xs
xsm
sm
md
lg

น้ำล่มเรือได้

เผยแพร่:   โดย: บัณรส บัวคลี่

ภาษิตจีนเก่าแก่ที่ว่า “น้ำพยุงเรือได้ก็สามารถล่มเรือได้” อันเป็นคำกล่าวเตือนสติต่อบรรดาผู้ปกครองและนักเล่นกับอำนาจทั้งหลายยังคงทันสมัยและใช้การได้จนถึงวินาทีนี้

สัจธรรมของอำนาจการปกครองไม่ว่าจะเป็นระบบ-ระบอบใด สุดท้ายแล้วตัวชี้วัดที่สำคัญที่สุดของการดำรงอยู่ในอำนาจก็คือฉันทานุมัติจากประชาชนผู้อยู่ใต้ปกครอง

ระบบการปกครองในยุคโบราณมีความซับซ้อนน้อยกว่าปัจจุบันหลายเท่านัก

เช่นว่าเป็นระบบสืบทอดอำนาจโดยระบบสายเลือด โดยอำนาจทางการทหาร โดยปัจจัยที่ส้องสุมทรัพยากรได้มากกว่าผู้อื่นโดยเปรียบเทียบ เป็นนักปกครองที่มีศิลปะครองใจลูกน้องดีเยี่ยม เป็นผู้สามารถเชื่อมสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้ปกครองด้วยการแต่งงานข้ามตระกูลโยงใยกัน หรือเป็นผู้ที่ศาสนจักรยอมรับ ฯลฯ

แต่ปัจจัยทั้งหลายทั้งปวงที่กล่าวมาก็ยังไม่เท่ากับการยอมรับของประชาชนอยู่ดี !

ในเมื่อสรุปสุดยอดของบรรดาปัจจัยที่หลากหลายก็คือ “การยอมรับจากประชาชน” ผู้อยู่ใต้ปกครองซึ่งเจ้า “การยอมรับจากประชาชน” สั้น ๆ คำนี้มันกินความหมายลึกซึ้งและซับซ้อนมากขึ้น ๆ เรื่อย ๆ

โลกยุคใหม่มีความซับซ้อนของความสามารถดำรงอยู่ในอำนาจของผู้ปกครองมีหลากหลายมากขึ้น
ยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือระบบประชาธิปไตยที่คนทั่วโลกยึดถือเป็นแบบอย่างในวันนี้ แตกต่างจากประชาธิปไตยเมื่อ 50 หรือ 100 ปีที่แล้วอย่างชัดเจน

สังคมอเมริกันเมื่อ 50 ปีก่อนยังสองมาตรฐานเรื่องผิว เรื่องเชื้อชาติ แต่มาวันนี้เพิ่งมีการยอมรับหลักการ“เสมอภาค” กันอย่างจริงจังในภาพรวม หรือไม่ก็นิยามความเป็นสังคมประชาธิปไตยที่โลกยุคใหม่ยอมรับมันก็เปลี่ยนไปจากเดิม ระดับการปกป้องและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน –ระดับของการส่งเสริมเสรีภาพการแสดงออกและสื่อสารมวลชน-ระดับของธรรมาภิบาล ฯลฯ ล้วนแต่เป็นดัชนีชี้วัดใหม่ของสังคมประชาธิปไตยยุคใหม่ซึ่งไม่ได้มีแค่การเลือกตั้งก็พอ

กรณีมูบารัคแห่งอียิปต์ที่บรรดานักเคลื่อนไหวทางการเมืองชี้นิ้วร่วมด่าเขาก็มาจากการเลือกตั้งนะครับ ! เช่นเดียวกับมาร์กอส เช่นเดียวกับฮุนเซน ดังนั้นผมจึงไม่ค่อยจะเชื่อคนที่ชอบป่าวประกาศตะโกนหาประชาธิปไตยตามที่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นแกนนำ แกนนอน ดี.เจ.เมืองกรุง ดี.เจ.บ้านนอก ตลอดถึงคนในพรรคการเมืองไม่ว่าฝ่ายค้านหรือรัฐบาล ทันทีที่เขาพูดถึงคำ ๆ นี้จะต้องมาดูรายละเอียดอีกทีว่าเขาหมายถึงอะไร ? บางคนตะโกนขึ้นมาแค่เพื่อเอาพรรคการเมืองที่เขาชอบกลับมามีอำนาจ บางคนตะโกนเพราะมันเป็นเครื่องมือในการต่อสู้เรียกร้อง บางคนตะโกนตามคนอื่น ๆ เช่นบอกว่ารัฐธรรมนูญปี 40 ดีที่สุดต้องเอากลับ ผมเคยทดลองแหย่ถามดักคอคนบางคนที่ตะโกนอยากได้ปี 40 ถามลงรายละเอียดว่าเห็นด้วยที่ รธน.ฉบับนี้ต้องการให้ส.ว.เป็นกลาง ไม่สังกัดพรรค เลยออกมาให้เลือกตั้งแบบไม่ต้องหาเสียงแล้วรู้สึกยังไงกับผลการเลือกตั้งที่มีผัวเมียลูกหลานนักการเมืองอยู่เต็ม...เขาอึกอักแล้วบอกว่าเอากลับมาก่อนแล้วค่อยแก้ (ฮา-ดีมั้ยเนี่ย) !!

สังคมประชาธิปไตยยุคใหม่ที่ซับซ้อนขึ้นเช่นนี้เป็นเสมือนโจทย์การเมืองโจทย์ใหม่ที่ไม่เหมือนเดิม ไม่เหมือนแบบที่นักการเมืองรุ่นเก่าเคยเล่นกันมา อะไรที่เคยซุก ๆ ปัด ๆ ได้ในยุคก่อนมายุคใหม่จะใช้วิธีการแบบเดิมมาปัดก็ไม่ได้แล้ว หัวใจของการอยู่ในอำนาจของสังคมประชาธิปไตยยุคใหม่ก็คือ “การยอมรับจากมหาชน” ซึ่งอีกนัยก็คือ “การบริหารความคาดหวังและความพอใจ” ของคนส่วนใหญ่ไว้ให้ได้

อย่างกรณีล่าสุด กะทิ-มะพร้าว น้ำมันปาล์ม ลามไปถึงน้ำมันพืชอื่น ๆ หายไปจากชั้นก่อให้เกิดความโกลาหลไปทั้งประเทศมันสะท้อนไร้ประสิทธิภาพและการบริหารความพึงพอใจที่ติดลบของรัฐบาลประชาธิปัตย์อีกรอบ เมืองไทยเป็นเมืองเกษตรเมืองอาหารต้องมาเจอปัญหาอาหารไม่พอนี่มันสะทกสะท้อนใจแรงกว่าเรื่องอื่น ๆ เลยนะครับ เรื่องปาล์มน้ำมันบ่งบอกว่าประชาธิปัตย์ขยับตัวช้าไปอีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่เรื่องนี้เป็นเรื่องใต้จมูกของบรรดานักการเมืองภาคใต้ที่ควรจะรู้ข้อมูลดีกว่าคนภาคอื่น ประชาธิปัตย์จึงกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับการต้องนำเข้าปาล์มน้ำมันมาถล่มราคาปาล์มทะลายหน้าสวน และต้องรี ๆ รอ ๆ กับแผนการขอขึ้นเพดานราคาขายปลีกน้ำมันบรรจุขวดของบรรดานายทุนพ่อค้า เพราะเรื่องนี้ขยับไปทางไหนมีแต่เสียหายต่อคะแนนความนิยมทั้งขึ้นทั้งล่อง

ข้อเท็จจริงของเรื่องนี้จะมาจากการบริหารผลผลิตระหว่างอุปโภค-บริโภคกับนำไปผลิตไบโอดีเซล หรือมาจากแผนการขอเพิ่มราคาขายของนายทุนหรือของใคร ? อันนั้นยังไม่สำคัญเท่ากับปัญหาความเดือดร้อนได้เกิดขึ้นทั่วทุกหัวระแหงแล้วดังนั้นประชาธิปัตย์จงยอมรับโดยดีเถิดครับว่าคราวนี้ก็เป็นอีกครั้งที่ช้าเกินไป (อีกแล้ว) โหล่ยโท่ย (อีกแล้ว)

พอเขียนมาถึงบรรทัดนี้ เขียนว่าประชาธิปัตย์โหล่ยโท่ยทำให้นึกถึงคอมเมนท์ท้ายบทความที่มีผู้อ่านไม่บอกชื่อจริงเคยเขียนมาตำหนิผมว่า เป็นนักข่าวที่ไม่มีจุดยืน วันดีคืนดีเชียร์ประชาธิปัตย์ พออีกวันก็มาด่า อะไรทำนองนี้ ... ซึ่งผมก็ได้แค่เก็บ ๆ เอาไว้ในใจไม่ได้ตอบโต้กับผู้อ่านผ่านความเห็นท้ายบทความเพราะมันไร้ประโยชน์ที่จะไปเถียงกับผู้ไม่มีตัวตน จนกระทั่งวันนี้มีโอกาสจะขอยืนยันจุดยืนของตัวเองอีกสักรอบว่าการทำหน้าที่สื่อมวลชนที่ต้องวิพากษ์วิจารณ์แสดงความเห็นของตนสู่สาธารณะแบบที่ทำอยู่หากจะให้ยืนยาวคงทนถาวรต้องยึดเอาหลักผลประโยชน์ของประชาชนส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ไอ้การรักษาจุดยืนแบบที่เคยหนุนยังไงก็หนุนต่อไป อยู่กับฝ่ายไหนก็ต้องทะลุ่มทะลุยไปตามนั้นมันเพี้ยนครับ มันก็เป็นได้แค่สื่อที่ดีของแม่ยกประชาธิปัตย์เท่านั้น ในทางกลับกันสื่อที่แสดงตัวหนุนทักษิณและเสื้อแดงวันยังค่ำ แม้จะพบว่ามันทำผิดอย่างไรก็แสร้งมองไม่เห็นรักษาจุดยืนสื่อแดงแรงฤทธิ์เอาไว้มันก็เป็นได้แค่สื่อที่ดีของทักษิณและชาวเสื้อแดงเท่านั้น

แบบนั้นผมไม่เอาด้วยหรอกครับ – จึงเรียนมาเพื่อให้คนที่มองว่าไอ้นี่มันยังไง เคยชมแล้วมาด่า-เคยด่าแล้วมาชมเพราะที่สุดแล้วประชาชนคนอย่างเรายังต้องอยู่ต่อไปส่วนนักการเมือง-พรรคการเมืองเขามีหน้าที่เสนอตัวมารับใช้ เสนอนโยบาย ขายความฝันบอกว่าเขาสามารถจะทำแบบนั้นแบบนี้ให้ท่านได้ ในเมื่อเราปล่อยให้เขาลองทำแล้วไม่เป็นตามนั้นเราก็มีสิทธิ์เต็มที่จะวิพากษ์วิจารณ์แสดงความไม่พอใจ หรือไม่เอาพวกเขามาทำหน้าที่อีกต่อไป โดยการเลือกตั้งและการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลในแต่ละรอบ ๆ ก็คือกระบวนการคัดสรรปรับปรุงพัฒนาโดยธรรมชาติ

ถ้าถามว่าไม่เอามาร์คแล้วจะเอาเสื้อแดง เอามิ่งขวัญ เอาน้องทักษิณเหรอ ? จะตอบว่าไม่เอาทั้งหมดมันก็เล่นลิ้นเกินไป อยากจะถามกลับแค่ว่าคุณคิดว่าประเทศไทยมีคนอยู่แค่นี้เหรอ อภิสิทธิ์ สุเทพ เฉลิม มิ่งขวัญ น้องทักษิณ เจ๊แดง ฯลฯ ประเทศไทยคงไม่สิ้นไร้ไม้ตอกขนาดนั้นมั้ง-ผมว่า !

นั่นเพราะสังคมคือทั้งประชาชนคนไทยสื่อมวลชนและภาคส่วนต่าง ๆ ยังติดอยู่กับภาพของระบบการเมืองแบบเดิม ๆ ที่เป็นอยู่ สังคมการเมืองไทยแบบเดิมที่มีพลังอำนาจไม่กี่ขั้วของ เทคโนแครตข้าราชการ-ทุน-นักการเมืองและตระกูลการเมืองไม่กี่กลุ่มมากำหนดและเล่นกันอยู่ในกลุ่มแวดวงพวกเขา พวกเสื้อแดงมักจะค่อนแคะว่าคนสีเหลืองก็คือพวกชนชั้นกลางที่มีประโยชน์ร่วมกับขั้วอำนาจเดิม ๆ เหล่านี้ ผมก็อยากจะบอกว่าแดงมากกว่า 50% ที่เป็นผู้เล่นในการชุมนุมในการเคลื่อนไหวก็วนเวียนอยู่ในวงจรการเมืองเดิม ๆ แบบนี้เช่นกันนั่นแหละ อย่างแดงภาพลักษณ์ดีแบบ จาตุรนต์ ฉายแสง นี่ก็กลุ่มตระกูลการเมืองแบบเดิม ๆ มาตั้งยุคพ่อโน่น

พลังของประชาชนคนธรรมดาเจ้าของประเทศและภาคส่วนของสังคมอื่น ๆ เท่านั้นที่จะนำพาการเมืองของเราไปให้ไกลจากวังวนเดิม ๆ แบบที่เป็นอยู่

ถ้ายังยึดติด-ในเมื่อกูถวายใจเป็นสมาชิกพรรค หรือเป็นสาวกเสื้อแดงก็จะต้องหนุนพรรคการเมืองของทักษิณ เปรียบได้กับพลังของน้ำที่สามารถล่มเรือประชาธิปัตย์แต่เป็นวังน้ำวนเรือใหม่มาก็วนเวียนอยู่ในวงจรเดิม

เช่นเดียวกับถ้ายังผูกพันอะไร ๆ ก็ประชาธิปัตย์ทำดีก็หนุน ทำชั่วแกล้งทำเป็นไม่เห็น ขาดประสิทธิภาพก็ทำใจเพราะรักแล้ว ...ต่อให้ประชาชนกลุ่มนี้เป็นน้ำที่ล่มเรือทักษิณและพรรคทักษิณได้ น้ำดังกล่าวก็ยังเป็นวังวนไม่ได้ช่วยให้เรือลำใหม่ไปสู่ข้างหน้าได้

ไม่ต้องมากระแนะกระแหนนะครับว่าเขียนแบบนี้เพื่อให้เลือกพรรคการเมืองใหม่ ผมอยากจะบอกว่าผมนี่แหละที่เคยเขียนไม่สนับสนุนให้พันธมิตรตั้งพรรคการเมืองใหม่ และหากยังไม่มีตัวผู้สมัครที่ผมพอใจออกมาในพื้นที่บ้านผม ยังไงผมก็ยังไม่เลือกพรรคนี้ (เช่นเดียวกับพรรคอื่น ๆที่ยังไม่ตัดสินใจ)

เขียนยาว ๆ มาทั้งหมดเพื่อจะบอกว่า รัฐบาลในโลกประชาธิปไตยยุคใหม่ มาแล้วก็ไป ... ไปแล้วก็มา... นักการเมืองไป คนไทย-ประเทศไทยยังอยู่ต่อ น้ำพยุงเรือ น้ำก็ล่มเรือได้...ก็เหมือนประชาชนที่สามารถกำหนดรัฐบาลที่อาสามารับใช้พวกเขา ในฐานะเจ้าของอำนาจไม่ใช่สาวกผู้ภักดีของนักการเมือง

และมีแต่คนไทยเท่านั้นที่จะนำพาการเมืองให้หลุดพ้นจากวังวนเดิม หาใช่นักการเมืองแต่อย่างใด !!

น้ำล่มเรือได้ น้ำก็น่าจะนำให้เรือรุดหน้าได้เช่นกัน !
กำลังโหลดความคิดเห็น