xs
xsm
sm
md
lg

ผ่านครึ่งทางศึกซักฟอก “เพื่อไทย” ห่วยไม่สมราคา ปลุกผี “ปชป.” ขึ้นจากหลุม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


บรรยากาศ “ศึกซักฟอก” อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ที่ผ่าน 2 วันแรกไปแล้ว ได้ผลสรุปว่าผิดไปจากที่ได้คาดการณ์ล่วงหน้าไว้อย่างมาก เนื่องจากบรรยากาศผ่านไปแบบ “จืดชืด” เพราะฝ่ายค้านโดยพรรคเพื่อไทยทำหน้าที่ไม่ได้สมราคาคุยที่ว่าไว้ก่อนการเปิดอภิปรายเลยแม้แต่น้อย

โดยข้อมูลที่นำมาใช้ก็ไม่ต่างจากข่าวที่ปรากฎตามหน้าหนังสือพิมพ์ หรือที่ถูกปรามาสว่าข้อมูล “ตัดแปะ” อีกทั้งตัวบุคคลที่ขึ้นอภิปรายก็ขาดชั้นเชิงการนำเสนอให้ชวนติดตามได้

เริ่มตั้งแต่จังหวะ “เปิดหัว” โดย “มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์” ส.ส.สัดส่วน ที่ได้รับมอบหมายจาก “นายใหญ่” ให้ทำหน้าที่หัวหน้าทีมอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคเพื่อไทยในครั้งนี้ นายมิ่งขวัญพยายามสวมบทเข้ม “ขึงขัง” มากขึ้น ตามที่กุนซือให้การแนะนำ เนื่องจากเมื่อช่วง “ทดลองงาน” ในการอภิปรายผลงาน 2 ปีของรัฐบาล เมื่อช่วงปลายเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ทีมกุนซือสรุปว่า เหตุผลและข้อมูลของนายมิ่งขวัญถือว่าสอบผ่าน หากแต่ท่าทีลีลายังขาดจังหวะทีเด็ดทีขาดอยู่มาก

ในศึกใหญ่ครั้งนี้จึงถือเป็นการแก้ตัวอีกครั้งของนายมิ่งขวัญ ที่ต้องทำให้ดุดันหนักแน่นขึ้นจากการอภิปรายครั้งก่อน แต่ตลอดระยะเวลาที่นายมิ่งขวัญอภิปรายเปิดญัตติไม่ไว้วางใจ เมื่อวันที่ 15 มี.ค.นั้น ด้วยข้อจำกัดของการเปิดญัตติที่ทำได้เพียง “โหมโรง” เพื่อเปิดให้ผู้อภิปรายนอื่นลงลึกในรายละเอียด จึงทำให้บรรยากาศในช่วงเวลานั้นเหมือนห้องเรียนที่นายมิ่งขวัญรับบทเป็นอาจารย์ ที่ให้นักศึกษาเล็กเชอร์ในห้องเรียนมากกว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจ

รวมทั้งจังหวะการพูดของนายมิ่งขวัญที่ราบเรียบเป็นระนาบเดียว ไม่มีการสร้างความเร้าใจ กระชากอารมณ์คนฟังให้รู้สึกชวนติดตาม ยิ่งเมื่อเทียบฟอร์มกับนายอภิสิทธิ์แล้วยิ่งเห็นชัดว่ายัง “ห่างชั้น” อยู่หลายช่วงตัว

บางจังหวะโดนนายอภิสิทธิ์ที่ระดับเข้าขั้นแชมป์โต้วาที “ตอกกลับ” นายมิ่งขวัญถึงกับแน่นิ่ง ไม่ลุกขึ้นมาตอบโต้ตามวิสัยของนักการเมืองรุ่นใหญ่

แสดงให้เห็นถึงความอ่อนด้อยและความหลงตัวเองของนายมิ่งขวัญและทีมงาน ที่หลงนึกว่าการได้เป็นหัวหน้าทีมเพราะศักยภาพของตัวเอง แต่กลับเป็นได้เพียง “หุ่นเชิด” ของ “นายใหญ่” ในศึกครั้งนี้เท่านั้นเอง

จนลีลาของ “อันธพาลสภา” อย่าง “สุนัย จุลพงศธร” ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย กับการเปิดประเด็น “แก๊งหูบี้” ที่เรียกรับประโยชน์จากการทุจริตในกระทรวงพาณิชย์ ยังดูน่าสนใจมากเสียกว่า

หันมาดูในส่วนอื่นๆ ก็พบว่า ปัญหาน้ำมันปาล์มที่เข้าขั้นวิกฤติ และทำให้ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อน อีกทั้งยังมีข้อมูลหลักฐานชัดเจนว่า “ผู้ยิ่งใหญ่” แห่งเมืองสุราษฎร์ มีเอี่ยวทำให้เกิดวิกฤตครั้งนี้ แต่ทีมอภิปรายของฝ่ายค้านกลับไม่สามารถใช้เล่นงานรัฐบาลได้ถนัดนัก

หรือว่าเป็นเพราะพรรคเพื่อไทยไม่สามารถพูดถึงเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่นได้เต็มปากมากนัก เพราะที่ผ่านมา “ระบอบทักษิณ” ก็ขึ้นชื่อเรื่องการโกงไม่ยิ่งหน่อยไปกว่าใคร

แม้เรื่องน้ำมันปาล์มและประเด็น “สต๊อกลม” จะสร้างความลำบากให้คนพูดไม่เก่งอย่าง “พรทิวา นาคาศัย” รมว.พาณิชย์ บ้างในบางจังหวะ จนบรรดาองครักษ์ของแก๊งห้อยต้องลุกประท้วงขัดจังหวะกันจ้าละหวั่น แต่สำหรับ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ที่โดนถล่มในเรื่องเดียวกัน กลับผ่านไปได้สบาย

ที่สำคัญไม่น่าเชื่อว่า ประเด็นปัญหาข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” เปิดแผลรัฐบาลจนเหวอะหวะ แต่ฝ่ายค้านก็ยังไม่สามารถนำมาใช้ปิดเกม “กษิต ภิรมย์” รมว.ต่างประเทศ ได้ เพราะข้อมูลที่ 4 ส.ส.รุ่นใหม่ของพรรคเพื่อไทยนำมาโจมตีนายกษิตในช่วงดึกของวันแรกนั้น ผิวเผินมากหากเทียบกับข้อมูลบนเวทีที่สะพานมัฆวานรังสรรค์

หรืออาจเกรงว่าหากสาวลงลึกไป จะเป็นศรย้อนกลับมาเล่นงานพรรคเพื่อไทยเอง เพราะเมื่อสมัยรัฐบาล “สมัคร สุนทรเวช” สมัยที่ยังเป็นพรรคพลังประชาชน ก็มีผลงานเอกอุในการสนับสนุนให้กัมพูชานำ “ปราสาทพระวิหาร” ไปขึ้นทะเบียนมรดกโลกนั่นเอง

ส่วนที่ดูดีขึ้นมาบ้างเป็นช่วงการอภิปรายการทำงานของกระทรวงการคลัง ที่มี “กรณ์ จาติกวณิช” เป็นเจ้ากระทรวง โดยทั้งข้อกล่าวหาของฝ่ายค้าน และคำชี้แจงของนายกรณ์นั้น มีการตอบโต้กันด้วยเหตุผลและข้อเท็จจริงในแง่การดำเนินนโยบายจริงๆ ทั้งยังมีหยิบยกประเด็นความผิดพลาดในการเรียกเก็บภาษีสรรพสามิต ซึ่งเป็นที่มาของกรณี “ภาษีบุหรี่” ซึ่งมีการวิ่งเต้นล้มคดีฟ้องบริษัทต่างชาติมาโจมตีการทำงานของนายกรณ์ด้วย

ถือเป็นการเผาหัวไว้ก่อนที่จะถึงคิว “เฉลิม อยู่บำรุง” ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่จองสัมปทานใช้เรื่องนี้ถล่มนายกฯในวันสุดท้าย โดยมั่นใจว่ามีหลักฐานเด็ด หรือ “หมัดน๊อค” รัฐบาลที่ทำให้ประเทศต้องเสียประโยชน์กว่า 6.8 หมื่นล้านบาทได้

มาถึงคิวของ “โสภณ ซารัมย์” รมว.กระทรวงคมนาคม ที่คาดว่าจะโดนเล่นงานหนักในเรื่องการประมูลสัมปทานโครงการเมกะโปรเจ็คต์ต่างๆ แต่กลับกลายเป็นเวที “เรียกน้ำย่อย” ให้กับชาวแก๊งเสื้อแดง เมื่อมีการเปิดประเด็นเรื่องการเผารถเมล์ เมื่อเหตุการณ์เดือน เม.ย.52 ขึ้นมา จนทำให้ฝ่ายรัฐบาลโดยนายสุเทพและนายอภิสิทธิ์ต้องลุกขึ้นตอบโต้ด้วยตัวเอง จนมีการประท้วงไปมาวุ่นวาย

เมื่อเห็นบรรยากาศช่วงสั้นๆที่มีการพูดถึงเรื่อง “เสื้อแดง-ทักษิณ” ที่สร้างความปั่นป่วนในสภาฯไม่น้อย ทำให้เชื่อว่าเวลา 2 วันที่เหลือ เวลาส่วนใหญ่น่าจะเทน้ำหนักไปที่ประเด็นการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง ที่จะเป็นเวทีให้ “จตุพร พรหมพันธุ์” และแกนนำคนเสื้อแดงในคราบ ส.ส.คนอื่นๆ ใช้ “ฟอกตัว” ให้กับพวกตัวเองที่ถูกตราหน้าว่าเผาบ้านเผาเมืองมากกว่า จึงไม่น่าจะคาดหวังอะไรได้มากนัก เพราะจะกลายเป็นเวทีตีโวหารใส่กัน โดยไม่ได้นึกประชาชนตาดำๆที่หวังเห็นเวทีนี้นำไปสู่การแก้ไขปัญหาให้กับประเทศชาติ

ในทางการเมืองก็เห็นแล้วว่า พรรคเพื่อไทยภายใต้การกุมบังเหียนของนายมิ่งขวัญ ยังไม่อาจเทียบชั้นพรรคประชาธิปัตย์ของนายอภิสิทธิ์ได้แม้แต่น้อย บนเวทีในสภาผู้แทนราษฎร

แทนที่จะได้ใช้เวทีนี้ถล่มรัฐบาลให้จมดิน กลับถูกตอกกลับหน้าหงายไปหลายดอก

รายงาน/ทีมข่าวการเมือง
กำลังโหลดความคิดเห็น