คนที่ร่าง พ.ร.บ.ปรองดองฉบับบิ๊กบังหมอบราบคาบแก้วนี่ไม่ธรรมดา คือถ้าไม่เลินเล่อเผลอไผลขาดความรัดกุมเกินคนธรรมดา ก็คงเป็นคนที่ลึกซึ้งแยบยลวางแผนก่อให้เกิดความปั่นป่วนให้กับบ้านเมืองได้อย่างเลือดเย็น
สาระสำคัญของร่างดังกล่าวนอกจากจะเจาะจงช่วยทักษิณ ชินวัตรโดยตรงแล้ว คือทำให้การดำเนินการใดๆ ของ คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินฯ หรือ คตส. ที่มีผลกระทบไม่ให้เกิดผลบังคับแล้วก็ยังมีลูกชิ่งแคนนอนไปยัง ป.ป.ช. ซึ่งเข้าข่าย “องค์กรหรือคณะบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งโดยประกาศหรือคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” อีกองค์กรหนึ่ง
สาระสำคัญของร่างนี้คือ ใครหรือองค์กรใดก็ตามที่ “ได้รับผลกระทบ” จากการดำเนินการขององค์กรที่แต่งตั้งโดยคปค. (ซึ่งชัดเจนว่ารวม คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดนี้เข้าไปด้วย) แล้วไซร้ “มิได้เป็นผู้ถูกกล่าวหาหรือเป็นผู้กระทำความผิด”
คณะกรรมการ ป.ป.ช.คณะนี้ มีที่มาจากการแต่งตั้งของ คปค. ฉบับที่ 19 วันที่ 22 กันยายน 2549 แต่งตั้งบุคคล 9 คน เป็นคณะกรรมการ ป.ป.ช. ประกอบด้วย นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานกรรมการ และกรรมการอีก 8 คน ได้แก่ นายกล้านรงค์ จันทิก นายใจเด็ด พรไชยา นายประสาท พงษ์ศิวาภัย ศ.ภักดี โพธิศิริ ศ.เมธี กรองแก้ว นายวิชา มหาคุณ นายวิชัย วิวิตเสวี และ น.ส.สมลักษณ์ จัดกระบวนพล
ก็หมายความว่า ผู้ใดที่ถูก ป.ป.ช.คณะนี้ชี้มูลเอาผิด ถูกปลด ถูกไล่ออก ฯลฯ นับจากกันยายน 2549 จนถึงปัจจุบันไม่ต้องรับผิดเผลอๆ ร้องเรียนให้รัฐบาลชดเชยเงินเดือนและค่าเสียโอกาสอีกต่างหาก
ไม่ได้ดูข้อมูลแต่เข้าใจว่าคนที่ได้รับผลกระทบทางลบจาก ป.ป.ช.ชุดนี้คงมีจำนวนหลักพันเห็นจะได้ เพราะมันกี่ปีเข้าไปแล้ว !!?
เท่ากับว่ามันคือร่าง พ.ร.บ.ปล่อยผีคนโกงบ้านโกงเมืองตัวเล็กตัวใหญ่ครั้งสำคัญที่สุดเท่าที่ประวัติศาสตร์ชาติไทยเคยมีมา
ไม่เพียงเท่านั้นเผื่ออดีต ส.ส.ปี 2549 อดีต ส.ว. อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และที่สำคัญคือ คณะรัฐมนตรี ที่ถูกยกเลิกตามคำสั่งคปค.ฉบับที่ 3 (ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 3 (รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 วุฒิสภา สภาผู้แทนราษฎร คณะรัฐมนตรี และศาลรัฐธรรมนูญ สิ้นสุดลง องคมนตรี ศาลทั้งหลายดำรงตำแหน่งและปฏิบัติหน้าที่ต่อไป) เกิดอารมณ์ศรีธนนไชยขึ้นมาบ้างเพราะการถูกปลดจากตำแหน่งย่อมถือว่าเป็นการถูกลงโทษ เป็นผู้ได้รับผลกระทบเช่นกัน ร้องขอตำแหน่งและเงินเดือนพร้อมดอกเบี้ยคืน
ซึ่งจะเท่ากับว่าประเทศไทยมีคณะรัฐมนตรีสองชุด คือชุดทักษิณ 2549 กับชุดยิ่งลักษณ์ 2555 ทั้งนี้เป็นไปตามพระราชบัญญัติปรองดอง (ฮาไม่ออก) โชคยังดีที่เป็นกลุ่มการเมืองกลุ่มเดียวกัน เพราะหากว่าตอนนี้ยังเป็น ครม.อภิสิทธิ์อยู่ แล้วจู่ๆ เกิดมีครม.ทักษิณ อ้างสิทธิ์ตามกฏหมายปรองดองไม่ต้องเถียงกันยุ่งหรือ
นักการเมืองที่ชื่อ พล.อ.สนธิ บุณยะรัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิคนนี้แกคิดอะไรของแกอยู่ ถ้าคิดว่าเสนอร่าง พ.ร.บ.มาเพื่อแก้ปัญหาให้ประเทศแล้วล่ะก็ไม่ใช่แน่ๆ เพราะแค่เนื้อหาของร่างที่เสนอเข้าสภาก็พัลวันพัลเกยิ่งทำให้เกิดปมใหม่เป็นโดมิโน่ลามต่อยุ่งยิ่งกว่าลิงแก้แห
ก็ในเมื่อตั้งใจจะนิรโทษ-คืนเงินทักษิณ ชินวัตรแบบเท่ๆ แล้วก็แค่เขียนกฏหมายเจาะจงไปเลยว่า ผู้ที่ได้รับผลกระทบที่ชื่อ ทักษิณ ชินวัตร จะได้ไม่เกิดการตีความและส่อว่าจะเกิดศรีธนนไชยอีกเป็นพันๆ คนตามมา
อย่าบอกนะว่าว่านี่เป็นลับ ลวง พลาง ของบิ๊กบังให้เกิดความปั่นป่วนในแผ่นดินรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เพราะดูท่าไหนมันก็คือการช่วยทักษิณแต่ดันเปิดช่องให้เกิดปมปัญหาอีรุงตุงนังตามมา เพราะองค์กรที่ตั้งโดย คปค.นั้นมิได้มีแต่ คตส. เท่านั้นหากยังมี ปปช.ด้วยอีกองค์กรหนึ่ง
ทักษิณกับรัฐบาลนอมินียิ่งลักษณ์ใช้วิธีการเฉไฉตรงกันข้ามกับการแสดงออกมาโดยตลอด ตอนที่ตั้ง ครม. รัฐบาลนี้แถลงในนโยบายด้วยซ้ำว่าจะสนับสนุนแนวทางทำงานของคณะกรรมการปรองดองชุด คณิต ณ นคร ซึ่งดีๆ ชั่วๆ แม้จะมีข้อเสนอพิกลๆ ถูกใจฝ่ายนี้นิดไม่ถูกใจฝ่ายโน่นหน่อยแต่ก็ดำเนินการมาต่อเนื่องเป็นขั้นตอนสามารถจับต้องได้
แต่รัฐบาลนี้ก็กลับลำเอาตอนไคลแม็กซ์ เฉลยกลางการอากาศตอนยื่นร่าง พ.ร.บ.เข้าสภา แสดงให้รู้ว่าหลอกใช้กรรมการชุดคณิต ณ นครเหมือนที่เพิ่งเฉลยกลางอากาศกรณีถีบหัวเรือส่งพวกเสื้อแดงนั่นยังไง
ประสบการณ์การปรองดองของแต่ละรัฐแต่ละสังคมอาจไม่เหมือนกันแต่หลักเบื้องต้นที่สำคัญคือ “คนส่วนใหญ่เห็นพ้อง" ว่าเราอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ขัดแย้งต่อไปไม่ได้ สังคมได้เรียนรู้บทเรียนของการทำผิด-ถูก เพื่อที่จะไม่เดินตามารอยที่ผิดดังกล่าวในอนาคต และคู่ขัดแย้งต่างยอมถอยเพื่อจะก้าวไปข้างหน้าต่อ
แต่การปรองดองแบบแม้วบังคือการปรองดองแบบกำลังลับๆล่อๆ ลวงคราง !
เป็นปรองดองด้วยการกลับลำกลางอากาศ หักหลังใครต่อใครไปทั่ว จึงเป็นแค่การจูบปากของชนชั้นนำที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับชาวบ้านชาวเมืองแม้แต่น้อยทั้งๆ ที่ชาวบ้านทั้งหลายถูกลากเข้าไปเป็นเบี้ยเป็นไพร่ในสงครามครอบครัวแตกแยก หมู่บ้านแตกแยก บางคนบาดเจ็บล้มตายเพาะความเกลียดชังที่แกนนำยัดใส่สมองพร้อมไปฆ่าคนไทยอีกฝ่ายหนึ่ง
รากเหง้าปัญหาวิกฤตการณ์การเมืองหลายปีมานี้คือ การใช้อำนาจเกินขอบเขต หรือที่เรียกว่า “เผด็จการทางการอำนาจ” ของผู้ปกครอง ถ้ารัฐบาลทักษิณไม่เผด็จการเชิงอำนาจก็ไม่มีการประท้วง พอมีรัฐประหารคนอีกฟากหนึ่งก็ไม่ยอมบอกว่าเป็น “เผด็จการ” เพราะรวบอำนาจไปอยู่ในมือ
ไม่แตกต่างกันหรอกครับไม่ว่าจะมาจากการรัฐประหารหรือมาจากการเลือกตั้ง ถ้าผู้มีอำนาจใช้อำนาจเกินขอบเขต เหิมแก่อำนาจ ใช้อำนาจหาประโยชน์เข้าตนย่อมเรียกว่า “เผด็จการ” ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
การปรองดองของชนชั้นนำแบบลับๆล่อๆ ลวงคราง ไม่ได้ให้หลักประกันใดเลยว่าผู้มีอำนาจ(ไม่ว่าจะมาจากกระบอกปืนหรือจากหีบเลือกตั้ง)จะไม่ใช้อำนาจเกินขอบเขตละเมิดสิทธิประชาชนอีก อย่างมีคนประท้วงอย่างสงบเรียบร้อยแล้วมีข้าราชการระดับสูง มีนักการเมืองยกกำลังไปกระทืบไล่ตีเขา ตำรวจปล่อยให้มีการยกพวกฆ่ากัน ไปจนถึงหลิ่วตาให้มีการใช้กองกำลังไม่ทราบฝ่ายยิงเอ็ม 79 ถล่มการชุมนุมของประชาชน ฯลฯ
ถ้าการปรองดองที่จะเกิดขึ้นมีจริง การปรองดองนั้นควรเป็นกระบวนการทางสังคมที่คนส่วนมากทุกฝ่ายมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง ไม่ใช่แค่ชนชั้นนำที่อ้างว่าเป็นคู่กรณี คือ แค่นักการเมืองที่ถูกยึดอำนาจ กับ ผู้รัฐประหารยึดอำนาจ เพราะนั่นเป็นแค่ปลายเหตุ หรืออย่างเก่งก็แค่ยอดภูเขาน้ำแข็ง
การทุจริตอย่างขนานใหญ่ การใช้อำนาจมิชอบ การขายสมบัติชาติให้เทมาเส็ก ฯลฯ ที่เป็นเหตุให้คนเรือนแสนออกจากบ้านมาประท้วงกลายเป็นเรื่องเก่าที่ห้ามรื้อฟื้น ไม่มีบทเรียนใดๆ ในทางกลับกันเกิดหลักฐานเชิงประจักษ์ให้คนรุ่นลูกหลานเห็นตำตาว่าต่อให้ทำผิดใดๆ ก็ตามหากมีเสียง ส.ส.ในสภามากพอก็ล้างผิดได้ทุกประการ
การปรองดองแบบลับๆล่อๆ ลวงครางครั้งนี้เกิดมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย เพราะท่าทีทางการของพรรคเพื่อไทยที่ประกาศต่อสาธารณะก็คือพวกเขามีร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมอยู่ในมือเช่นกัน หากพรรคเพื่อไทยยื่นก็ยังแฟร์กว่าตรงที่ได้ประกาศเจตนารมณ์ทางการเมืองผ่านสาธารณะมาก่อน (ส่วนจะชอบใจหรือไม่เป็นอีกเรื่อง)
การกระทำของ พล.อ.สนธิบังฯ ครั้งนี้ ไม่เป็นสุภาพบุรุษ ไม่มีวิญญาณของนักการเมืองประชาธิปไตยผู้แทนปวงชนที่ต้องรับผิดชอบต่อประชาชน อีกทั้งร่างฯ ก็ซ่อนนัยที่จะก่อให้เกิดความวุ่นวายในสังคมครั้งใหญ่ตามมา
พล.อ.สนธิ เป็นประธานกรรมาธิการปรองดองฯ เอกสารของกมธ.ชุดนี้ดูเผินๆ เหมือนเข้าใจหลักการปรองดอง อุตส่าห์จ้างสถาบันพระปกเกล้าฯศึกษาแนวทางปรองดองของรัฐชาติต่างๆ มีทฤษฎีมีหลักการครบครัน แต่ครั้นพอมาแปลงสู่การปฏิบัติ พล.อ.สนธิกลับไม่เข้าใจหลักการเบื้องต้นที่เป็นพื้นฐานของ “กระบวนการปรองดอง” เลย
แทนที่จะได้ผลเกิดความสมานฉันท์มิตรภาพลบล้างรอยร้าวได้ทั่วอาณาจักร ร่าง พ.ร.บ.ของบิ๊กบังที่ผ่านความเห็นชอบแบบเท่ๆ ของทักษิณฉบับนี้ กลับหมกเม็ดแต่ได้ คือมีแต่ตัวเองได้โดยไม่แยแสสนใจสังคม
มีผู้วิเคราะห์ว่าร่างกฎหมายนี้อาจไม่ผ่านด่านศาลรัฐธรรมนูญเพราะขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 309 แต่นั่นเป็นแค่ปัญหาเชิงเทคนิคเพราะอย่างไรเสีย ส.ส.ร.กว่าครึ่งสภาเป็นของทักษิณกดปุ่มได้อยู่แล้ว จะช้าหรือเร็วก็จะมีรัฐธรรมนูญใหม่ที่ไม่มีปัญหาขัดขวาง แต่สิ่งที่ร่างกฎหมายฉบับบิ๊กบังได้สำแดงไปแล้วคือ การจุดพลุหมุนกงล้อเริ่มการนำทักษิณกลับบ้านแบบเท่ๆ ได้เงินคืนโดยกระบวนการจูบปากของชนชั้นนำแบบไม่ต้องแยแสใส่ใจกับประชาชนส่วนใหญ่ ซึ่งแน่นอนว่าจะลุกฮือขึ้นมาคัดค้านและไม่แน่ว่าจะมีปฏิกริยาต่อเนื่องม็อบแดงรักทักษิณออกมาเคลื่อนไหวชน
ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นนี่จะเป็นร่าง พ.ร.บ.หมกเม็ดเพื่อการนองเลือดแบบเท่ๆ อย่างแท้จริง !
สาระสำคัญของร่างดังกล่าวนอกจากจะเจาะจงช่วยทักษิณ ชินวัตรโดยตรงแล้ว คือทำให้การดำเนินการใดๆ ของ คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินฯ หรือ คตส. ที่มีผลกระทบไม่ให้เกิดผลบังคับแล้วก็ยังมีลูกชิ่งแคนนอนไปยัง ป.ป.ช. ซึ่งเข้าข่าย “องค์กรหรือคณะบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งโดยประกาศหรือคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” อีกองค์กรหนึ่ง
สาระสำคัญของร่างนี้คือ ใครหรือองค์กรใดก็ตามที่ “ได้รับผลกระทบ” จากการดำเนินการขององค์กรที่แต่งตั้งโดยคปค. (ซึ่งชัดเจนว่ารวม คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดนี้เข้าไปด้วย) แล้วไซร้ “มิได้เป็นผู้ถูกกล่าวหาหรือเป็นผู้กระทำความผิด”
คณะกรรมการ ป.ป.ช.คณะนี้ มีที่มาจากการแต่งตั้งของ คปค. ฉบับที่ 19 วันที่ 22 กันยายน 2549 แต่งตั้งบุคคล 9 คน เป็นคณะกรรมการ ป.ป.ช. ประกอบด้วย นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานกรรมการ และกรรมการอีก 8 คน ได้แก่ นายกล้านรงค์ จันทิก นายใจเด็ด พรไชยา นายประสาท พงษ์ศิวาภัย ศ.ภักดี โพธิศิริ ศ.เมธี กรองแก้ว นายวิชา มหาคุณ นายวิชัย วิวิตเสวี และ น.ส.สมลักษณ์ จัดกระบวนพล
ก็หมายความว่า ผู้ใดที่ถูก ป.ป.ช.คณะนี้ชี้มูลเอาผิด ถูกปลด ถูกไล่ออก ฯลฯ นับจากกันยายน 2549 จนถึงปัจจุบันไม่ต้องรับผิดเผลอๆ ร้องเรียนให้รัฐบาลชดเชยเงินเดือนและค่าเสียโอกาสอีกต่างหาก
ไม่ได้ดูข้อมูลแต่เข้าใจว่าคนที่ได้รับผลกระทบทางลบจาก ป.ป.ช.ชุดนี้คงมีจำนวนหลักพันเห็นจะได้ เพราะมันกี่ปีเข้าไปแล้ว !!?
เท่ากับว่ามันคือร่าง พ.ร.บ.ปล่อยผีคนโกงบ้านโกงเมืองตัวเล็กตัวใหญ่ครั้งสำคัญที่สุดเท่าที่ประวัติศาสตร์ชาติไทยเคยมีมา
ไม่เพียงเท่านั้นเผื่ออดีต ส.ส.ปี 2549 อดีต ส.ว. อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และที่สำคัญคือ คณะรัฐมนตรี ที่ถูกยกเลิกตามคำสั่งคปค.ฉบับที่ 3 (ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 3 (รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 วุฒิสภา สภาผู้แทนราษฎร คณะรัฐมนตรี และศาลรัฐธรรมนูญ สิ้นสุดลง องคมนตรี ศาลทั้งหลายดำรงตำแหน่งและปฏิบัติหน้าที่ต่อไป) เกิดอารมณ์ศรีธนนไชยขึ้นมาบ้างเพราะการถูกปลดจากตำแหน่งย่อมถือว่าเป็นการถูกลงโทษ เป็นผู้ได้รับผลกระทบเช่นกัน ร้องขอตำแหน่งและเงินเดือนพร้อมดอกเบี้ยคืน
ซึ่งจะเท่ากับว่าประเทศไทยมีคณะรัฐมนตรีสองชุด คือชุดทักษิณ 2549 กับชุดยิ่งลักษณ์ 2555 ทั้งนี้เป็นไปตามพระราชบัญญัติปรองดอง (ฮาไม่ออก) โชคยังดีที่เป็นกลุ่มการเมืองกลุ่มเดียวกัน เพราะหากว่าตอนนี้ยังเป็น ครม.อภิสิทธิ์อยู่ แล้วจู่ๆ เกิดมีครม.ทักษิณ อ้างสิทธิ์ตามกฏหมายปรองดองไม่ต้องเถียงกันยุ่งหรือ
นักการเมืองที่ชื่อ พล.อ.สนธิ บุณยะรัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิคนนี้แกคิดอะไรของแกอยู่ ถ้าคิดว่าเสนอร่าง พ.ร.บ.มาเพื่อแก้ปัญหาให้ประเทศแล้วล่ะก็ไม่ใช่แน่ๆ เพราะแค่เนื้อหาของร่างที่เสนอเข้าสภาก็พัลวันพัลเกยิ่งทำให้เกิดปมใหม่เป็นโดมิโน่ลามต่อยุ่งยิ่งกว่าลิงแก้แห
ก็ในเมื่อตั้งใจจะนิรโทษ-คืนเงินทักษิณ ชินวัตรแบบเท่ๆ แล้วก็แค่เขียนกฏหมายเจาะจงไปเลยว่า ผู้ที่ได้รับผลกระทบที่ชื่อ ทักษิณ ชินวัตร จะได้ไม่เกิดการตีความและส่อว่าจะเกิดศรีธนนไชยอีกเป็นพันๆ คนตามมา
อย่าบอกนะว่าว่านี่เป็นลับ ลวง พลาง ของบิ๊กบังให้เกิดความปั่นป่วนในแผ่นดินรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เพราะดูท่าไหนมันก็คือการช่วยทักษิณแต่ดันเปิดช่องให้เกิดปมปัญหาอีรุงตุงนังตามมา เพราะองค์กรที่ตั้งโดย คปค.นั้นมิได้มีแต่ คตส. เท่านั้นหากยังมี ปปช.ด้วยอีกองค์กรหนึ่ง
ทักษิณกับรัฐบาลนอมินียิ่งลักษณ์ใช้วิธีการเฉไฉตรงกันข้ามกับการแสดงออกมาโดยตลอด ตอนที่ตั้ง ครม. รัฐบาลนี้แถลงในนโยบายด้วยซ้ำว่าจะสนับสนุนแนวทางทำงานของคณะกรรมการปรองดองชุด คณิต ณ นคร ซึ่งดีๆ ชั่วๆ แม้จะมีข้อเสนอพิกลๆ ถูกใจฝ่ายนี้นิดไม่ถูกใจฝ่ายโน่นหน่อยแต่ก็ดำเนินการมาต่อเนื่องเป็นขั้นตอนสามารถจับต้องได้
แต่รัฐบาลนี้ก็กลับลำเอาตอนไคลแม็กซ์ เฉลยกลางการอากาศตอนยื่นร่าง พ.ร.บ.เข้าสภา แสดงให้รู้ว่าหลอกใช้กรรมการชุดคณิต ณ นครเหมือนที่เพิ่งเฉลยกลางอากาศกรณีถีบหัวเรือส่งพวกเสื้อแดงนั่นยังไง
ประสบการณ์การปรองดองของแต่ละรัฐแต่ละสังคมอาจไม่เหมือนกันแต่หลักเบื้องต้นที่สำคัญคือ “คนส่วนใหญ่เห็นพ้อง" ว่าเราอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ขัดแย้งต่อไปไม่ได้ สังคมได้เรียนรู้บทเรียนของการทำผิด-ถูก เพื่อที่จะไม่เดินตามารอยที่ผิดดังกล่าวในอนาคต และคู่ขัดแย้งต่างยอมถอยเพื่อจะก้าวไปข้างหน้าต่อ
แต่การปรองดองแบบแม้วบังคือการปรองดองแบบกำลังลับๆล่อๆ ลวงคราง !
เป็นปรองดองด้วยการกลับลำกลางอากาศ หักหลังใครต่อใครไปทั่ว จึงเป็นแค่การจูบปากของชนชั้นนำที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับชาวบ้านชาวเมืองแม้แต่น้อยทั้งๆ ที่ชาวบ้านทั้งหลายถูกลากเข้าไปเป็นเบี้ยเป็นไพร่ในสงครามครอบครัวแตกแยก หมู่บ้านแตกแยก บางคนบาดเจ็บล้มตายเพาะความเกลียดชังที่แกนนำยัดใส่สมองพร้อมไปฆ่าคนไทยอีกฝ่ายหนึ่ง
รากเหง้าปัญหาวิกฤตการณ์การเมืองหลายปีมานี้คือ การใช้อำนาจเกินขอบเขต หรือที่เรียกว่า “เผด็จการทางการอำนาจ” ของผู้ปกครอง ถ้ารัฐบาลทักษิณไม่เผด็จการเชิงอำนาจก็ไม่มีการประท้วง พอมีรัฐประหารคนอีกฟากหนึ่งก็ไม่ยอมบอกว่าเป็น “เผด็จการ” เพราะรวบอำนาจไปอยู่ในมือ
ไม่แตกต่างกันหรอกครับไม่ว่าจะมาจากการรัฐประหารหรือมาจากการเลือกตั้ง ถ้าผู้มีอำนาจใช้อำนาจเกินขอบเขต เหิมแก่อำนาจ ใช้อำนาจหาประโยชน์เข้าตนย่อมเรียกว่า “เผด็จการ” ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
การปรองดองของชนชั้นนำแบบลับๆล่อๆ ลวงคราง ไม่ได้ให้หลักประกันใดเลยว่าผู้มีอำนาจ(ไม่ว่าจะมาจากกระบอกปืนหรือจากหีบเลือกตั้ง)จะไม่ใช้อำนาจเกินขอบเขตละเมิดสิทธิประชาชนอีก อย่างมีคนประท้วงอย่างสงบเรียบร้อยแล้วมีข้าราชการระดับสูง มีนักการเมืองยกกำลังไปกระทืบไล่ตีเขา ตำรวจปล่อยให้มีการยกพวกฆ่ากัน ไปจนถึงหลิ่วตาให้มีการใช้กองกำลังไม่ทราบฝ่ายยิงเอ็ม 79 ถล่มการชุมนุมของประชาชน ฯลฯ
ถ้าการปรองดองที่จะเกิดขึ้นมีจริง การปรองดองนั้นควรเป็นกระบวนการทางสังคมที่คนส่วนมากทุกฝ่ายมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง ไม่ใช่แค่ชนชั้นนำที่อ้างว่าเป็นคู่กรณี คือ แค่นักการเมืองที่ถูกยึดอำนาจ กับ ผู้รัฐประหารยึดอำนาจ เพราะนั่นเป็นแค่ปลายเหตุ หรืออย่างเก่งก็แค่ยอดภูเขาน้ำแข็ง
การทุจริตอย่างขนานใหญ่ การใช้อำนาจมิชอบ การขายสมบัติชาติให้เทมาเส็ก ฯลฯ ที่เป็นเหตุให้คนเรือนแสนออกจากบ้านมาประท้วงกลายเป็นเรื่องเก่าที่ห้ามรื้อฟื้น ไม่มีบทเรียนใดๆ ในทางกลับกันเกิดหลักฐานเชิงประจักษ์ให้คนรุ่นลูกหลานเห็นตำตาว่าต่อให้ทำผิดใดๆ ก็ตามหากมีเสียง ส.ส.ในสภามากพอก็ล้างผิดได้ทุกประการ
การปรองดองแบบลับๆล่อๆ ลวงครางครั้งนี้เกิดมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย เพราะท่าทีทางการของพรรคเพื่อไทยที่ประกาศต่อสาธารณะก็คือพวกเขามีร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมอยู่ในมือเช่นกัน หากพรรคเพื่อไทยยื่นก็ยังแฟร์กว่าตรงที่ได้ประกาศเจตนารมณ์ทางการเมืองผ่านสาธารณะมาก่อน (ส่วนจะชอบใจหรือไม่เป็นอีกเรื่อง)
การกระทำของ พล.อ.สนธิบังฯ ครั้งนี้ ไม่เป็นสุภาพบุรุษ ไม่มีวิญญาณของนักการเมืองประชาธิปไตยผู้แทนปวงชนที่ต้องรับผิดชอบต่อประชาชน อีกทั้งร่างฯ ก็ซ่อนนัยที่จะก่อให้เกิดความวุ่นวายในสังคมครั้งใหญ่ตามมา
พล.อ.สนธิ เป็นประธานกรรมาธิการปรองดองฯ เอกสารของกมธ.ชุดนี้ดูเผินๆ เหมือนเข้าใจหลักการปรองดอง อุตส่าห์จ้างสถาบันพระปกเกล้าฯศึกษาแนวทางปรองดองของรัฐชาติต่างๆ มีทฤษฎีมีหลักการครบครัน แต่ครั้นพอมาแปลงสู่การปฏิบัติ พล.อ.สนธิกลับไม่เข้าใจหลักการเบื้องต้นที่เป็นพื้นฐานของ “กระบวนการปรองดอง” เลย
แทนที่จะได้ผลเกิดความสมานฉันท์มิตรภาพลบล้างรอยร้าวได้ทั่วอาณาจักร ร่าง พ.ร.บ.ของบิ๊กบังที่ผ่านความเห็นชอบแบบเท่ๆ ของทักษิณฉบับนี้ กลับหมกเม็ดแต่ได้ คือมีแต่ตัวเองได้โดยไม่แยแสสนใจสังคม
มีผู้วิเคราะห์ว่าร่างกฎหมายนี้อาจไม่ผ่านด่านศาลรัฐธรรมนูญเพราะขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 309 แต่นั่นเป็นแค่ปัญหาเชิงเทคนิคเพราะอย่างไรเสีย ส.ส.ร.กว่าครึ่งสภาเป็นของทักษิณกดปุ่มได้อยู่แล้ว จะช้าหรือเร็วก็จะมีรัฐธรรมนูญใหม่ที่ไม่มีปัญหาขัดขวาง แต่สิ่งที่ร่างกฎหมายฉบับบิ๊กบังได้สำแดงไปแล้วคือ การจุดพลุหมุนกงล้อเริ่มการนำทักษิณกลับบ้านแบบเท่ๆ ได้เงินคืนโดยกระบวนการจูบปากของชนชั้นนำแบบไม่ต้องแยแสใส่ใจกับประชาชนส่วนใหญ่ ซึ่งแน่นอนว่าจะลุกฮือขึ้นมาคัดค้านและไม่แน่ว่าจะมีปฏิกริยาต่อเนื่องม็อบแดงรักทักษิณออกมาเคลื่อนไหวชน
ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นนี่จะเป็นร่าง พ.ร.บ.หมกเม็ดเพื่อการนองเลือดแบบเท่ๆ อย่างแท้จริง !