เมื่อสัปดาห์ก่อนได้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอีก 9 คน รวมสิบคนด้วยกัน ซึ่งแต่ละคนก็มีข้อครหาหรือข้อสงสัยที่แตกต่างกัน
การอภิปรายเริ่มตั้งแต่วันอังคารที่ 15 มีนาคม 2554 เรื่อยไปจนถึงวันศุกร์เลยทีเดียว การใช้เวลาถึง 4 วันนั้นถือว่าเยอะพอสมควร ถ้าเน้นเนื้อหาสาระ ถือว่ามีเวลามากพอที่จะทำให้ประชาชนได้ทราบข้อมูลมากมาย แต่ฝ่ายค้านกลับทำอะไรไม่ได้มาก
แทนที่จะอภิปรายด้วยการเสนอข้อมูล หลักฐาน ที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนละบ้านเมือง เวลาหลายวัน เกือบทั้งสัปดาห์ ฝ่ายค้านกลับทำตัวเป็นฝ่ายแค้น ผู้อภิปรายหลายๆคนยังคงพูดเรื่องเดิมๆ คือเรื่องการสลายการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง โดยเฉพาะนายจตุพร พรหมพันธ์ ที่ใช้เวลายืดยาวพูดแต่เรื่องนี้ โดยไม่สนใจปัญหาอื่นๆของประชาชน
ปัญหาหลักๆที่ชาวบ้านอยากได้ยินในการอภิปรายก็คือปัญหาการกักตุนน้ำมันปาล์ม จนขาดแคลนราคาแพง และหาซื้อไม่ได้ สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนทุกครัวเรือน และพ่อค้าแม่ค้าที่ขายอาหารประเภททอด อาศัยน้ำมันปาล์มเป็นหลัก ต้องเดือดร้อนกันอย่างหนัก เป็นปัญหาปากท้องที่กระทบกับคนส่วนใหญ่ทั่วประเทศ จริงๆ แล้วการอภิปรายเรื่องเหล่านี้จะสามารถดึงคะแนนของฝ่ายค้านได้ แต่ฝ่ายค้านกลับไม่ทำ
เวลาส่วนใหญ่ของฝ่ายค้านกลับไปให้เวลากับคนอย่างนายมิ่งขวัญ ร้อยตำรวจเอกเฉลิม และนายจตุพร ที่พล่ามต่อยหอยไร้สาระ จนชาวบ้านเบื่อเอียนเต็มทน
แถมบางครั้งอภิปรายอยู่ดีๆ กลายเป็นชงลูกเข้าทางรัฐบาลไปเสียอีก คิดจะโชว์ฟอร์ม แต่กลับเสียฟอร์ม
โดยเฉพาะนายมิ่งขวัญ พรรคเพื่อไทยหัวหน้าทีมอภิปรายในครั้งนี้ มาดของนายมิ่งขวัญนั้นออกแนวเหมือนกับอาจารย์หน้าชั้นเรียนซะมากกว่า ทั้งฉายสไลด์ และ พาวเวอร์พอยต์ การพูดนิ่งๆไร้ลีลา ทั้งเนื้อหาและท่าที น่าเบื่อเหลือทนจริงๆ แถมยังเจอ รมต.กรณ์ ตอกกลับซะหน้าหงายไปเลยทีเดียว
การอภิปรายไม่ไว้วางใจหนนี้ แทนที่จะเป็นศึกซักฟอก หรือศึกที่ฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาล จะแสดงข้อมูลเหตุผลเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนและบ้านเมือง แต่ทั้งสองฝ่ายกลับใช้เงื่อนไขนี้เป็นการหาเสียงล่วงหน้าเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของตน
ดูอย่างรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ที่พูดแก้ตัวไปด้วยหาเสียงไปด้วยอย่างเห็นได้ชัด สร้างภาพลักษณ์ของท่าน รมต.กรณ์ ให้ออกมาดูดี ผมว่านายกรณ์ เป็น รมต. ที่พูดชี้แจงและหาเสียงในเวลาเดียวกันที่เก่งที่สุดคนหนึ่ง
ขณะที่รองนายกฯ สุเทพ ที่ได้คะแนนเท่ากับนายกฯ ก็เอาแต่แก้ปัญหาการเมืองไปวันๆ ออกแนวแถรายวันเสียด้วยซ้ำ
ส่วนคนที่นายกฯห่วงอย่างนางพรทิวา กลับได้รับคะแนนโหวตมากที่สุด ทั้งที่เป็นรัฐมนตรีที่ไม่ได้ชี้แจงได้ดีอะไรเลย เป็นคะแนนโหวตที่ไม่ได้มาจากคุณภาพหรือความสามารถ แต่มาจากคะแนนการ “เล่นการเมือง”และผลประโยชน์ของนักการเมืองมากกว่า
นาย จุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) และนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้รับคะแนนโหวตไว้วางใจ 247 เสียงเท่ากัน ซึ่งสองคนนี้จริงๆ แล้วมีช่องให้อภิปรายได้มากมาย ทั้งเรื่องเว็บไซต์หมิ่นเบื้องสูงที่มีมากเหลือเกิน หรือกรณี 7 คนไทยถูกจับกุมไปขึ้นศาลกัมพูชา
แต่รัฐมนตรีทั้งสองกระทรวงนี้ไม่ค่อยมีคนอภิปรายสักเท่าไร ทั้งที่เป็นประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงเสียด้วยซ้ำ
ไม่รู้ฝ่ายค้านกับรัฐบาลกำลังเล่นเกมอะไรกัน แต่ที่แน่ๆชัดเจนที่สุด คือประชาชนได้ประโยชน์น้อยมากเหลือเกิน ถ้าเทียบกับเงินเดือนที่ขุนเลี้ยงคนเหล่านี้จากเงินภาษีของพ่อแม่พี่น้องประชาชน
ช่วยทำงานกันให้คุ้มค่าจ้างสักหน่อย ได้ไหมครับเหล่าส.ส.และนักการเมือง
การอภิปรายเริ่มตั้งแต่วันอังคารที่ 15 มีนาคม 2554 เรื่อยไปจนถึงวันศุกร์เลยทีเดียว การใช้เวลาถึง 4 วันนั้นถือว่าเยอะพอสมควร ถ้าเน้นเนื้อหาสาระ ถือว่ามีเวลามากพอที่จะทำให้ประชาชนได้ทราบข้อมูลมากมาย แต่ฝ่ายค้านกลับทำอะไรไม่ได้มาก
แทนที่จะอภิปรายด้วยการเสนอข้อมูล หลักฐาน ที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนละบ้านเมือง เวลาหลายวัน เกือบทั้งสัปดาห์ ฝ่ายค้านกลับทำตัวเป็นฝ่ายแค้น ผู้อภิปรายหลายๆคนยังคงพูดเรื่องเดิมๆ คือเรื่องการสลายการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง โดยเฉพาะนายจตุพร พรหมพันธ์ ที่ใช้เวลายืดยาวพูดแต่เรื่องนี้ โดยไม่สนใจปัญหาอื่นๆของประชาชน
ปัญหาหลักๆที่ชาวบ้านอยากได้ยินในการอภิปรายก็คือปัญหาการกักตุนน้ำมันปาล์ม จนขาดแคลนราคาแพง และหาซื้อไม่ได้ สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนทุกครัวเรือน และพ่อค้าแม่ค้าที่ขายอาหารประเภททอด อาศัยน้ำมันปาล์มเป็นหลัก ต้องเดือดร้อนกันอย่างหนัก เป็นปัญหาปากท้องที่กระทบกับคนส่วนใหญ่ทั่วประเทศ จริงๆ แล้วการอภิปรายเรื่องเหล่านี้จะสามารถดึงคะแนนของฝ่ายค้านได้ แต่ฝ่ายค้านกลับไม่ทำ
เวลาส่วนใหญ่ของฝ่ายค้านกลับไปให้เวลากับคนอย่างนายมิ่งขวัญ ร้อยตำรวจเอกเฉลิม และนายจตุพร ที่พล่ามต่อยหอยไร้สาระ จนชาวบ้านเบื่อเอียนเต็มทน
แถมบางครั้งอภิปรายอยู่ดีๆ กลายเป็นชงลูกเข้าทางรัฐบาลไปเสียอีก คิดจะโชว์ฟอร์ม แต่กลับเสียฟอร์ม
โดยเฉพาะนายมิ่งขวัญ พรรคเพื่อไทยหัวหน้าทีมอภิปรายในครั้งนี้ มาดของนายมิ่งขวัญนั้นออกแนวเหมือนกับอาจารย์หน้าชั้นเรียนซะมากกว่า ทั้งฉายสไลด์ และ พาวเวอร์พอยต์ การพูดนิ่งๆไร้ลีลา ทั้งเนื้อหาและท่าที น่าเบื่อเหลือทนจริงๆ แถมยังเจอ รมต.กรณ์ ตอกกลับซะหน้าหงายไปเลยทีเดียว
การอภิปรายไม่ไว้วางใจหนนี้ แทนที่จะเป็นศึกซักฟอก หรือศึกที่ฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาล จะแสดงข้อมูลเหตุผลเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนและบ้านเมือง แต่ทั้งสองฝ่ายกลับใช้เงื่อนไขนี้เป็นการหาเสียงล่วงหน้าเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของตน
ดูอย่างรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ที่พูดแก้ตัวไปด้วยหาเสียงไปด้วยอย่างเห็นได้ชัด สร้างภาพลักษณ์ของท่าน รมต.กรณ์ ให้ออกมาดูดี ผมว่านายกรณ์ เป็น รมต. ที่พูดชี้แจงและหาเสียงในเวลาเดียวกันที่เก่งที่สุดคนหนึ่ง
ขณะที่รองนายกฯ สุเทพ ที่ได้คะแนนเท่ากับนายกฯ ก็เอาแต่แก้ปัญหาการเมืองไปวันๆ ออกแนวแถรายวันเสียด้วยซ้ำ
ส่วนคนที่นายกฯห่วงอย่างนางพรทิวา กลับได้รับคะแนนโหวตมากที่สุด ทั้งที่เป็นรัฐมนตรีที่ไม่ได้ชี้แจงได้ดีอะไรเลย เป็นคะแนนโหวตที่ไม่ได้มาจากคุณภาพหรือความสามารถ แต่มาจากคะแนนการ “เล่นการเมือง”และผลประโยชน์ของนักการเมืองมากกว่า
นาย จุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) และนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้รับคะแนนโหวตไว้วางใจ 247 เสียงเท่ากัน ซึ่งสองคนนี้จริงๆ แล้วมีช่องให้อภิปรายได้มากมาย ทั้งเรื่องเว็บไซต์หมิ่นเบื้องสูงที่มีมากเหลือเกิน หรือกรณี 7 คนไทยถูกจับกุมไปขึ้นศาลกัมพูชา
แต่รัฐมนตรีทั้งสองกระทรวงนี้ไม่ค่อยมีคนอภิปรายสักเท่าไร ทั้งที่เป็นประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงเสียด้วยซ้ำ
ไม่รู้ฝ่ายค้านกับรัฐบาลกำลังเล่นเกมอะไรกัน แต่ที่แน่ๆชัดเจนที่สุด คือประชาชนได้ประโยชน์น้อยมากเหลือเกิน ถ้าเทียบกับเงินเดือนที่ขุนเลี้ยงคนเหล่านี้จากเงินภาษีของพ่อแม่พี่น้องประชาชน
ช่วยทำงานกันให้คุ้มค่าจ้างสักหน่อย ได้ไหมครับเหล่าส.ส.และนักการเมือง