เป็นอันว่าการประท้วงของม็อบ อพส.ยุติลงเพราะเหตุผลตัวเลขผู้ชุมนุมไม่ตรงเป้า และการชุมนุมมีปัญหาที่เจ้าหน้าที่สกัดกั้นอย่างหนักจนมีการปะทะกัน และมีผู้บาดเจ็บทั้งสองฝ่ายผู้ชุมนุมถูกจับ 130 คนกระทั่งสุดท้ายเสธ.อ้ายต้องประกาศเลิกชุมนุม พร้อมประกาศวางมือจากการเมืองอย่างเด็ดขาด
นอกจากนั้นก็ไม่มีการแถลงข่าวใดอีก สื่อมวลชนเดินทางมารอ น.ต.ประสงค์ สุ่นสิริ อดีตเลขาธิการ สมช.เก้อหลังจากมีข่าวว่าจะแถลงข่าวเปิดใจหลัง อพส.ประกาศยุติการชุมนุม ส่วนเสธ.อ้ายบอกนักข่าวว่าจบทุกอย่างแล้ว ไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับการชุมนุมหรือการเมืองอีกต่อไป และทำตามที่ได้พูดทุกอย่าง ถ้าคนน้อยก็ต้องเลิก เมื่อผลออกมาเช่นนี้ตนจะออกจากการเป็นประธานองค์การพิทักษ์สยาม รวมทั้งลาออกจากการเป็นประธานมูลนิธิศิษย์เก่าโรงเรียนเตรียมทหารด้วย ขอยุติบทบาททุกอย่าง
พล.อ.บุญเลิศกล่าวว่า เมื่อประชาชนเข้าพื้นที่ไม่ได้ ต้องใช้กำลังดันฝ่าเข้าไปเจ้าหน้าที่ตำรวจจะใช้ความรุนแรงสกัดกั้น ยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่ประชาชนได้รับบาดเจ็บจึงมาคิดดูว่า หากยังเรียกคนเข้ามายังพื้นที่อีกก็ยังต้องใช้กำลังผลักดันเจ้าหน้าที่ตำรวจจะยิ่งทำให้ชาวบ้านได้รับบาดเจ็บมากขึ้น ตนไม่อยากพาคนมาเจ็บตาย เนื่องจากเจ้าหน้าที่เริ่มใช้ความรุนแรง จึงตัดสินใจยุติการชุมนุมก่อนมืด ประกอบกับได้ขอให้ทหารช่วยเหลือประชาชน หากเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ความรุนแรง แต่ทหารก็ไม่รับปากว่าจะช่วยจึงตัดสินใจยุติทันที เพราะต้องการให้ประชาชนที่ตนนำมาร่วมชุมนุมปลอดภัย
ประเด็นที่ตำรวจถูกวิพากษ์วิจารณ์จากคนในสังคมขณะนี้ว่าการใช้แก๊สน้ำตากับผู้ชุมนุมเป็นการกระทำเกินกว่าเหตุนั้น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ต่างกล่าวตรงกันว่า การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ถือเป็นความชอบธรรม และถูกต้องแล้วเพราะเจ้าหน้าที่ไม่ได้ปิดกั้นการชุมนุม แต่เพราะมีการขับรถพุ่งชนเจ้าหน้าที่ก่อนและมีเจ้าหน้าที่ถูกแทงด้วยเหล็กแหลม ขณะที่ตำรวจมีแต่กระบองและแก๊สน้ำตา และยืนยันว่าตำรวจทำตามหลักสากลแล้ว
นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีนกล่าวว่า อยากแนะนำให้องค์การพิทักษ์สยามทำงานเคลื่อนไหวต่อไป โดยควรปรับรูปแบบวิธีการเพิ่มน้ำหนักการเคลื่อนไหวในทางวิชาการหรือประเด็นปัญหามากขึ้น ซึ่งจุดเปลี่ยนของการชุมนุมครั้งนี้คือความรุนแรงที่รัฐบาลชุดนี้ออกแบบไว้ล่วงหน้า และพร้อมโจมตีผู้ชุมนุมทุกรูปแบบทั้งที่ผู้ชุมนุมไม่มีอาวุธ ไม่ได้ก่อความรุนแรงใดๆ อีกทั้งยังเป็นการท้าทายให้การชุมนุมมีความรุนแรงและเผชิญหน้าได้ง่ายขึ้นในอนาคต
ครับนั่นคือข้อสรุปของการชุมนุมซึ่งยุติลงโดยรัฐบาลผ่านวิกฤตมาได้ด้วยความสบายใจที่การชุมนุมไม่ยืดเยื้อ
แต่รัฐบาลก็ต้องเผชิญหน้ากับศึกในสภาเมื่อมีการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจโดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีโดนกล่าวหาว่าไร้วุฒิภาวะ เอื้อพวกพ้อง สร้างภาพ ลอยตัวจากปัญหา มือเติบ ฯลฯ
การอภิปรายเปิดฉากโดยนายจุรินทร์ เปิดญัติติว่า ส.ส. 157 คนจาก ปชป.และพรรครักประเทศไทยร่วมกันเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล มีรัฐมนตรีถูกอภิปรายคือ 1. ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี 2. พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม และ 3. พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รมช.มหาดไทยโดยแนบหลักฐานการยื่นถอดถอนรัฐมนตรีออกจากตำแหน่งต่อประธานวุฒิสภามาด้วย
นายจุรินทร์กล่าวว่าสำหรับญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เนื่องจากน.ส.ยิ่งลักษณ์มีพฤติกรรรมการบริหารราชการแผ่นดินบกพร่อง ล้มเหลว ผิดพลาด ไร้ความสามารถ ไร้ประสิทธิภาพ ไม่ปฏิบัติตามนโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา และประชาชนมีพฤติการณ์พูดอย่างทำอย่าง นโยบายป้องกันและปราบปรามการทุจริตเป็นแค่เครื่องมือสร้างภาพ เอื้อพวก มีการเลือกปฏิบัติหรือละเว้นเป็นหลายมาตรฐาน มีพฤติกรรมปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริต ใช้จ่ายเงินแผ่นดินกระจายไปในกลุ่มบุคคลและหน่วยงานต่างๆ ท่ามกลางความเดือดร้อนแสนสาหัสของคนไทยทั้งประเทศ จนมีคำกล่าวว่ารัฐบาลภายใต้การบริหารของน.ส.ยิ่งลักษณ์ นอกจากน้ำท่วม หนี้ท่วม แพงทั้งแผ่นดินแล้วยังเกิดการทุจริตเป็นทำนองโกงทั้งแผ่นดินด้วย
นายอลงกรณ์ พลบุตร อภิปรายว่า รมว.กลาโหมมีพฤกรรมทุจริต โครงการจัดซื้อเรือรบเพื่อตรวจการณ์ลาดตระเวน 3 ลำวงเงิน 553 ล้านบาท พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหมชี้แจงว่าการจัดซื้อเป็นไปตามทีโออาร์ ทั้งเครื่องยนต์ ระบบควบคุมเรือ แม้จะเป็นคนละบริษัท แต่มีหนังสือรับรองการทำงาน ซึ่งใช้แทนกันได้ เรื่องนี้กองทัพเรือชี้แจง สตง.ไปแล้ว 6 ครั้งรวมถึงกรรมาธิการทหาร วุฒิสภาตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว มีข้อสรุปว่าดำเนินงานถูกต้องตามกฎหมายตนจึงดำเนินงานต่อ
การอภิปรายยังมีอีกหลายประเด็นนะครับเนื้อที่มีจำกัด
นอกจากนั้นก็ไม่มีการแถลงข่าวใดอีก สื่อมวลชนเดินทางมารอ น.ต.ประสงค์ สุ่นสิริ อดีตเลขาธิการ สมช.เก้อหลังจากมีข่าวว่าจะแถลงข่าวเปิดใจหลัง อพส.ประกาศยุติการชุมนุม ส่วนเสธ.อ้ายบอกนักข่าวว่าจบทุกอย่างแล้ว ไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับการชุมนุมหรือการเมืองอีกต่อไป และทำตามที่ได้พูดทุกอย่าง ถ้าคนน้อยก็ต้องเลิก เมื่อผลออกมาเช่นนี้ตนจะออกจากการเป็นประธานองค์การพิทักษ์สยาม รวมทั้งลาออกจากการเป็นประธานมูลนิธิศิษย์เก่าโรงเรียนเตรียมทหารด้วย ขอยุติบทบาททุกอย่าง
พล.อ.บุญเลิศกล่าวว่า เมื่อประชาชนเข้าพื้นที่ไม่ได้ ต้องใช้กำลังดันฝ่าเข้าไปเจ้าหน้าที่ตำรวจจะใช้ความรุนแรงสกัดกั้น ยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่ประชาชนได้รับบาดเจ็บจึงมาคิดดูว่า หากยังเรียกคนเข้ามายังพื้นที่อีกก็ยังต้องใช้กำลังผลักดันเจ้าหน้าที่ตำรวจจะยิ่งทำให้ชาวบ้านได้รับบาดเจ็บมากขึ้น ตนไม่อยากพาคนมาเจ็บตาย เนื่องจากเจ้าหน้าที่เริ่มใช้ความรุนแรง จึงตัดสินใจยุติการชุมนุมก่อนมืด ประกอบกับได้ขอให้ทหารช่วยเหลือประชาชน หากเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ความรุนแรง แต่ทหารก็ไม่รับปากว่าจะช่วยจึงตัดสินใจยุติทันที เพราะต้องการให้ประชาชนที่ตนนำมาร่วมชุมนุมปลอดภัย
ประเด็นที่ตำรวจถูกวิพากษ์วิจารณ์จากคนในสังคมขณะนี้ว่าการใช้แก๊สน้ำตากับผู้ชุมนุมเป็นการกระทำเกินกว่าเหตุนั้น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ต่างกล่าวตรงกันว่า การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ถือเป็นความชอบธรรม และถูกต้องแล้วเพราะเจ้าหน้าที่ไม่ได้ปิดกั้นการชุมนุม แต่เพราะมีการขับรถพุ่งชนเจ้าหน้าที่ก่อนและมีเจ้าหน้าที่ถูกแทงด้วยเหล็กแหลม ขณะที่ตำรวจมีแต่กระบองและแก๊สน้ำตา และยืนยันว่าตำรวจทำตามหลักสากลแล้ว
นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีนกล่าวว่า อยากแนะนำให้องค์การพิทักษ์สยามทำงานเคลื่อนไหวต่อไป โดยควรปรับรูปแบบวิธีการเพิ่มน้ำหนักการเคลื่อนไหวในทางวิชาการหรือประเด็นปัญหามากขึ้น ซึ่งจุดเปลี่ยนของการชุมนุมครั้งนี้คือความรุนแรงที่รัฐบาลชุดนี้ออกแบบไว้ล่วงหน้า และพร้อมโจมตีผู้ชุมนุมทุกรูปแบบทั้งที่ผู้ชุมนุมไม่มีอาวุธ ไม่ได้ก่อความรุนแรงใดๆ อีกทั้งยังเป็นการท้าทายให้การชุมนุมมีความรุนแรงและเผชิญหน้าได้ง่ายขึ้นในอนาคต
ครับนั่นคือข้อสรุปของการชุมนุมซึ่งยุติลงโดยรัฐบาลผ่านวิกฤตมาได้ด้วยความสบายใจที่การชุมนุมไม่ยืดเยื้อ
แต่รัฐบาลก็ต้องเผชิญหน้ากับศึกในสภาเมื่อมีการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจโดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีโดนกล่าวหาว่าไร้วุฒิภาวะ เอื้อพวกพ้อง สร้างภาพ ลอยตัวจากปัญหา มือเติบ ฯลฯ
การอภิปรายเปิดฉากโดยนายจุรินทร์ เปิดญัติติว่า ส.ส. 157 คนจาก ปชป.และพรรครักประเทศไทยร่วมกันเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล มีรัฐมนตรีถูกอภิปรายคือ 1. ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี 2. พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม และ 3. พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รมช.มหาดไทยโดยแนบหลักฐานการยื่นถอดถอนรัฐมนตรีออกจากตำแหน่งต่อประธานวุฒิสภามาด้วย
นายจุรินทร์กล่าวว่าสำหรับญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เนื่องจากน.ส.ยิ่งลักษณ์มีพฤติกรรรมการบริหารราชการแผ่นดินบกพร่อง ล้มเหลว ผิดพลาด ไร้ความสามารถ ไร้ประสิทธิภาพ ไม่ปฏิบัติตามนโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา และประชาชนมีพฤติการณ์พูดอย่างทำอย่าง นโยบายป้องกันและปราบปรามการทุจริตเป็นแค่เครื่องมือสร้างภาพ เอื้อพวก มีการเลือกปฏิบัติหรือละเว้นเป็นหลายมาตรฐาน มีพฤติกรรมปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริต ใช้จ่ายเงินแผ่นดินกระจายไปในกลุ่มบุคคลและหน่วยงานต่างๆ ท่ามกลางความเดือดร้อนแสนสาหัสของคนไทยทั้งประเทศ จนมีคำกล่าวว่ารัฐบาลภายใต้การบริหารของน.ส.ยิ่งลักษณ์ นอกจากน้ำท่วม หนี้ท่วม แพงทั้งแผ่นดินแล้วยังเกิดการทุจริตเป็นทำนองโกงทั้งแผ่นดินด้วย
นายอลงกรณ์ พลบุตร อภิปรายว่า รมว.กลาโหมมีพฤกรรมทุจริต โครงการจัดซื้อเรือรบเพื่อตรวจการณ์ลาดตระเวน 3 ลำวงเงิน 553 ล้านบาท พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหมชี้แจงว่าการจัดซื้อเป็นไปตามทีโออาร์ ทั้งเครื่องยนต์ ระบบควบคุมเรือ แม้จะเป็นคนละบริษัท แต่มีหนังสือรับรองการทำงาน ซึ่งใช้แทนกันได้ เรื่องนี้กองทัพเรือชี้แจง สตง.ไปแล้ว 6 ครั้งรวมถึงกรรมาธิการทหาร วุฒิสภาตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว มีข้อสรุปว่าดำเนินงานถูกต้องตามกฎหมายตนจึงดำเนินงานต่อ
การอภิปรายยังมีอีกหลายประเด็นนะครับเนื้อที่มีจำกัด