กรณีแอร์โอสเตส กรณีนักข่าวหญิงสมจิตต์ ...เมื่อความรับผิดชอบอาชีพการทำงาน ถูกคุกคามจากอำนาจที่เหนือกว่า และอิทธิพลการเมือง
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วมีข่าวเกี่ยวกับครอบครัวชินวัตร ที่มีจุดเริ่มต้น และแสดงความคิดเห็นกันในโซเซียลเน็ทเวิร์ค มีผลสืบเนื่องต่อไปถึงอาชีพการงานของคนที่เกี่ยวข้อง
นั่นคือกรณีของแอร์โฮสเตสของสายการบิน คาเธย์ แปซิฟิค ที่คิดอยากจะสาดกาแฟใส่ ลูกสาวคนเล็กของอดีตนายกที่มีชื่อว่าทักษิณ เพียงแค่คิดเท่านั้นนะครับ เพราะการกระทำไม่ได้เกิดขึ้น เพราะเป็นสถานการณ์ขณะปฏิบัติหน้าที่ ความรับผิดชอบในหน้าที่การปฏิบัติงาน ต้องมาก่อนความคิดเห็นทางการเมือง
เรื่องนี้ไม่ได้เกิดจากเรื่องส่วนตัว เป็นเรื่องของการติดตามข่าวสารบ้านเมือง ซึ่งเป็นเรื่องส่วนรวม เป็นเรื่องของประเทศชาติ ที่ต้องจำแนกผิดชอบชั่วดี ไม่ใช่ความขัดแย้งเรื่องส่วนตัว
ผมว่าปรากฏการณ์การแสดงออก ความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างกัน เป็นเรื่องปกติธรรมดา ในสังคมการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย ยิ่งเป็นเรื่องที่ควรเปิดกว้าง เห็นความคิดต่างเป็นธรรมดา ต้องอดทนในการรับฟังความเห็นที่แตกต่างกันได้
ความคิดเห็นทัศนะทางการเมืองที่แตกต่าง การชอบหรือไม่ชอบนักการเมืองคนไหน เป็นสิทธิของแต่ละคน การไม่ชอบนักการเมืองชั่วที่โกงบ้านโกงเมือง ไม่เห็นจะเป็นเรื่องผิดตรงไหน ตรงกันข้าม เป็นเรื่องดีด้วยซ้ำ ที่คนในสังคมรู้ผิดชอบชั่วดี เห็นว่าการทุจริตคดโกง เป็นปัญหาจริยธรรมสำคัญ คนชั่วควรถูกลงโทษทางกฎหมาย และถูกลงโทษทางสังคม ไม่ปล่อยให้คนชั่วลอยนวล ไม่ปล่อยให้ครอบครัวคนโกงลอยหน้าอยู่ในสังคม
คนที่มีความรู้ รู้เท่าทัน และติดตามข่าวสารบ้านเมือง ถ้าปะหน้าพบเห็นครอบครัวนี้ หลายคนคงมีความคิดแบบนี้ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะความโลภและความบ้าอำนาจของครอบครัวนี้ ทำให้ประเทศชาติมีปัญหาวิบัติล่มจมอยู่ทุกวันนี้
การที่คนเราจะเกลียดใคร ไม่ชอบใครมันเป็นเรื่องธรรมดา ยิ่งคุณเป็นคนดัง เป็นครอบครัวดัง เป็นนักการเมือง เป็นบุคคลสาธารณะ แล้วยิ่งดังในทางลบ ก็ไม่แปลกเลยที่จะเป็นที่น่าเกลียดชังรังเกียจของคนในสังคม
สิ่งที่แอร์โฮสเตสเขียนระบายลงไปในเฟซบุ๊ก ผมว่าน่าเห็นใจและเข้าใจได้ว่าอึดอัดมากขนาดไหน เมื่อเจอกันแบบจังๆ ยิ่งทำให้อดคิดถึงการลงโทษทางสังคมไม่ได้ เมื่อคิดถึงพ่อของครอบครัวนี้ได้ก่อกรรมทำเข็ญคนในประเทศนี้ไว้หนักหนาสาหัสนัก
ล่าสุดเธอถูกสั่งพักงาน และถูกสอบสวนในกรณีที่เกิดขึ้น ผมว่า ที่จริง น่าชมเชยความอดกลั้น ความยับยั้งชั่งใจ ความสามารถในควบคุมสติ ความรับผิดชอบในภาระหน้าที่ในฐานะแอร์โฮสเตส ที่ทำให้ผ่านพ้นนาทีนั้นมาได้ ไม่ลงมือทำอย่างที่คิด
จริงๆกรณีนี้เทียบเคียงได้กับกรณีของคุณสมจิตต์ นักข่าวช่องเจ็ด ที่ทำหน้าที่สัมภาษณ์รองนายกฯเฉลิม แม้จะมีวิวาทะถูกเฉลิมกราดเกรี้ยวใส่ด้วยวาจาท่าทีไร้วุฒิภาวะ แค่ไหน เธอก็อดกลั้นไม่กระทำอะไรที่ไม่เหมาะสมขณะปฏิบัติหน้าที่ ถึงแม้ภายหลังสมจิตต์จะเดินไปพูดต่อกับเฉลิม ซึ่งเธอก็วางไมค์ก่อนถือว่าไม่เกี่ยวกับงานแล้ว
ผมขอยกเหตุการณ์ที่มีคลิปอยุ่ในหลายเว็บไซต์ เช่นว่า "สมจิตรฯ จัดหนัก!! เฉลิม ชะงักพูดไม่เป็นภาษา" ถูกเผยแพร่ออกสู่สาธารณชน เป็นคลิปการให้สัมภาษณ์ระหว่าง "ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง" กับสื่อมวลชนหลายสำนัก และหนึ่งในนั้นมี นักข่าวสาวช่อง 7 ชื่อว่า "สมจิตต์ นวเครือสุนทร" ที่คอยป้อนคำถามเกี่ยวกับเรื่อง "พ.ร.ฏ. อภัยโทษ" อย่างตรงไปตรงมา
ล่าสุด เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2555 ก็เกิดการปะทะคารมระหว่าง ร.ต.อ.เฉลิม กับนักข่าวสาวอีกครั้ง โดย ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวหา นางสาวสมจิตต์ ว่าฝักใฝ่ประชาธิปัตย์ ด้าน สมจิตต์ ก็ไม่น้อยหน้าสวนกลับทันทีว่า จะฟ้องหมิ่นประมาทอย่างแน่นอน ส่วน ร.ต.อ.เฉลิม ก็ไม่ลดละท้าให้ไปแจ้งความ จากนั้นนักข่าวสาวจึงเอ่ยประโยคเด็ดว่า
...ถ้าการที่ท่านกล่าวหาหนูว่าฝักใฝ่ประชาธิปัตย์ ไม่ใช่การหมิ่นประมาท แล้วถ้าหนูเรียกท่านว่าขี้ข้าทักษิณ จะเป็นการหมิ่นประมาทหรือไม่... งานนี้ ทำให้ ร.ต.อ.เฉลิม ตอบว่า "อย่างนี้หมิ่นประมาท" นางสาวสมจิตต์ จึงตอบว่า "ถ้าอย่างนั้นท่านก็สามารถใช้สิทธิแจ้งความที่ สน.ดุสิต ได้เหมือนกับที่แนะนำให้หนูไปทำ
กรณีนักข่าวสัมภาษณ์นักการเมือง เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามอาชีพ นักการเมืองที่เป็นถึงรองนายกฯ เป็นผู้ใหญ่กว่า มีอิทธิพลทางการเมือง มีอำนาจเหนือกว่า ไม่ควบคุมสติอารมณ์ ใช้วาจาท่าทีสามหาว
ถ้าใจกว้าง เข้าใจและยอมรับทัศนะทางการเมืองที่แตกต่างกัน เคารพสิทธิของผู้อื่น เข้าใจหน้าที่การทำงานของผู้อื่น สุภาพให้เกียรติทั้งเพศชายและหญิง ยอมรับความเท่าเทียมกันในฐานะเป็นมนุษย์ กิริยาวาจาคุกคามวางอำนาจบาทใหญ่อย่างนี้คงไม่เกิด แต่อย่างว่าละครับ จะหาคุณภาพมาตรฐานอะไรจากนักการเมืองบ้านเรา ยิ่งประเภทเป็ดเหลิม ไอ้ปื้ด ยิ่งห่างไกล
เอาละสำหรับรัฐบาลของนายกผู้มาจากตระกูลเดียวกับสาวที่เกือบเจอน้ำกาแฟร้อนๆสาดหน้า ที่ และกลุ่มคนที่เป็นลิ่วล้อ พยายามไล่ล่าคนที่ไม่ใช่พวกของตัว ด้วยวิธีการต่างๆนานา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้อำนาจการเมือง คุกคามผมว่าเป็นวิธีการที่ไม่เป็นสุภาพบุรุษเลย เป็นวิธีของพวกหน้าตัวเมียเสียมากกว่า
ความจริงเรื่องนี้ก็ได้ให้สติกับคนที่เขียนอะไรลงบนเฟซบุ๊ก ลงบนทวิตเตอร์ ต้องระมัดระวังมากขึ้น ระหว่างพื้นที่ส่วนตัวกับพื้นที่สาธารณะ เพราะมีขบวนลิ่วล้อพวกรับจ้างจ้องจะเล่นงานแฝงกายอยู่เต็มไปหมด
คนที่มีอิทธิพล มีอำนาจเหนือกว่า ทั้งอำนาจรัฐ อำนาจการเมือง อำนาจเงิน พวกนี้มีอำนาจมืดอยู่ในมือ ใช้คุกคามคนที่คิดต่างได้หลายรูปแบบ นี่แหละธาตุแท้ของพวกเขา
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วมีข่าวเกี่ยวกับครอบครัวชินวัตร ที่มีจุดเริ่มต้น และแสดงความคิดเห็นกันในโซเซียลเน็ทเวิร์ค มีผลสืบเนื่องต่อไปถึงอาชีพการงานของคนที่เกี่ยวข้อง
นั่นคือกรณีของแอร์โฮสเตสของสายการบิน คาเธย์ แปซิฟิค ที่คิดอยากจะสาดกาแฟใส่ ลูกสาวคนเล็กของอดีตนายกที่มีชื่อว่าทักษิณ เพียงแค่คิดเท่านั้นนะครับ เพราะการกระทำไม่ได้เกิดขึ้น เพราะเป็นสถานการณ์ขณะปฏิบัติหน้าที่ ความรับผิดชอบในหน้าที่การปฏิบัติงาน ต้องมาก่อนความคิดเห็นทางการเมือง
เรื่องนี้ไม่ได้เกิดจากเรื่องส่วนตัว เป็นเรื่องของการติดตามข่าวสารบ้านเมือง ซึ่งเป็นเรื่องส่วนรวม เป็นเรื่องของประเทศชาติ ที่ต้องจำแนกผิดชอบชั่วดี ไม่ใช่ความขัดแย้งเรื่องส่วนตัว
ผมว่าปรากฏการณ์การแสดงออก ความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างกัน เป็นเรื่องปกติธรรมดา ในสังคมการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย ยิ่งเป็นเรื่องที่ควรเปิดกว้าง เห็นความคิดต่างเป็นธรรมดา ต้องอดทนในการรับฟังความเห็นที่แตกต่างกันได้
ความคิดเห็นทัศนะทางการเมืองที่แตกต่าง การชอบหรือไม่ชอบนักการเมืองคนไหน เป็นสิทธิของแต่ละคน การไม่ชอบนักการเมืองชั่วที่โกงบ้านโกงเมือง ไม่เห็นจะเป็นเรื่องผิดตรงไหน ตรงกันข้าม เป็นเรื่องดีด้วยซ้ำ ที่คนในสังคมรู้ผิดชอบชั่วดี เห็นว่าการทุจริตคดโกง เป็นปัญหาจริยธรรมสำคัญ คนชั่วควรถูกลงโทษทางกฎหมาย และถูกลงโทษทางสังคม ไม่ปล่อยให้คนชั่วลอยนวล ไม่ปล่อยให้ครอบครัวคนโกงลอยหน้าอยู่ในสังคม
คนที่มีความรู้ รู้เท่าทัน และติดตามข่าวสารบ้านเมือง ถ้าปะหน้าพบเห็นครอบครัวนี้ หลายคนคงมีความคิดแบบนี้ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะความโลภและความบ้าอำนาจของครอบครัวนี้ ทำให้ประเทศชาติมีปัญหาวิบัติล่มจมอยู่ทุกวันนี้
การที่คนเราจะเกลียดใคร ไม่ชอบใครมันเป็นเรื่องธรรมดา ยิ่งคุณเป็นคนดัง เป็นครอบครัวดัง เป็นนักการเมือง เป็นบุคคลสาธารณะ แล้วยิ่งดังในทางลบ ก็ไม่แปลกเลยที่จะเป็นที่น่าเกลียดชังรังเกียจของคนในสังคม
สิ่งที่แอร์โฮสเตสเขียนระบายลงไปในเฟซบุ๊ก ผมว่าน่าเห็นใจและเข้าใจได้ว่าอึดอัดมากขนาดไหน เมื่อเจอกันแบบจังๆ ยิ่งทำให้อดคิดถึงการลงโทษทางสังคมไม่ได้ เมื่อคิดถึงพ่อของครอบครัวนี้ได้ก่อกรรมทำเข็ญคนในประเทศนี้ไว้หนักหนาสาหัสนัก
ล่าสุดเธอถูกสั่งพักงาน และถูกสอบสวนในกรณีที่เกิดขึ้น ผมว่า ที่จริง น่าชมเชยความอดกลั้น ความยับยั้งชั่งใจ ความสามารถในควบคุมสติ ความรับผิดชอบในภาระหน้าที่ในฐานะแอร์โฮสเตส ที่ทำให้ผ่านพ้นนาทีนั้นมาได้ ไม่ลงมือทำอย่างที่คิด
จริงๆกรณีนี้เทียบเคียงได้กับกรณีของคุณสมจิตต์ นักข่าวช่องเจ็ด ที่ทำหน้าที่สัมภาษณ์รองนายกฯเฉลิม แม้จะมีวิวาทะถูกเฉลิมกราดเกรี้ยวใส่ด้วยวาจาท่าทีไร้วุฒิภาวะ แค่ไหน เธอก็อดกลั้นไม่กระทำอะไรที่ไม่เหมาะสมขณะปฏิบัติหน้าที่ ถึงแม้ภายหลังสมจิตต์จะเดินไปพูดต่อกับเฉลิม ซึ่งเธอก็วางไมค์ก่อนถือว่าไม่เกี่ยวกับงานแล้ว
ผมขอยกเหตุการณ์ที่มีคลิปอยุ่ในหลายเว็บไซต์ เช่นว่า "สมจิตรฯ จัดหนัก!! เฉลิม ชะงักพูดไม่เป็นภาษา" ถูกเผยแพร่ออกสู่สาธารณชน เป็นคลิปการให้สัมภาษณ์ระหว่าง "ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง" กับสื่อมวลชนหลายสำนัก และหนึ่งในนั้นมี นักข่าวสาวช่อง 7 ชื่อว่า "สมจิตต์ นวเครือสุนทร" ที่คอยป้อนคำถามเกี่ยวกับเรื่อง "พ.ร.ฏ. อภัยโทษ" อย่างตรงไปตรงมา
ล่าสุด เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2555 ก็เกิดการปะทะคารมระหว่าง ร.ต.อ.เฉลิม กับนักข่าวสาวอีกครั้ง โดย ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวหา นางสาวสมจิตต์ ว่าฝักใฝ่ประชาธิปัตย์ ด้าน สมจิตต์ ก็ไม่น้อยหน้าสวนกลับทันทีว่า จะฟ้องหมิ่นประมาทอย่างแน่นอน ส่วน ร.ต.อ.เฉลิม ก็ไม่ลดละท้าให้ไปแจ้งความ จากนั้นนักข่าวสาวจึงเอ่ยประโยคเด็ดว่า
...ถ้าการที่ท่านกล่าวหาหนูว่าฝักใฝ่ประชาธิปัตย์ ไม่ใช่การหมิ่นประมาท แล้วถ้าหนูเรียกท่านว่าขี้ข้าทักษิณ จะเป็นการหมิ่นประมาทหรือไม่... งานนี้ ทำให้ ร.ต.อ.เฉลิม ตอบว่า "อย่างนี้หมิ่นประมาท" นางสาวสมจิตต์ จึงตอบว่า "ถ้าอย่างนั้นท่านก็สามารถใช้สิทธิแจ้งความที่ สน.ดุสิต ได้เหมือนกับที่แนะนำให้หนูไปทำ
กรณีนักข่าวสัมภาษณ์นักการเมือง เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามอาชีพ นักการเมืองที่เป็นถึงรองนายกฯ เป็นผู้ใหญ่กว่า มีอิทธิพลทางการเมือง มีอำนาจเหนือกว่า ไม่ควบคุมสติอารมณ์ ใช้วาจาท่าทีสามหาว
ถ้าใจกว้าง เข้าใจและยอมรับทัศนะทางการเมืองที่แตกต่างกัน เคารพสิทธิของผู้อื่น เข้าใจหน้าที่การทำงานของผู้อื่น สุภาพให้เกียรติทั้งเพศชายและหญิง ยอมรับความเท่าเทียมกันในฐานะเป็นมนุษย์ กิริยาวาจาคุกคามวางอำนาจบาทใหญ่อย่างนี้คงไม่เกิด แต่อย่างว่าละครับ จะหาคุณภาพมาตรฐานอะไรจากนักการเมืองบ้านเรา ยิ่งประเภทเป็ดเหลิม ไอ้ปื้ด ยิ่งห่างไกล
เอาละสำหรับรัฐบาลของนายกผู้มาจากตระกูลเดียวกับสาวที่เกือบเจอน้ำกาแฟร้อนๆสาดหน้า ที่ และกลุ่มคนที่เป็นลิ่วล้อ พยายามไล่ล่าคนที่ไม่ใช่พวกของตัว ด้วยวิธีการต่างๆนานา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้อำนาจการเมือง คุกคามผมว่าเป็นวิธีการที่ไม่เป็นสุภาพบุรุษเลย เป็นวิธีของพวกหน้าตัวเมียเสียมากกว่า
ความจริงเรื่องนี้ก็ได้ให้สติกับคนที่เขียนอะไรลงบนเฟซบุ๊ก ลงบนทวิตเตอร์ ต้องระมัดระวังมากขึ้น ระหว่างพื้นที่ส่วนตัวกับพื้นที่สาธารณะ เพราะมีขบวนลิ่วล้อพวกรับจ้างจ้องจะเล่นงานแฝงกายอยู่เต็มไปหมด
คนที่มีอิทธิพล มีอำนาจเหนือกว่า ทั้งอำนาจรัฐ อำนาจการเมือง อำนาจเงิน พวกนี้มีอำนาจมืดอยู่ในมือ ใช้คุกคามคนที่คิดต่างได้หลายรูปแบบ นี่แหละธาตุแท้ของพวกเขา