ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวว่ากองทัพประเมินว่ารัฐบาลสอบตกในการแก้ปัญหาน้ำท่วม ทำให้ พ.อ.ธนาธิป สว่างแสง โฆษกกระทรวงกลาโหมต้องออกมาแถลงว่า ไม่ปรากฏจากการตรวจสอบข้อมูลด้านการข่าวของกองทัพว่า มีกำลังพลหรือกลุ่มบุคคลใดของกองทัพได้แสดงความคิดเห็นดังกล่าว เพราะที่ผ่านมากระทรวงกลาโหมโดยกองบัญชาการกองทัพไทย และเหล่าทัพได้ตอบสนองนโยบายของรัฐบาลในการช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัยอย่างต่อเนื่อง สามารถช่วยเหลือบรรเทาความทุกข์ร้อนของพี่น้องประชาชนที่ประสบความเดือนร้อนอยู่ในขณะนี้
โฆษกกระทรวงกลาโหมยังกล่าวอีกว่า การนำเสนอข่าวดังกล่าวอาจเป็นความไม่หวังดีของบุคคลที่ต้องการสร้างความแตกแยกในการทำงานระหว่างกองทัพกับรัฐบาล รวมทั้งอาจทำให้เกิดความหวาดระแวงจนทำให้การทำงานขาดเอกภาพและไม่มีประสิทธิภาพ
ครับ เมื่อแถลงออกมาเช่นนี้ก็เท่ากับว่าข่าวออกมาจากมือมืดที่ปล่อยข่าวบ่อนทำลายรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีเพื่อทำลายทั้งภาพลักษณ์และการทำงานเพื่อให้เกิดความแตกแยกระหว่างกองทัพกับรัฐบาลซึ่งเราเห็นว่าเป็นวิธีการสกปรกในยามที่สังคมต้องการความร่วมมือกันหาทางแก้ไขปัญหาวิกฤติร่วมกันไม่ใช่หันหน้าเข้ามาบ่อนทำลายด้วยการปล่อยข่าวลือแบบนี้ครับ
แต่ขณะที่รัฐบาลมุ่งอยู่กับการแก้ปัญหาอยู่นั้นสมาชิกวุฒิสภา ๖๓ คน ก็เกิดยื่นญัตติให้รัฐบาลตอบขึ้นมาอีกในเรื่องการแก้ปัญหาน้ำท่วม โดยอ้างว่าให้รัฐบาลประสานมายังวุฒิสภาเพื่อเปิดอภิปรายภายในสมัยสามัญทั่วไปที่กำลังจะสิ้นสุดในวันที่ ๒๘ พ.ย.นี้
ญัตตินี้เพื่ออภิปรายพิจารณาปัญหาอุทกภัยน้ำท่วมใหญ่ของประเทศไทยในหลายพื้นที่ ตั้งแต่เดือนสิงหาคม ซึ่งรัฐบาลนี้เข้ามาบริหารประเทศประเทศและควบคุมบริหารจัดการน้ำมาโดยตลอด พร้อมทั้งจัดตั้งศปภ.ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะบรรเทาปัญหาลงได้ กลับเข้าสู่ภาวะที่น่าเป็นห่วงมากขึ้น ส่งผลให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนเป็นวงกว้าง ภาคธุรกิจต่างๆ เสียหายเป็นอย่างมาก และยังไม่สามารถหยุดมวลน้ำไม่ให้ไหลท่วมกทม.ทำให้ผู้ได้รับผลเดือดร้อน ๓ ล้านคน โดยขณะนี้รัฐบาลไม่สามารถจัดการดูแลช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขาดแคลนปัจจัยในการดำรงชีวิต แสดงให้เห็นถึงความผิดพลาด ในการบริหารจัดการน้ำและการเยียวยาฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัย เหตุการณ์ครั้งนี้คาดว่าจะส่งผลให้ประเทศไทยเสียหายทางเศรษฐกิจหลายแสนล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศขาดความเชื่อมั่นในการแก้ไขสถานการณ์ ส่งผลกระทบต่อการลงทุนในประเทศไทย
ครับ วุฒิสมาชิกกลุ่มนี้ยื่นญัตติค่อนข้างรุนแรงในการติรัฐบาลโดยไม่มีการชี้แนะการแก้ปัญหาเช่นนี้ทำให้เห็นว่าสมาชิกกลุ่มนี้ทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านกลายๆ นั่นเอง และทำความลำบากใจให้กับรัฐบาลที่ต้องมาแก้ปัญหาหาข้อมูลมาแก้ตัวในวุฒิสภาครั้งนี้ด้วย เพื่อให้กลุ่มวุฒิสมาชิกนี้เห็นว่ารัฐบาลได้ทำอะไรไปบ้างในความพยายามที่จะแก้ปัญหาทุกๆทางเท่าที่จะทำได้
โดยสรุปแล้วเนื้อหาในญัตติก็ทำความเสียหาต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาลเป็นอย่างมาก
สำหรับทีท่าของฝ่ายค้านอย่างพรรคประชาธิปัตย์นั้นก็เป็นที่คาดหมายได้ว่าทั้งตัวนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลชุดนี้จะต้องมีภาพลักษณ์เป็นลบอย่างแน่นอน
นายจุติ ไกรฤกษ์ ในฐานะรัฐมนตรีคลังเงาออกมากล่าวว่า ขณะนี้ไทยอาจเป็นส่วนหนึ่งของวิกฤติเศรษฐกิจโลกและอยู่ภายใต้ความอ่อนหัดของการบริหารงานของนายกรัฐมนตรีคนนี้ ในขณะที่ภาครัฐอ่อนแอไม่สามารถจัดการปัญหาความขัดแย้งประชาชน คนตกงาน และป้องกันแก้ไขปัญหาให้กับนักธุรกิจที่อยู่ในประเทศไทยได้
นายจุติกล่าวว่า “วิกฤติเศรษฐกิจ ส่วนหนึ่งเกิดจากภัยธรรมชาติ แต่ส่วนที่ซ้ำเติมมากขึ้นคือ ความล้มเหลวในการบริหารงานแก้ไขปัญหาวิกฤติน้ำท่วม”
เขายังชี้ด้วยว่า ประเทศไทย เคยเป็นประเทศชั้นนำที่อยู่ในแผนที่การลงทุนสำคัญของโลก จะเป็นซัพพลายเชนสำคัญในอุตสาหกรรมรถยนต์ อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และชิ้นส่วน และอุตสาหกรรมอาหาร แต่วันนี้ด้วยระบบบริหารที่ล้มเหลวและความไร้เดียงสาของนายกรัฐมนตรีที่เปิดไส้เปิดพุงให้นักลงทุนเห็นหมดถึงความไม่พร้อมของประเทศไทย ศักยภาพในการแข่งขันของประเทศจะลดลงอย่างแน่นอนถ้ารัฐบาลไม่แก้ปัญหาที่จะเกิดขึ้นในประเด็นเหล่านี้คือ ๑.การจัดการภายใต้วิกฤติเศรษฐกิจเรื่องโลจิสติกส์ ระบบกระจายสินค้า การขนส่ง ๒.เรื่องการซ่อมแซมโครงสร้างหลักของประเทศ ถนนหนทาง คูคลอง ๓.ความพร้อมศักยภาพของคน ของแรงงาน และ ๔.ต้นทุนในการทำธุรกิจในประเทศไทยก็จะต้องสูงขึ้น
นายจุติกล่าวในตอนท้ายว่าสำหรับการฟื้นฟูเศรษฐกิจในประเทศหรือการดูแลแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจประชาชนนอกจากจะเหลวแล้วมีสิ่งเดียวที่เห็นได้ชัดเจนคือ ประชานิยมท่วมหัวประชาชนไปหมด รัฐบาลนี้คิดได้แต่เพียงจะเอาเงินไปแจกแต่ไม่แก้ปัญหาของประเทศ ดังนั้นผลที่จะยังหลงเหลืออยู่หลังเอาเงินไปหว่านก็คือ ปัญหาการจ้างงาน รายได้ของประชาชน การประกอบอาชีพของประชาชนหลังน้ำลด
ครับ การนำเสนอของฝ่ายค้านเป็นการมองภาพด้านลบต่อนายกรัฐมนตรีเป็นสำคัญทั้งๆ ที่เวลานี้นายกรัฐมนตรีไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการแก้ปัญหาเรื่องอุทกภัยเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
โฆษกกระทรวงกลาโหมยังกล่าวอีกว่า การนำเสนอข่าวดังกล่าวอาจเป็นความไม่หวังดีของบุคคลที่ต้องการสร้างความแตกแยกในการทำงานระหว่างกองทัพกับรัฐบาล รวมทั้งอาจทำให้เกิดความหวาดระแวงจนทำให้การทำงานขาดเอกภาพและไม่มีประสิทธิภาพ
ครับ เมื่อแถลงออกมาเช่นนี้ก็เท่ากับว่าข่าวออกมาจากมือมืดที่ปล่อยข่าวบ่อนทำลายรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีเพื่อทำลายทั้งภาพลักษณ์และการทำงานเพื่อให้เกิดความแตกแยกระหว่างกองทัพกับรัฐบาลซึ่งเราเห็นว่าเป็นวิธีการสกปรกในยามที่สังคมต้องการความร่วมมือกันหาทางแก้ไขปัญหาวิกฤติร่วมกันไม่ใช่หันหน้าเข้ามาบ่อนทำลายด้วยการปล่อยข่าวลือแบบนี้ครับ
แต่ขณะที่รัฐบาลมุ่งอยู่กับการแก้ปัญหาอยู่นั้นสมาชิกวุฒิสภา ๖๓ คน ก็เกิดยื่นญัตติให้รัฐบาลตอบขึ้นมาอีกในเรื่องการแก้ปัญหาน้ำท่วม โดยอ้างว่าให้รัฐบาลประสานมายังวุฒิสภาเพื่อเปิดอภิปรายภายในสมัยสามัญทั่วไปที่กำลังจะสิ้นสุดในวันที่ ๒๘ พ.ย.นี้
ญัตตินี้เพื่ออภิปรายพิจารณาปัญหาอุทกภัยน้ำท่วมใหญ่ของประเทศไทยในหลายพื้นที่ ตั้งแต่เดือนสิงหาคม ซึ่งรัฐบาลนี้เข้ามาบริหารประเทศประเทศและควบคุมบริหารจัดการน้ำมาโดยตลอด พร้อมทั้งจัดตั้งศปภ.ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะบรรเทาปัญหาลงได้ กลับเข้าสู่ภาวะที่น่าเป็นห่วงมากขึ้น ส่งผลให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนเป็นวงกว้าง ภาคธุรกิจต่างๆ เสียหายเป็นอย่างมาก และยังไม่สามารถหยุดมวลน้ำไม่ให้ไหลท่วมกทม.ทำให้ผู้ได้รับผลเดือดร้อน ๓ ล้านคน โดยขณะนี้รัฐบาลไม่สามารถจัดการดูแลช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขาดแคลนปัจจัยในการดำรงชีวิต แสดงให้เห็นถึงความผิดพลาด ในการบริหารจัดการน้ำและการเยียวยาฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัย เหตุการณ์ครั้งนี้คาดว่าจะส่งผลให้ประเทศไทยเสียหายทางเศรษฐกิจหลายแสนล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศขาดความเชื่อมั่นในการแก้ไขสถานการณ์ ส่งผลกระทบต่อการลงทุนในประเทศไทย
ครับ วุฒิสมาชิกกลุ่มนี้ยื่นญัตติค่อนข้างรุนแรงในการติรัฐบาลโดยไม่มีการชี้แนะการแก้ปัญหาเช่นนี้ทำให้เห็นว่าสมาชิกกลุ่มนี้ทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านกลายๆ นั่นเอง และทำความลำบากใจให้กับรัฐบาลที่ต้องมาแก้ปัญหาหาข้อมูลมาแก้ตัวในวุฒิสภาครั้งนี้ด้วย เพื่อให้กลุ่มวุฒิสมาชิกนี้เห็นว่ารัฐบาลได้ทำอะไรไปบ้างในความพยายามที่จะแก้ปัญหาทุกๆทางเท่าที่จะทำได้
โดยสรุปแล้วเนื้อหาในญัตติก็ทำความเสียหาต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาลเป็นอย่างมาก
สำหรับทีท่าของฝ่ายค้านอย่างพรรคประชาธิปัตย์นั้นก็เป็นที่คาดหมายได้ว่าทั้งตัวนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลชุดนี้จะต้องมีภาพลักษณ์เป็นลบอย่างแน่นอน
นายจุติ ไกรฤกษ์ ในฐานะรัฐมนตรีคลังเงาออกมากล่าวว่า ขณะนี้ไทยอาจเป็นส่วนหนึ่งของวิกฤติเศรษฐกิจโลกและอยู่ภายใต้ความอ่อนหัดของการบริหารงานของนายกรัฐมนตรีคนนี้ ในขณะที่ภาครัฐอ่อนแอไม่สามารถจัดการปัญหาความขัดแย้งประชาชน คนตกงาน และป้องกันแก้ไขปัญหาให้กับนักธุรกิจที่อยู่ในประเทศไทยได้
นายจุติกล่าวว่า “วิกฤติเศรษฐกิจ ส่วนหนึ่งเกิดจากภัยธรรมชาติ แต่ส่วนที่ซ้ำเติมมากขึ้นคือ ความล้มเหลวในการบริหารงานแก้ไขปัญหาวิกฤติน้ำท่วม”
เขายังชี้ด้วยว่า ประเทศไทย เคยเป็นประเทศชั้นนำที่อยู่ในแผนที่การลงทุนสำคัญของโลก จะเป็นซัพพลายเชนสำคัญในอุตสาหกรรมรถยนต์ อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และชิ้นส่วน และอุตสาหกรรมอาหาร แต่วันนี้ด้วยระบบบริหารที่ล้มเหลวและความไร้เดียงสาของนายกรัฐมนตรีที่เปิดไส้เปิดพุงให้นักลงทุนเห็นหมดถึงความไม่พร้อมของประเทศไทย ศักยภาพในการแข่งขันของประเทศจะลดลงอย่างแน่นอนถ้ารัฐบาลไม่แก้ปัญหาที่จะเกิดขึ้นในประเด็นเหล่านี้คือ ๑.การจัดการภายใต้วิกฤติเศรษฐกิจเรื่องโลจิสติกส์ ระบบกระจายสินค้า การขนส่ง ๒.เรื่องการซ่อมแซมโครงสร้างหลักของประเทศ ถนนหนทาง คูคลอง ๓.ความพร้อมศักยภาพของคน ของแรงงาน และ ๔.ต้นทุนในการทำธุรกิจในประเทศไทยก็จะต้องสูงขึ้น
นายจุติกล่าวในตอนท้ายว่าสำหรับการฟื้นฟูเศรษฐกิจในประเทศหรือการดูแลแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจประชาชนนอกจากจะเหลวแล้วมีสิ่งเดียวที่เห็นได้ชัดเจนคือ ประชานิยมท่วมหัวประชาชนไปหมด รัฐบาลนี้คิดได้แต่เพียงจะเอาเงินไปแจกแต่ไม่แก้ปัญหาของประเทศ ดังนั้นผลที่จะยังหลงเหลืออยู่หลังเอาเงินไปหว่านก็คือ ปัญหาการจ้างงาน รายได้ของประชาชน การประกอบอาชีพของประชาชนหลังน้ำลด
ครับ การนำเสนอของฝ่ายค้านเป็นการมองภาพด้านลบต่อนายกรัฐมนตรีเป็นสำคัญทั้งๆ ที่เวลานี้นายกรัฐมนตรีไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการแก้ปัญหาเรื่องอุทกภัยเพียงอย่างเดียวเท่านั้น