นาทีนี้ถ้าใครสามารถนั่งติดตามการถ่ายทอดสดการอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล มาตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม ต่อเนื่องมาจนถึงวานนี้( 17 มีนาคม) ได้อย่างจดจ่อ ถือว่าคนนั้นเป็น “ยอดมนุษย์” มีความอดทนสูงยิ่ง หรือไม่เช่นนั้นก็คง “บ้าใบ้” เพราะสามารถทนฟัง นักการเมือง “ห่วยแตก” ใช้เวทีสภาเป็นที่ “หลอกต้ม” ชาวบ้าน พูดดำให้เป็นขาว ขาวให้เป็นดำ ผิดให้เป็นถูก
ทำทุกทางเพื่อให้ตัวเองได้ประโยชน์เท่านั้น ไม่สนใจว่าชาวบ้านที่นั่งดูข้างนอกเขาจะรู้สึก “สะอิดสะเอียน” เพียงใด เพราะวัตถุประสงค์ของนักการเมืองพวกนี้ก็คือ เมื่อตัวเองต้องการพูดอะไรก็ต้องได้พูด ได้โกหก
เพราะหากไล่เรียงดูการ “ซักฟอก” มาตั้งแต่วันแรก ในประเด็นหลักๆทั้งในเรื่อง “วิกฤติน้ำมันปาล์ม” และปัญหาข้าวยากหมากแพง ที่ตอนแรกชาวบ้านตั้งความหวังว่า ฝ่ายค้านอย่างพรรคเพื่อไทยคงจะสามารถหาหลักฐานมารองรับความเชื่อของสังคมที่ร้อยทั้งร้อยมั่นใจว่า มีรายการ “รวมหัวโกง” กันอย่างมโหฬารระหว่าง กลุ่มทุนการเมือง และนักการเมือง “ขาใหญ่” ในพรรครัฐบาล เพื่อ “สะสมเสบียง” ไว้รองรับการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง แต่เอาเข้าจริง ก็ไม่สามารถหาหลักฐานมา “รัดคอ” ได้เลย ตรงกันข้ามกลับถูกตอบโต้จนหน้าหงาย ข้อมูลที่นำออกมาอภิปราย ก็เป็นเพียงข้อมูล “ตัดแปะ” จากหนังสือพิมพ์ที่มีการนำเสนอให้รับรู้กันไปหมดแล้ว
ขณะที่ รัฐมนตรีฝ่ายรัฐบาลที่ตกเป็นเป้าหมายหลักในการอภิปรายไม่ไว้วางใจคราวนี้ อย่าง รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ที่รับผิดชอบด้านนโยบายน้ำมันปาล์ม สุเทพ เทือกสุบรรณ ก็อธิบายแก้ต่างๆไปแบบเรียบๆง่ายๆ โดยเพียงแค่ท้าทายเลิกเล่นการเมืองตลอดชีวิตหากฝ่ายค้านนำ “ใบเสร็จ”มาแสดงเท่านั้น
ส่วนการบริหารงานของรัฐมนตรีพาณิชย์ พรทิวา นาคาศัย ที่กล่าวหาว่าบริหารงานผิดพลาดล้มเหลว ทำให้ข้าวของแพง แทนที่ฝ่ายค้านจะหาข้อมูล และมีลีลาที่เร้าใจดึงดูดชาวบ้านให้มีความรู้สึกร่วมได้เต็มร้อย ทั้งที่เป็นเรื่องที่ทุกคนสัมผัสได้ถึงความเดือดร้อนมานานหลายเดือนแล้ว ในความเป็นจริงก็ทำได้ต่ำกว่ามาตรฐาน ทั้งรัฐมนตรีที่ถูกอภิปราย และส.ส.เพื่อไทย
ต่อเนื่องมาจนถึง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กรณ์ จาติกวณิช ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความผิดพลาดทางด้านนโยบายการเงินการคลัง ทำให้ประเทศเป็นหนี้เพิ่ม โดยเฉพาะหนี้สาธารณะ และหนี้ครัวเรือน ซึ่งบรรยากาศคราวนี้ก็ไม่ต่างจากครั้งก่อนๆ ที่ เขาถูกอภิปราย อาจเป็นเพราะเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก เป็นตัวเลขที่ดูแล้วชวนปวดหัว สับสน หรือต้องมาเจอกับลีลาการนำเสนอ การพูดที่แม้ฟังดูเรียบๆ แต่ทำให้เข้าใจได้ดี ทำให้ กรณ์ จาตกวณิช สอบผ่านไปได้ หากพิจารณาจากคำชี้แจง และข้อมูลตามที่ถูกซักฟอก
รายถัดมาก็คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โสภณ ซารัมย์ ที่แม้ว่าจะถูกอภิปรายด้วยเรื่องทุจริต ในโครงการใหญ่หลายโครงการ เช่น การก่อสร้างรถไฟฟ้าสารพัดสี แต่อาจเป็นเพราะเป็นข้อมูลเก่า และเคยเกิดขึ้นมานานแล้ว ทำให้อาจดูไม่มีน้ำหนักเพียงพอ แถมบางครั้งยังถูกตอบโต้ย้อนกลับไปถึงรัฐบาลเก่าในยุคของฝ่ายค้านเสียอีก
แม้แต่รายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กษิต ภิรมย์ ที่เกี่ยวกับความล้มเหลวในการดำเนินนโยบายกับต่างประเทศ โดยเฉพาะในกรณีปัญหาไทย-กัมพูชา ฝ่ายค้านก็ไม่ได้แตะต้องเจาะลึก ทำราวกับว่าเมื่อมีการอภิปรายคราวใดก็ต้องแปะชื่อกษิต เอาไว้ก่อน เพื่อได้ระบายแค้นแทน “นายใหญ่” เท่านั้น
นี่ยังไม่นับการอภิปรายในภาพรวมแบบ “เปิดหัว” ของหัวหน้าทีมฝ่ายค้าน อย่าง มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ที่พุ่งเป้าไปที่การบริหารที่ล้มเหลว ทุจริตของรัฐบาลภายใต้การนำของ นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่ด้วยลีลาท่าทางที่ไม่เร้าใจ จึง “เสร็จ” นักโต้วาที “ขั้นเทพ” อย่างไม่น่าเชื่อ ผิดไปจากคำคุยโวตั้งแต่ต้นว่ามีทีเด็ด
สรุปโดยภาพรวมถือว่าการอภิปรายผ่านมาสองสามวัน ยังไม่มีอะไรน่าสนใจ ทำให้ชาวบ้านที่อุตส่าห์ตั้งตารอต้องผิดหวังไปตามๆกัน กลายเป็นว่าทั้งสองฝ่ายคือฝ่ายค้านและรัฐบาลต่างใช้วิธี “น้ำเน่า” อาศัยสภา ใช้น้ำไฟสภาจากงบประมาณของชาวบ้านเพื่อ “หาเสียง” ฟอกความผิดให้กับตัวเองเท่านั้น
อย่างไรก็ดีหากพิจารณาให้ลึกก็อาจเข้าใจว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้การซักฟอกรัฐบาลในคราวนี้ไม่ได้แก่นสาร เท่าที่ควร โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับปมทุจริตของรัฐมนตรีที่อยู่ในความสงสัยของประชาชน เพราะเป้าหมายที่แท้จริงของฝ่ายค้านอย่างพรรคเพื่อไทย ที่ต้องการก็คือใช้เวทีสภาเพื่อแก้ต่างความผิดให้กับบรรดา “หัวโจก” คนเสื้อแดง ทำให้เห็นว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นในการชุมนุมเมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่แล้วไม่ใช่เป็นฝีมือของพวกเขา แต่โยนความผิดให้กับกองทัพ รวมทั้งต้องการแค่ฟอกความบริสุทธิ์ ให้กับ ทักษิณ ชินวัตร เท่านั้น
ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลก็พยายามหาหลักฐานมาแก้ต่างทั้งในเรื่องของ “ชายชุดดำ” ที่แสดงให้เห็นว่าเกี่ยวข้องกับม็อบเสื้อแดง แต่ประเด็นคำถามก็คือเหตุความรุนแรงดังกล่าวไม่ใช่เรื่องการเมือง แต่เป็นเรื่องของการ “ก่อการร้าย” ทำไมไม่นำหลักฐานดังกล่าวไปใช้ดำเนินคดีกับบรรดาหัวโจก และคนที่อยู่เบื้องหลัง ทำไมผ่านมาเกือบปีถึงยังปล่อยให้ลอยนวล มิหนำซ้ำยังไฟเขียวให้เจ้าหน้าที่ของรัฐและคนในรัฐบาลไปค้ำประกันให้กับแกนนำจนได้รับการปล่อยตัวออกมาเสียอีก
ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากเนื้อหาในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลคราวนี้ ที่เริ่มต้นมาตั้งแต่วันแรกเมื่อวันที่ 15 มีนาคม ต่อเนื่องจนถึงวานนี้( 17 มีนาคม) ทำให้มองเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นการอภิปรายที่ไร้สาระ หาประโยชน์อะไรไม่ได้ แสดงให้เห็นว่านักการเมืองพวกนี้ทั้ง “หัวหงอก” และ “หัวดำ” ทั้งหลาย ไม่มีวิวัฒนาการในทางที่ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย ไม่สามารถสร้างความหวังให้กับชาวบ้านและประเทศชาติได้เลยแม้แต่น้อย
อย่าได้แปลกใจที่เริ่มมีเสียงก่นด่าจากคนข้างนอกดังขึ้นเรื่อยๆ เพราะเขาทนไม่ได้กับพฤติกรรม “อุบาทว์” ของนักการเมืองพวกนี้ เพราะการอภิปรายยิ่งยืดเยื้อออกไปนานเท่าไรก็ยิ่งเปลืองงบประมาณ ไร้ประโยชน์มากขึ้นตามไปด้วย !!