xs
xsm
sm
md
lg

ล้านนาราชาชาตินิยม (2)

เผยแพร่:   โดย: บัณรส บัวคลี่

ย้ำอีกทีว่าที่เขียนเรื่องนี้ไม่ได้ต่อต้านความเป็นพื้นถิ่นหรือไม่ส่งเสริมความเป็นล้านนา ในทางกลับกันผมคนหนึ่งล่ะที่ติดจะเป็นท้องถิ่นนิยม ไม่ชอบการรวมศูนย์แบบกรุงเทพฯ และเชื่อในหลักการกระจายอำนาจอย่างยิ่งคนหนึ่ง

การกระจายอำนาจเพื่อให้ท้องถิ่นสามารถจัดการตนเองธำรงเอกลักษณ์-อัตลักษณ์ใช้ทรัพยากรตลอดถึงต้นทุนวัฒนธรรมที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์ต่อคนท้องถิ่นเองเป็นสิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นให้ได้เพราะมันจะเป็นทางออกของประเทศไทยที่กำลังสำลักโรครวมศูนย์อำนาจเกินขอบเขตในเวลานี้

แต่ก็อย่างที่กล่าวไปเมื่อตอนที่แล้วที่ว่า..อะไรที่มันมากไปหรือน้อยไปก็ไม่ดีทั้งสิ้น!รวมศูนย์มากไปก็ไม่ได้ ขณะเดียวกันท้องถิ่นนิยมที่มากไปก็ไม่เกิดผลดีเช่นกัน

ในท่ามกลางกระแสการเมืองปัจจุบันที่เป็นผลพวงหนึ่งในวิกฤตการณ์การเมืองใหญ่ ก็ได้พบว่ามีความพยายามก่อกระแส “ท้องถิ่นนิยมเกินขอบเขต” ที่ฟังดูเหมือนจะโอเวอร์ไปเสียทุกกรณีนับแต่ครั้งมีส.ส.ลำพูนคนหนึ่งที่ตอนนั้นเป็นฝ่ายค้านจุดกระแสจะแยกดินแดนภาคเหนืออีสานไปตั้งประเทศเอง หรือมีแกนนำม็อบประกาศนับถือกษัตริย์ล้านนาแต่เพียงฝ่ายเดียวเรื่อยมาเป็นกระแสคลั่งไคล้ล้านนาอิสระโดยเชื่อกันว่าเป็นเพราะอำนาจของสยามมากดขี่ข่มเหงยึดอำนาจการปกครอง(ที่เป็นอิสระ) ดังกล่าวนั้นไป

ในช่วงสถานการณ์ที่มีความขัดแย้งทางการเมืองสูงได้มีการหยิบเอาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นมารับใช้การต่อสู้ทางการเมืองชัดเจน เช่น การจุดกระแสพญาผาบ (พญาปราบสงคราม) นายบ้านละแวกสันทรายที่ก่อกบฏปลุกราษฎรขึ้นมาต่อต้านอำนาจรัฐสยามที่เริ่มเข้ามามีบทบาทในล้านนาเชียงใหม่เมื่อพ.ศ.2432 แล้วก็ชี้ว่าเห็นมั้ยสยามกดขี่ขูดรีด รีดภาษีชาวบ้านที่เป็นไพร่อย่างเราๆ ดังนั้นพญาผาบจึงเป็นสัญลักษณ์ของการลุกขึ้นสู้ของ “ไพร่” โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ “สยาม” โดยไม่แตะต้องเจ้าเชียงใหม่ ที่ถือเป็นล้านนาพวกเดียวกัน

ในทางวิชาการการเชิดชูพญาผาบล้วนๆ จัดเป็นการกระตุ้นเสริมบทบาทของประชาชนคนเล็กคนน้อยที่ถูกเอาเปรียบแล้วก็ทนไม่ได้ลุกขึ้นมาสู้ แต่พญาผาบเวอร์ชั่นที่ปลุกชาวบ้านมาสู้กับสยามแต่ฝ่ายเดียว ไม่ได้รวมเอากลุ่มอื่นที่รุมกันเอาเปรียบชาวบ้านมารวมด้วยโดยเฉพาะจีนเจ้าภาษีที่แอบอิงอำนาจเจ้านายหรือแม้แต่เจ้านายฝ่ายเหนือที่ทางหนึ่งก็วางเฉยทางหนึ่งก็รับส่วนแบ่งจากภาษีเหล่านี้ ถือเป็นการปลุกระดมแบบมีเป้าหมาย

ส่วนตัวผมชอบวีรกรรมของพญาผาบครับแต่ก็ไม่บ้าจี้หลงไปเคียดแค้นสยามอย่างที่นักปลุกปั่นเขาอยากให้เป็น เพราะประวัติศาสตร์มีไว้เรียนรู้เข้าใจสังคม ถ้าผมเคียดแค้นแทนพญาผาบก็ต้องเคียดแค้นพม่าแทนชาวบ้านบางระจันหรือคนอยุธยาด้วยมันจะไปกันใหญ่ ยอมรับครับว่าไม่ว่ายุคไหนสมัยไหนชาวบ้านน่ะเป็นผู้ถูกกระทำอยู่ร่ำไป ส่วนฝ่ายที่กระทำเขานั้นน่ะไม่ใช่มีแค่ข้าราชการข้าหลวงสยามเท่าดอกนะ เจ้านายฝ่ายเหนือเอง เจ้าภาษีนายอากรพรรคพวกผู้มีอำนาจที่เป็นคนท้องถิ่นด้วยกันก็ได้ด้วย มันก็คล้ายๆ ชาวบ้านสมัยนี้ที่มีแกนนำจูงจมูกชี้ว่าอำมาตย์เป็นผู้กดขี่เบียดเบียนแต่ก็มองไม่เห็นนักการเมืองข้าราชการพ่อค้าอีกพวกหนึ่งที่ช่วยกันขูดรีดทำมาหากินกับสมบัติแผ่นดินเบียดเบียนตัวเองเสียยิ่งกว่า

ดังนั้นเวลามองย้อนประวัติศาสตร์เข้าไปต้องระมัดระวังมองให้รอบด้าน มิฉะนั้นจะตกเป็นเครื่องมือปลุกปั่นของล้านนาราชาชาตินิยมเค้าเอาง่ายๆ

ประวัติของพญาผาบเป็นเรื่องราวของชาวบ้านเชียงใหม่รอบนอกละแวกสันทราย ในยุคที่ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ในพื้นที่แบบที่ปู่ย่าตายายไม่เจอมาก่อน ชาวบ้านเชียงใหม่ ลำพูน แพร่ น่าน ที่อยู่กันมาดีๆตามประสาภายใต้การปกครองดั้งเดิมแบบแก่บ้าน เจ้าแคว้น เจ้าหลวงต้องมาเจอกับสิ่งใหม่ๆ ที่เข้ามาสู่ล้านนาอย่างน้อย 3 เรื่อง 1-/ ข้าราชการและอำนาจจากสยามส่วนกลาง 2-/ คนจีน-แขก-กุลาในบังคับอังกฤษที่มีสิทธิต่างๆ เหนือชาวบ้านทั่วไป มาตัดไม้ทำไม้มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากมาย 3-/ ฝรั่ง ทั้งมิชชันนารี พ่อค้าไม้ กงสุลต่างชาติที่มีอำนาจบาตรใหญ่เสียเหลือเกิน

ปกติธรรมดาชาวบ้านหรือไพร่นั้นตกเป็นเบี้ยล่างของพวก “เจ้า” ท้องถิ่นที่ปกครองอยู่แล้ว เจ้าท้องถิ่นนั้นสั่งประหารชีวิตคนได้นะ อย่างเรื่องเล่าของเจ้าชีวิตอ้าวประมาณว่าพอลั่นคำว่า อ้าว ! ทีนึงก็มีคนถูกจับไปประหาร หรือการฉุดคร่าลูกเมียชาวบ้านนั้นเป็นเรื่องปกติ

จนมาถึงกว่า100 ปีที่แล้ว (ประมาณสมัย ร.4) ที่ฝรั่งอังกฤษได้พม่าแล้วขยายอิทธิพลมาชนพรมแดนภาคเหนือ มาทำไม้ มาได้สิทธิสภาพนอกอาณาเขตแล้วก็ขนจีน-แขก-พม่าในฐานะคนในบังคับเข้ามาทำไม้ ฝรั่งก็ถือเป็นเจ้านายอีกประเภทแล้วก็ไม่ใช่ธรรมดาด้วยเพราะขนาดเจ้าผู้ครองนครเองก็กลัวฝรั่งเพราะเห็นตัวอย่างจากพม่าที่พอรบแพ้ถูกฝรั่งยึดแล้วก็ส่งกษัตริย์พม่าเนรเทศไปอยู่อินเดีย ดังนั้นทั้งเจ้าและไพร่ในเมืองเหนือล้วนแต่กลัวฝรั่งซึ่งมีสิทธิพิเศษยิ่งกว่าคนทั่วไปกันทั้งนั้น นี่ถือเป็นแอกกดลงมาแอกหนึ่งที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึง อย่างกรณี

ฝรั่งตอนนั้นใหญ่โตและมีเงินนึกอยากจะทำอะไรก็ทำ ฝรั่งทำไม้ชื่อหมอชี้คกับนายหลุยส์ (ลูกแหม่มแอนนา) เลยสะสมเด็กสาวชาวล้านนาไว้เป็นนางบำเรอ เป็นเรื่องที่คนเชียงใหม่ทราบกันดีถึงขนาดมีเพลงจ๊อยซอพื้นบ้านว่าไว้

​“ป้อเลี้ยงหมอชี้คกับมิสสะหลวย (หมายถึงมิสเตอร์หลุยส์)
เอาสาวนอนตวยสองคืนสิบห้า (เอาสาวเข้าไปนอนด้วยสองคืนสิบห้าคน)
อี่หลวยเข้านอนอี่ออนนอนท่า (นอนท่า=นอนคอยรอ)
ว่าปอแล้วกาป้อเลี้ยง (เอ่ยถามว่าพอหรือยัง)
ป้อเลี้ยงหมอชี้คกับมิสสะหลวย
เอาสาวนอนตวยสองคืนสิบห้า
อี่คำขอเงิน อี่หวนขอผ้า อี่โนขอจ๊าง ( นางโนขอช้าง)
ว่าปอแล้วกาป้อเลี้ยง............

ฝรั่งนี่ใหญ่จริงๆ - มีกรณีทหารสยามซึ่งถือว่ามีอำนาจบาตรใหญ่พอสมควรแล้วไปมีเรื่องทะเลาะกับคนในบังคับอเมริกันและรองกงสุลใหญ่อเมริกันก็ถูกฟ้องร้องว่าไปร้ายเขาต้องขึ้นศาลต่างประเทศ แล้วทหารไทยก็ถูกลงโทษที่ไปเอาด้ามปืนทุบเขา นี่ก็แสดงให้เห็นว่าเหนือคนกล้ามใหญ่ยังมีกล้ามใหญ่กว่า ภาวการณ์ลักษณ์นี้เกิดขึ้นและครอบทับสังคมล้านนาแบบเดิมๆ ที่อยู่กันมาช้านาน

ไม่เพียงแค่ฝรั่งนะ ยังมีคนจีน แขก กุลา พม่า เงี้ยว ที่มากับฝรั่งเป็นเสมียน-คนงานบริษัททำไม้เป็นคนในบังคับฝรั่งก็พวกหนึ่ง และก็มีคนจีนอีกพวกหนึ่งมากับอำนาจสยามโดยได้ติดตามข้าหลวงสยามมาจากกรุงเทพฯ เพื่อมาขอสัมปทานเป็นเจ้าภาษี หลักฐานพับสาใบลานจดหมายพญาผาบก็ชัดว่านอกจากต่อต้านพวกเจ้านายกรุงเทพที่เก็บภาษีมากไปแล้วยังต่อต้านคนจีน(ภาษาผญาผาบตอนนั้นเขียนว่าเชค-คงมาจากเจ๊ก) ที่มาเป็นเจ้าภาษีด้วย

นึกๆดูก็คงสนุกมากหากนายอากรคู ต้นตระกูลชินวัตรเดินทางมาเชียงใหม่เร็วกว่านั้นสักนิด ก็คงจะเป็นเป้าหมายการต่อต้านของกลุ่มพญาผาบด้วยเช่นกัน (สังเกตอย่างตระกูลชินวัตรนี่ทำมาหากินกับการผูกกับอำนาจรัฐรวมศูนย์ส่วนกลางมาตั้งแต่บรรพบุรุษกันเลยทีเดียว)

ในท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงใหญ่ระดับโลกในยุคอาณานิคม ท้องถิ่นล้านนาจึงเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่จากทั้งอำนาจภายนอกคือฝรั่ง อำนาจในภูมิภาคคือสยาม และอำนาจภายในที่ต้องปรับเปลี่ยนไป กบฏพญาปราบหรือกบฏเงี้ยว รวมทั้งผีบุญทั้งหลายในอีสาน เป็นผลสะเทือนมาจากความเปลี่ยนแปลงใหญ่ดังกล่าวนั้น

โดยปัจจัยหลากหลายมาพ้องกันจึงไม่เป็นธรรมนักที่จะทุบโต๊ะชี้ว่าความเปลี่ยนแปลงที่นำความเดือดร้อนเป็นผลมาจากสยามที่จู่ๆก็นึกอยากจะใช้อำนาจบาตรใหญ่มาครอบงำขูดรีดยึดล้านนาเบ็ดเสร็จ กลายเป็นผู้ร้ายหนังฮอลลีวูดฟิวดัลลอร์ดเจ้าที่ดินหน้าเลือดมาขูดรีดภาษีแล้วมีเบรฟฮาร์ทพญาผาบฝรั่งคนหนึ่งลุกขึ้นทวงสิทธิเสรีภาพตะโกนหา Freedom มันเป็นพล็อตเรื่องที่เข้าใจง่าย โดนใจ แต่ก็เข้าข่าย Propaganda แบบ Half-truth ที่ไม่แฟร์เลย

แท้จริงแล้วในภาวการณ์ดังกล่าวนั้นทุกฝ่ายเป็นทั้งผู้กระทำและผู้ถูกกระทำกันแทบทุกฝ่าย ตอนฝรั่งมาใหม่ๆสมัยเจ้ากาวิโลรส มาขอทำไม้เจ้าหลวงขอแค่ค่าตอ- ตอละ 4 รูปี ป่าทั้งหลายมีเจ้าของแค่ไม่กี่คน สยามมายึดอำนาจจัดการป่าไม้ตั้งกรมป่าไม้เก็บค่าตอเป็น 12 รูปี แต่ครึ่งหนึ่งยังแบ่งให้เจ้าหลวงและเจ้านายเชียงใหม่เดิม ถามว่า ไม่ขยับเปลี่ยนแปลงกันทั้งสยามล้านนาจะอยู่ได้มั้ย? จะอยู่นิ่งๆกันได้ยังไงเพราะมันจะเสียป่าทั้งล้านนาให้กับฝรั่งกันทั้งหมด ดังนั้นเวลาพูดว่ามีการยึดอำนาจยึดทรัพยากรไปนั้นต้องอย่าลืมด้วยว่าแล้วก็แบ่งส่วนหนึ่งให้กับเจ้าของเดิม ซึ่งก็ไม่ใช่ประชาชนชาวเชียงใหม่ไพร่รากหญ้าด้วย เขาแบ่งให้เจ้าเท่านั้นเพราะยุคนั้นเป็นยุคที่เจ้ามีอำนาจ

ประวัติศาสตร์ไทยกับล้านนาเหมือนกันตรงที่เป็น “ประวัติศาสตร์ของเจ้า-ของผู้ปกครอง”การปฏิรูปของรัชกาลที่ 5 เหนือดินแดนล้านนากระทำโดยราบรื่นเพราะตระกูลผู้ปกครองยอมสวามิภักดิ์มาตั้งแต่ต้นสาย คือตั้งแต่พญาแก้วพระเจ้ากาวิละโน่น.. เจ้าล้านนามีความชัดเจนมาโดยตลอดว่าอยู่กับสยามอาจเพราะเห็นตัวอย่างพระเจ้าธีบอ-พระนางศุภยาลัตถูกเนรเทศจากมัณฑะเลย์เจ้าพม่าหมดอำนาจไร้ทรัพย์สินไม่เหลืออะไรเลย เจ้าล้านนาก็เลยต้องกล้ำกลืนเลือกหนทางเสียน้อยที่สุดคือยอมรับการปฏิรูปของสยามค่อยๆถูกรอนอำนาจลงไปเรื่อยๆโดยผ่านข้าหลวงต่างพระกรรณ

มันจึงไม่ใช่แบบที่มีการป่าวประโคมระหว่างโครงการรื้อถอนคุกโดยบอกว่านี่เป็นคุณไสยที่อำนาจกดขี่ของสยามได้กระทำเอาไว้ประสาเจ้านายที่จะขี่คอล้านนาให้อยู่หมัด ลองอ่านเรื่องราวในประวัติศาสตร์แบบวิเคราะห์พิจารณา ตอนนั้น(เจ้า)สยามกับ(เจ้า)ล้านนาเหมือนลงเรือลำเดียวกัน จะฝ่าภัยอังกฤษ-ฝรั่งเศสไปได้ยังไงแต่ที่สุด พ.ศ.2325 ก็เสียดินแดนสาละวินต่อแดนขุนยวมให้อังกฤษไปจนได้

เจ้านายฝ่ายเหนือน่ะถูกรอนอำนาจลงไปจริงแต่ก็ผ่านการพิจารณาเลือกแล้วว่าอยู่ข้างสยามยังดีกว่าอยู่กับอังกฤษ ถูกลิดรอนอำนาจจัดการป่าไม้ เสียประโยชน์ไปหลายอย่างแต่พวกตนก็ยังดำรงฐานะเจ้าได้ส่วนแบ่งประโยชน์จากภาษีราษฎรอยู่ดี แต่เวลาที่มีการไปปลุกระดมชาวบ้านให้เชิดชูพญาผาบก่อกบฏต่อสยามกรุงเทพฯ ผู้ปลุกปั่นเขาไม่ได้อธิบายความแบบนี้ มุ่งเป้าแต่เพียงว่าให้สยามตกเป็นเป้าเกลียดชังก็พอ นี่จึงเป็นการตัดตอนใช้ประวัติศาสตร์เพียงส่วนเสี้ยวมาปลุกชาวบ้านอย่างที่ว่ามาแล้ว

การใช้ประวัติศาสตร์ส่วนเสี้ยว แบบครึ่งกลางๆ ตีความเข้าข้างตัวเอง ใช้กรอบนำเสนอแบบพระเอกผู้ร้ายแบบหนังฮอลลีวูดผสมไสยศาสตร์มาปลุกปั่นชาวบ้านชาวเมืองยังมีอีกโดยเฉพาะประเด็นย้ายคุกกลางเวียง ตอนต่อไปจะแจกแจงว่าที่ดินที่กลายมาเป็นศูนย์กลางอำนาจมณฑลพายัพบริเวณกลางเวียงน่ะเป็นมาอย่างไร ซึ่งจะว่าไปพระราชชายาเจ้าดารารัศมีเป็นผู้หนึ่งที่มีบทบาทในเรื่องนี้ แล้วมันไม่ใช่ว่าที่ซึ่งต่อมาเป็นคุกน่ะเป็นที่สวยงามมีเวียงแก้วปลูกสร้างหรือเป็นที่เคารพนับถือของคนเมืองว่าเป็นที่ดินศักดิ์สิทธิ์อะไรนั่นเลย ทั้งที่จริงในตอนนั้นรกร้างหญ้าท่วมไม่มีใครใช้ประโยชน์ด้วยซ้ำไป

ขอค้างไว้ แล้วจะพูดถึงเวียงแก้วล้วนๆ ในตอนหน้าครับ.
กำลังโหลดความคิดเห็น