของเมืองกำแพงเกาลูน (บางที่ใช้ปราการ) เกิดขึ้นในช่วงของราชวงศ์ซ่ง ที่ได้ใช้เป็นด่านในการจัดการค้าขายเกลือ โดยอีกหลายร้อยปีต่อมา ในพ.ศ.๒๒๑๑ ได้มีการตั้งสำนักงาน พร้อมป้อมหอคอยชั่วคราว และเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยกว่า ๓๐ นาย ควบคุมการขนส่ง ต่อมาราวๆ พ.ศ.๒๓๕๓ จึงได้เริ่มสร้างป้อมปราการขนาดย่อมบริเวณริมชายฝั่ง และใน พ.ศ.๒๓๘๕ จักรพรรดิ์เต้ากวง (Daoguang) แห่งราชวงศ์ชิง ได้ยินยอมทำสนธิสัญญานานกิงกับสหราชอาณาจักรเพื่อยกเกาะฮ่องกงให้แก่อังกฤษ หลังพ่ายแพ้ในสงครามฝิ่น ขณะที่รัฐบาลชิงก็ได้ซ่อมแซมป้อมปราการนี้ พร้อมสร้างกำแพงล้อมรอบขึ้นเพื่อได้เฝ้าดูความเคลื่อนไหวของอังกฤษเสร็จใน พ.ศ.๒๓๙๐ หลังจากนั้นใน พ.ศ.๒๓๙๗ ก็ได้ถูกกบฏไท่ผิงเข้ายึดครอง แต่รัฐบาลชิงก็สามารถยึดกลับคืนมาได้สำเร็จในเวลาไม่นาน

ต่อมาอังกฤษได้ทำสัญญาเช่าเกาะฮ่องกงรวมดินแดนใหม่นิวเทอร์ริตอรีส์ เป็นเวลา ๙๙ ปี แต่ยกเว้นพื้นที่กำแพงเมืองเกาลูน ซึ่งในขณะนั้นมีชาวจีนอาศัยอยู่ราว ๗๐๐ คน แต่แล้วในวันที่ ๑๖ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๔๒ กองกำลังของอังกฤษที่จัดตั้งโดยผู้ว่าการเขตปกครองพิเศษได้เข้าโจมตี ก่อนอพยพชาวจีนกว่า ๑๕๐ ครัวเรือนออกจากพื้นที่ พร้อมใช้อำนาจเข้ามาครอบครองสิทธิ์ในดินแดน ได้มีการสร้างโบสถ์ศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนท์ โรงเรียน และโรงทานในพื้นที่สำนักผู้ช่วยข้าราชการฝ่ายบริหารการปกครองเกาลูน ซึ่งต่อมาได้ถูกใช้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวของชาวอาณานิคมและนักท่องเที่ยวทั่วไป

ในพ.ศ.๒๔๗๖ ทางการได้มีแนวคิดที่จะทำลายอาคารที่เสื่อมโทรมในพื้นที่ แต่ยังไม่ทันจะได้ทำ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ ญี่ปุ่นเข้ายึดครองฮ่องกง ก็ได้ทำลายกำแพงทิ้งเพื่อเอาหินมาถมขยายพื้นที่ใกล้กับสนามบิน Kai Tak และภายหลังจากที่ญี่ปุ่นยอมแพ้สงคราม จีนได้ประกาศเรียกคืนกรรมสิทธิ์ในพื้นที่กำแพงเมือง และให้ผู้ลี้ภัยจากจีนเข้ายึดครองใน พ.ศ.๒๔๙๐ โดยอังกฤษพยายามขับไล่ชาวบ้านแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ จึงตัดสินใจยอมเลิกยุ่งเกี่ยวกับพื้นที่ในเวลาถัดมา

พอเมื่อไม่มีรัฐบาลเข้ามาควบคุมพื้นที่ดังกล่าวจึงกลายเป็นสวรรค์ของพวกอาชญากร และนักค้ายาเสพติด รวมทั้งการฆาตกรรม รัฐบาลฮ่องกงพยายามใช้อำนาจศาลออกกฏควบคุมในพ.ศ.๒๕๐๒ แต่เป็นที่รู้กันว่าอันที่จริงแล้วภายในพื้นที่ถูกควบคุมด้วยพวกมาเฟีย โดยระหว่างนี้ได้มีการก่อสร้างอาคารสูงเพิ่มขึ้นจำนวนมากจนแออัดแน่นเต็มพื้นที่ รวมทั้งหมอและหมอฟันเถื่อน จนกระทั่งช่วง พ.ศ.๒๕๑๖ - ๒๕๑๗ ตำรวจกว่า ๓,๕๐๐ ได้เข้าตรวจค้นจับกุมผู้ต้องหาได้กว่า ๒,๕๐๐ คดี และยึดยาเสพติดของกลางได้มากกว่า ๑,๘๐๐ กิโลกรัม โดยผู้บังคับการตำรวจอำเภอเมืองเกาลูนได้ประกาศว่าสามารถควบคุมอาชญากรรมได้แล้ว ใน พ.ศ.๒๕๒๖

พ.ศ.๒๕๒๗ ทางการจีนและอังกฤษได้แถลงการณ์ร่วมรื้ออาคารในพื้นที่ และมีการประกาศทำลายอย่างเป็นทางการใน พ.ศ.๒๕๓๐ โดยรัฐบาลได้จ่ายเงินเยียวยากว่า ๓๓,๐๐๐ ครอบครัว เป็นเงิน ๓๕๐ ล้านดอลล่าร์สหรัฐ บางครอบครัวที่ไม่พอใจกับจำนวนเงินก็จะถูกขับให้ออกจากพื้นที่ จนกระทั่ง วันที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ.๒๕๓๖ ก็ได้ฤกษ์ในการทุบอาคารทิ้งจนเสร็จสิ้นใน พ.ศ.๒๕๓๗

จากนั้นจึงเริ่มก่อสร้างสวนสาธารณะต่อจนเสร็จในเดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๕๓๘ เปิดใช้อย่างเป็นทางการในวันที่ ๒๒ ธันวาคม มีพื้นที่กว่า ๓๑,๐๐๐ ตารางเมตร โดยสวนถูกออกแบบให้คล้ายกับสวนเจียงหนาน (Jiangnan) ช่วงราชวงศ์ชิงตอนต้น นอกจากนี้ยังมีการตกแต่งสวนหลากรูปแบบอีกหลายจุดด้วย พร้อมทั้งปรับปรุง สำนักข้าราชการท้องถิ่น (Yamen) ที่ไม่ได้ถูกทุบทิ้ง ซึ่งตัวอาคารแต่ดั่งเดิมห้องโถงกลางถูกใช้เป็นส่วนว่าราชการ ส่วนด้านข้างเป็นห้องพักข้าราชการ แต่หลังจากทางการได้ออกจากพื้นที่ไปก็ถูกใช้เป็นบ้านพักคนชรา สถานที่หลบภัยหญิงหม้ายและเด็กกำพร้า ,โรงเรียน และศูนย์การแพทย์

แต่ปัจจุบันได้ถูกใช้เป็นสถานที่จัดแสดงนิทรรศการ รวมทั้งด้านหน้ายังมีปืนใหญ่ ๒ กระบอกที่ถูกสร้างมาตั้งแต่ พ.ศ.๒๓๔๕ มาจัดวางไว้ ส่วนประตูเมืองทิศใต้ ซึ่งถูกค้นพบเพียงเศษซากระหว่างการสร้างสวนสาธารณะ ก็ได้นำมาจัดแสดงอยู่ใกล้กับทางเข้าของส่วนจัดแสดงนิทรรศการด้วย
สภาพความแออัดของสลัมเมืองกำแพงเก่าเกาลูนก่อนทุบทิ้ง
ผมเดินสำรวจไปเรื่อยๆ จนพบกับเศษซากของประตูเมือง ที่ดูเหมือนเสาปูนก็ไม่ได้มีความน่าตื่นเต้นอะไรนัก จนไปเจอของด้านข้างเป็นแบบจำลองของอาคารที่เรียกกันว่าสลัมลอยฟ้านั่นล่ะ เป็นตัวอาคารสูงกว่า ๑๐ ชั้นที่เรียงติดกันจนแทบชิดเต็มพื้นที่สี่เหลี่ยมไปหมด มีเพียงช่องโหว่ตรงกลางก็คือจุดที่ผมกำลังยืนอยู่นี่เอง ด้านอาคาร Almshouse อาคารเล็กๆ ที่ไม่ได้ถูกทุบเพื่อสร้างเป็นตึกให้เต็มช่องสี่เหลี่ยม

พลางคิดว่า มันโคตรน่าจะอึดอัดน่าดูเลยทีเดียว

เมื่อเข้ามาภายใน Almshouse หรือ สำนักผู้ช่วยข้าราชการฝ่ายบริหารการปกครองเกาลูน ในสมัยโน้น ด้านหน้าทางเข้านอกจากจะมีปืนใหญ่แล้ว ยังมีเกวียนแบบจีนอีก ๒ คัน วางอยู่ด้านข้าง ภายในมีอักษรสลักภาษาจีนอยู่บนกำแพง เขียนว่าอะไรผมไม่ทราบได้ ตรงห้องโถงมีโต๊ะว่าราชการ พร้อมเก้าอี้วางเรียงราย คล้ายจำลองอดีตเอาไว้ ส่วนด้านหลังของห้องโถง มีห้องจัดแสดงนิทรรศการความเป็นอยู่ของชาวกำแพงเกาลูนที่อยู่กันอย่างโคตรจะแออัด เสมือน ไม่สิ มันคือสลัมขนาดใหญ่โคตรๆ เลยล่ะครับ

ชมทัศนียภาพจนสมควรเวลา ก็ได้ออกเดินกันยาวๆ ใช้เส้นทาง ถ.Tung Tau Tsuen เลี้ยวซ้ายเข้า ซ.Ching Tak ก่อนข้ามสะพานลอยไปยัง “วัดซิกซิกหยวนหว่องไท่ซิน (Sik Sik Yuen Wong Tai Sin Temple)” สถานที่ต่อมา

วัดซิกซิกหยวนหว่องไท่ซิน ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของฮ่องกง โดยมีความเชื่อกันว่า ถ้าเสี่ยงเซียมซีขอพรสิ่งใดแล้วจะสมปรารถนา สร้างเมื่อ พ.ศ.๒๔๖๔ โดยนักพรตลัทธิเต๋าเหลียงเหรินอัน (Leung Renyan) ผู้ได้อัญเชิญภาพเทพเจ้าหว่องไท่ซิน มาจากมณฑลกวางตุ้ง ที่อ้างว่าได้รับสาส์นจากเทพ ให้มาสร้างศาลเจ้าใหม่ โดยนำสาวกเดินเท้าจากท่าเรือเกาลูนไปทางเหนือ ๓,๐๐๐ ก้าว ก่อนหยุดลงที่หมู่บ้าน Chuk Yuen และใช้ไม้ไผ่ปักบริเวณที่จะทำการสร้างในชื่อศาลเจ้า Chik Chung Sin. ก่อนเปลี่ยนชื่อมาเป็น ซิกซิกหยวน ซึ่งในสมัยก่อนยังคงเป็นศาสนกิจเฉพาะลัทธิเต๋าเท่านั้น จนกระทั่งใน พ.ศ.๒๔๙๙ จึงได้เปิดให้คนทั่วไปเข้าสักการะ
วัดซิกซิกหยวนหว่องไท่ซิน Sik Sik Yuen Wong Tai Sin Temple
วัดนี้คนไทยนิยมมากราบไหว้ขอพรกันครับ ภายในก็จะมีทั้ง เทพเจ้าหว่องไท่ซิน ศาลเจ้าแม่กวนอิม ศาลเจ้าที่ ศาลขงจื้อ และเทพเจ้าแห่งความรัก รวมทั้งการเสี่ยงเซียมซีที่ขึ้นชื่อ แน่นอนผมก็ไหว้แทบทุกศาลา รวมทั้งทำพิธีขอเนื้อคู่อีกด้วย .... แฮ่ๆๆ แต่วันนี้แม้จะเลยเทศกาลตรุษจีนมาพอสมควร คนก็ยังคงเยอะอยู่มาก ดูๆ ไปคนไทย-จีน ความเชื่อ ประเพณี ยุคปัจจุบัน ก็ไม่ได้ต่างกันสักเท่าไหร่นัก

ว่าแล้วก็ออกเดินต่อดีกว่า เรานั่งรถเมล์สาย ๑๑ ซี จากป้ายหน้าวัด ไปลงที่ป้าย Chi Lin Nunnery ,Nan Lian garden เพื่อจะมายังที่นี่ “สำนักชีฉีหลินและสวนหนานเหลียน” ซึ่งตั้งอยู่ในย่านไดมอนด์ ฮิลล์ เขตเกาลูน วัดนี้ถือเป็นวัดขนาดใหญ่ในพุทธศาสนา มีพื้นที่กว่า ๓๓,๐๐๐ ตารางเมตร ประกอบไปด้วยสำนักชี ศาลาวัด สวนแบบจีน ห้องพักนักท่องเที่ยว และร้านอาหารมังสวิรัติ ตัววิหารประดิษฐานพระพุทธศากยมุณี เจ้าแม่กวนอิม และพระโพธิสัตว์ที่ทำด้วยทอง ดินเหนียว ไม้และหิน

ตัววัดนี้ถูกสร้างเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๗ และถูกบูรณะใหม่ราวๆ พ.ศ.๒๕๓๐ ให้เป็นสถาปัตยกรรมจีนแบบราชวงศ์ถัง ก่อสร้างตามเทคนิคแบบจีน โดยเฉพาะตัววิหารที่ใช้ไม้ทั้งหลังสร้างวางเชื่อมกันโดยไม่ได้ใช้ตะปูเลย คล้ายๆ กับบ้านทรงไทยบ้านเราน่ะ มีรายงานว่า ภายในวิหารนี้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุเอาไว้ด้วย ซึ่งตัววิหารที่ผมได้สัมผัสถือว่ายิ่งใหญ่และอลังการงานสร้างจริงๆ ภายในมีพระพุทธศากยมุณี องค์ทองอยู่ในห้องโถง พร้อมพระพุทธเจ้าอีกหลายพระองค์ที่เรียงรายตามศาลาต่างๆ ชื่อก็ฟังดูคุ้นๆ หู คำบาลีสันสกฤตแบบที่ใช้ในวัดบ้านเรา เป็นสำนักที่ดูสงบร่มรื่น คนไม่เยอะดี แต่ในหลายๆ ศาลารวมทั้งห้องโถงถูกแปะป้ายห้ามถ่ายรูป ก็จบกัน นอกจากนี้ยังมีห้องจัดแสดงวิหารจำลองที่สร้างด้วยไม้และมีลักษณะเช่นเดียวกับวิหารสำนักชีหลิน ที่อยู่ในเมืองจีนอีกด้วย
สำนักชีฉีหลินและสวนหนานเหลียน Chi Lin Nunnery and Nan Lian garden
ออกจากวิหารใหญ่ข้ามมาอีกฝั่งเป็นส่วนของสวนหนานเลียน สวนนี้ถูกสร้างแบบจีนคลาสสิค ออกแบบให้เหมือนยุคราชวงศ์ถังเช่นกัน เปิดให้สาธารณะชมอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ ๑๔ พ.ย.๒๕๔๙ ตรงกลางสวนจะมีศาลาเคลือบทอง ๒ ชั้นตั้งเด่นตระหง่านอยู่อย่างสวยงาม มีบรรไดไม้สีแดงส้มพาดพาให้คนได้เดินข้ามไป แต่.... ข้ามไปไม่ได้ เพราะมีเชือกกั้นอยู่

จะว่าไป ถ้าสมมุติแต่ละจังหวัด ทำสวนที่ดูมีสไตล์บอกความเป็นท้องถิ่น ก็น่าจะเรียกความสนใจจากนักท่องเที่ยวได้ไม่น้อยนะ อย่างบ้านเกิดผมจังหวัดตาก นี่ก็มีสวนกระทงสาย อยู่ใกล้สนามกีฬาเทศบาลเมืองตาก นี่ก็มีเหมือนอนุสาวรีย์กระทงสีทองอยู่โด่ๆ เดี่ยวๆ พร้อมกับสวนร้างๆ ผมก็ดันคิดเล่นๆ น่าจะเอาไปตั้งไว้ตรงริมสะพานแขวน แล้วพัฒนาริมแม่น้ำปิงทั้งฝั่งเทศบาล และฝั่งตรงข้ามให้เป็นสวนสาธารณะ (จริงๆ) ริมปิง แล้วเอาไอ้กระทงทองนี่ไปตั้งทั้ง ๒ ฝั่งเลย จะได้ใช้ถ่ายรูปสวยๆ เก๋ๆ ได้ทั้งชาวบ้านมีสวนให้ใช้ เมืองสวยงาม แถมเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ได้อีก

คิดไปไกลก็เดินทางต่อดีกว่า สถานีต่อไปคือเข้าเมืองไปยังฝั่งฮ่องกงด้วยรถไฟ เพื่อจะขึ้นไปสู่ยอดเขาเดอะพีค จุดมุ่งหมายแห่งสุดท้ายของการเดินทางในฮ่องกง ....

ผมมาอยู่ในย่านเซ็นทรัลช่วงเย็นๆ แล้ว เพื่อจะขึ้นรถเมล์สาย ๑๕ ไปลงที่สุดสายคือ เดอะพีคแกลเลอเรีย ซึ่งจริงๆ แล้ว ปกติทั่วไปทัวร์เขาจะให้ขึ้นรถราง แถวๆ โบสถ์เซ็นจอห์น (St. John's Cathedral) แต่ราคามันค่อนข้างจะสูง ผมเลยเลือกใช้วิธีนั่งรถโดยสารซึ่งถูกกว่ามาก แต่กว่าจะหาป้ายรถเมล์ให้ขึ้นนั้นยากหน่อย

พูดถึง “เดอะพีค (the Peak) หรือ วิคตอเรีย พีค” เป็นภูเขาที่มีระดับความสูงจากน้ำทะเล ๑,๘๑๑ ฟุต ถือว่ามียอดเขาที่สูงที่สุดบนเกาะ โดยพื้นที่รอบๆ มีสวนสาธารณะ และบ้านไฮโซ นอกจากนี้ยังเป็นจุดชมวิวหลักที่สามารถชมมุมสูงของย่านเซ็นทรัล อ่าววิคตอเรีย เกาะลัมมะ ไปถึงฝั่งจิมซาจุ่ย โดยในราวต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ หรือราว ช่วงปีพ.ศ.๒๔๐๐ ได้ถูกชาวยุโรปยึดครองก่อสร้างบ้านพักเพราะว่าวิวดี แถมมีอากาศเย็นกว่าบนพื้นราบ

เดอะพีคเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ มีห้างสรรพสินค้า ทั้ง เดอะพีค ทาวเวอร์ และ เดอะพีคแกลเลอเรีย (the Peak Tower and the Peak Galleria) ซึ่ง เดอะ พีค ทาวเวอร์ ตั้งอยู่บนวิคตอเรีย แก๊ป (Victoria Gap) ถือเป็นจุดปลายทางของสถานีรถราง โดยรถรางนั้นมีเส้นทางยาวกว่า ๑.๔ กิโลเมตร เริ่มมีการใช้งานมาตั้งแต่ราวๆ ปี พ.ศ.๒๔๓๐ ส่วนตัวห้างมีพิพิธภัณฑ์มาดามทุซโซ่ และพิพิธภัณฑ์บีลิฟ อิท ออร์ น๊อต และอื่นๆ ด้วย

แต่ว่ากันตรงๆ ถ้าคุณขึ้นรถราง ราคาไปกลับราวๆ ๓๐๐ บาทก็จะได้เข้าชมวิวบนดาดฟ้าของห้างที่เรียกว่า Sky Terrace 428 ที่ถือว่าเป็นจุดชมวิวที่ดีที่สุด แต่ถ้าไม่ได้มากับรถรางก็ต้องเสียตังค์ค่าเข้าเพิ่มอีก ๑๒๐ บาท ถ้าไม่อยากเสียตังค์แต่อยากชมวิว ก็ไปชมได้ที่ห้างเดอะพีค แกลเลอเรีย ซึ่งเป็นตึกที่รถเมล์มาจอดพอดี ด้านบนสุดเป็นดาดฟ้ามีให้ชมมุมสูงของฮ่องกงได้เหมือนกัน และผมก็เลือกทางที่ถูกตังค์ล่ะครับ ประหยัดไปได้เยอะ ยืนชมอยู่ตั้งแต่ตะวันตกดินจนย่ำค่ำ ดูทัศนียภาพของเมืองจนค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเมืองแสงสีสวยงาม ท่ามกลางความหนาวเย็นจนสั่นไปทั่วโจงกระเบนที่ผมสวมใส่มาเลยทีเดียว
จุดชมวิวห้างเดอะ พีค แกลเลอเรีย มองเห็นทั้งเกาะฮ่องกง ส่วนภาพบนขวาเป็นฝั่งตะวันตกของเกาะ
เมื่อถ่ายรูปจนเสร็จสมอารมณ์หมาย ก็ได้เวลากลับลงจากเขาสู่พื้นล่าง พลางทบทวนชีวิตในต่างแดนแบบชั่วคราวที่สุดแสนสนุก อย่างที่เขาพูดกันหรือไม่

เพื่อนๆ ผมมักบอกว่า มึงต้องลองไปต่างประเทศสักครั้งแล้วมึงจะได้เห็นอะไรอีกหลายๆ อย่าง จะเลือกไปในดินแดนสมัยใหม่ หรือในอารยะธรรมเก่าก็ได้ แต่ขอได้มึงได้ไป ...

สิ่งนั้นทำให้ผมได้สัมผัสความมีระเบียบอย่างการขึ้นลงบันไดเลื่อนของคนที่นี่ ได้เห็นสถาปัตยกรรมจีนแบบดั่งเดิมทั้งตามวัด ศาลเจ้า หรือเส้นทางเดินวัฒนธรรมผิงซาน และอาคารแบบตะวันตก อารยะธรรมที่พวกอาณานิคมได้ทิ้งไว้ ได้ขึ้นรถเมล์โดยที่ไม่มีกระเป๋าเก็บสตางค์ และใช้ตั๋วเดียวร่วมกันในการบริการขนส่งสาธารณะ ได้สัมผัสกลิ่นเครื่องเทศบางชนิดในย่านที่พักจิมซาจุ่ย ได้ชมศิลปะบนถนนในมงก๊ก ได้เที่ยวแหล่งธรรมชาติท่ามกลางตึกสูงอย่าง Shek O หรือ เกาะลัมมะ เกาะเล็กๆ ที่ปราศจากแม้กระทั่งรถมอเตอร์ไซด์ รวมทั้งประเพณีโยนผลส้ม (ปลอม) ที่ต้นไม้อธิษฐานลัมเซิ้น

และมันทำให้ผมเข้าใจว่า “ฮ่องกง แท้จริงแล้วกลับมีประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่น่าค้นหามากกว่าที่คนเขาพูดกันว่า เป็นแค่แหล่งซื้อสินค้าแบรนด์เนมปลอดภาษี และมีดีที่สวนสนุกชื่อดัง”
กำลังโหลดความคิดเห็น