การสั่งย้าย ดร.ศศิธาราด้วยข้ออ้างว่า ไม่สนองตอบเหตุทางการเมือง มองอย่างไรก็เห็นเป็นอื่นไม่ได้ นอกจากนี้เป็นการกลั่นแกล้งกันอย่างชัดๆ
และก็ไม่น่าคิดเลยว่าคนอย่างนายชุมพล ศิลปอาชา อดีตครูบาอาจารย์ ซึ่งปัจจุบันขึ้นวอเป็น รมว.กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ทั้งเป็นหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนาอีกตำแหน่ง จะใช้อำนาจตามหน้าที่ลุแก่อำนาจดำเนินการเช่นนี้
ของแบบนี้คุยกันก่อนก็ย่อมได้
และสั่งย้ายแบบไม่มองหน้ากันด้วย คือย้ายไปอยู่กับคนอื่นด้วยครับ
ไม่ใช่ย้ายไปอยู่กับตัวเอง
ทว่าแกย้ายให้ไปอยู่กับนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งดูแลด้านเศรษฐกิจ ซึ่ง ดร.ศศิธารา จะไปรู้อะไรในด้านนี้
พิลึกแท้ๆ
ชุมพล ศิลปอาชา บอกว่านี่แหละเหมาะสมแล้ว สำนักนายกฯ ก็อยากให้ไปช่วยงานด้านกีฬาและการท่องเที่ยวด้วย และจะให้ไปประสานงานกับกระทรวงและส่วนราชการต่างๆ อีกเยอะแยะ แต่ก็มิได้ขยายความ
“เวลานี้มียุทธศาสตร์การกีฬาเป็นแผน 8 ปี กำลังเสนอไป ครม. และก็มีแผนการท่องเที่ยวเพื่อฟื้นฟูและกู้วิกฤติการท่องเที่ยวในปี 2553-54 อยากได้คนที่รู้มาดูเรื่องนี้ “ชุมพลอุทานออกมา โดยไม่ได้เฉลียวใจเลยว่าคนที่รู้ดีก็คือตัว ดร.ศศิธารานั่นแหละ
คราวนี้ก็พิลึกเข้าไปอีก เมื่อมีการเปิดเผยว่า จะมีการเอานายอรรถชัย บุรกรรมโกวิท รอง ผ.อ.สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง เข้ามาแทน
เบื้องลึกคือ จะล้วงลึกงบประมาณ หารับประทานกันนั่นแหละพระเดชพระคุณท่าน
ดูเหมือนว่ากรณีย้าย ดร.ศศิธารานี้ ตั้งแต่ตัวนายกรัฐมนตรี, นายชุมพล, ดร.ไตรรงค์ และ ครม.จำนวนหนึ่งเห็นดีเห็นงามไปด้วย
ส่วนตัวแล้ว ดร.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ กล่าวว่าไม่รู้เลย และไม่ทราบมาก่อนว่า จะโดนย้ายไปสำนักนายก แต่ถ้าเป็นความต้องการของตัวรัฐมนตรี ก็ยินดีปฏิบัติตามที่ผ่านมาก็ไม่เคยทำงานนอกคำสั่งของผู้บังคับบัญชาอยู่แล้ว
พูดง่ายๆ เจ้าว่างาม ก็ว่าตามไปตามนั้น
“มีนิสัยเชื่อฟังเจ้านายมาโดยตลอด ยืนยันว่าทำในสิ่งที่ถูกต้อง โปร่งใส ตรวจสอบได้ โดยเฉพาะเรื่องการใช้งบประมาณ หรือจัดซื้อจัดจ้าง มีชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลค้ำอยู่ นี่ประกันได้
ไม่รู้ว่าจะโดนย้าย ไม่รู้ว่าสาเหตุมาอย่างไรด้วย เหลืออายุราชการอีก 6 ปี ไม่ยึดติดกับตำแหน่ง ปลัดกระทรวงนี่ถือว่าสูงสุดแล้ว”
แหล่งข่าวให้เบื้องหลังการย้ายว่า นี่เป็นเรื่องของฝ่ายการเมืองที่อยากจะย้าย เพราะที่ผ่านมา ดร.ศศิราทำหลายอย่างที่ไม่เป็นไปตามที่ฝ่ายการเมืองต้องการ รวมทั้งการที่เคยไปนั่งเป็นประธานอีลีทการ์ด ซึ่งมีการจัดซื้อจัดจ้างรถประจำตำแหน่งให้กับผู้บริหาร
แถมยังถูกมองว่า มีการรุกคืบเข้ามาของพรรคการเมืองที่ดูแลกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ที่เริ่มเข้ามาใช้อำนาจปรับเปลี่ยนตำแหน่งข้าราชการประจำจำนวนมาก โดยเข้ามากุมตำแหน่งระดับผู้อำนวยการและหัวหน้างาน โดยเอาเฉพาะคนที่รับใช้พรรคการเมืองของตน
พูดสั้นเอาพวกสมุนรับใช้เข้ามาหาผลประโยชน์เข้าพรรค และกันพวกข้าราชการที่ซื่อสัตย์ หรือจงรักภักดีต่อสถาบันหลักออกไป
ส่วนคนใหม่คือนายอรรถชัย นั้นมีเบื้องหลังก็เพราะเป็นคนใกล้ชิดกับอดีตหัวหน้าพรรคชาติไทย
และเป็นเรื่องผิดปกติ ไม่มีใครทำที่ย้ายข้ามกระทรวง เพราะนอกจากผิดมารยาทและผิดปกติแล้ว ยังถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่มักมีใครกล้า นอกจากจะส่อแววว่าอาจจะต้องการใช้คนที่มาสร้างอิทธิพลส่วนตัว หรือหวังประโยชน์เท่านั้น
ต้องขอบคุณว่า สหพันธ์สมาคมท่องเที่ยวไทยที่แสดงความกล้าหาญจะออกมาแสดงการต่อต้านการโยกย้ายครั้งนี้และจะดำเนินการเต็มที่
ผมอยากแสดงความคิดในที่นี้ว่า การโยกย้ายครั้งนี้ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องนี้ เราควรมองข้าม เพราะมันเป็นเรื่องผิดวิสัยที่รัฐบาลจะยอมให้เกิดขึ้น
รัฐบาลนี้ยอมให้เกิดเรื่องอุบาทว์แบบนี้ขึ้นเท่ากับยื่นเท้าข้างหนึ่งให้กับคนชั่วและการเข้าไปอยู่ในวงจรอุบาทว์ของการใช้อำนาจทางการเมืองที่ทำลายระบบคุณธรรมทางการเมืองเสียแล้ว เราจะหวังอย่างไรว่าประชาชนจะไม่โดนกระทำย่ำแย่ยิ่งกว่าที่ข้าราชการดีๆ จะโดนบ้างเล่า!
และก็ไม่น่าคิดเลยว่าคนอย่างนายชุมพล ศิลปอาชา อดีตครูบาอาจารย์ ซึ่งปัจจุบันขึ้นวอเป็น รมว.กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ทั้งเป็นหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนาอีกตำแหน่ง จะใช้อำนาจตามหน้าที่ลุแก่อำนาจดำเนินการเช่นนี้
ของแบบนี้คุยกันก่อนก็ย่อมได้
และสั่งย้ายแบบไม่มองหน้ากันด้วย คือย้ายไปอยู่กับคนอื่นด้วยครับ
ไม่ใช่ย้ายไปอยู่กับตัวเอง
ทว่าแกย้ายให้ไปอยู่กับนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งดูแลด้านเศรษฐกิจ ซึ่ง ดร.ศศิธารา จะไปรู้อะไรในด้านนี้
พิลึกแท้ๆ
ชุมพล ศิลปอาชา บอกว่านี่แหละเหมาะสมแล้ว สำนักนายกฯ ก็อยากให้ไปช่วยงานด้านกีฬาและการท่องเที่ยวด้วย และจะให้ไปประสานงานกับกระทรวงและส่วนราชการต่างๆ อีกเยอะแยะ แต่ก็มิได้ขยายความ
“เวลานี้มียุทธศาสตร์การกีฬาเป็นแผน 8 ปี กำลังเสนอไป ครม. และก็มีแผนการท่องเที่ยวเพื่อฟื้นฟูและกู้วิกฤติการท่องเที่ยวในปี 2553-54 อยากได้คนที่รู้มาดูเรื่องนี้ “ชุมพลอุทานออกมา โดยไม่ได้เฉลียวใจเลยว่าคนที่รู้ดีก็คือตัว ดร.ศศิธารานั่นแหละ
คราวนี้ก็พิลึกเข้าไปอีก เมื่อมีการเปิดเผยว่า จะมีการเอานายอรรถชัย บุรกรรมโกวิท รอง ผ.อ.สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง เข้ามาแทน
เบื้องลึกคือ จะล้วงลึกงบประมาณ หารับประทานกันนั่นแหละพระเดชพระคุณท่าน
ดูเหมือนว่ากรณีย้าย ดร.ศศิธารานี้ ตั้งแต่ตัวนายกรัฐมนตรี, นายชุมพล, ดร.ไตรรงค์ และ ครม.จำนวนหนึ่งเห็นดีเห็นงามไปด้วย
ส่วนตัวแล้ว ดร.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ กล่าวว่าไม่รู้เลย และไม่ทราบมาก่อนว่า จะโดนย้ายไปสำนักนายก แต่ถ้าเป็นความต้องการของตัวรัฐมนตรี ก็ยินดีปฏิบัติตามที่ผ่านมาก็ไม่เคยทำงานนอกคำสั่งของผู้บังคับบัญชาอยู่แล้ว
พูดง่ายๆ เจ้าว่างาม ก็ว่าตามไปตามนั้น
“มีนิสัยเชื่อฟังเจ้านายมาโดยตลอด ยืนยันว่าทำในสิ่งที่ถูกต้อง โปร่งใส ตรวจสอบได้ โดยเฉพาะเรื่องการใช้งบประมาณ หรือจัดซื้อจัดจ้าง มีชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลค้ำอยู่ นี่ประกันได้
ไม่รู้ว่าจะโดนย้าย ไม่รู้ว่าสาเหตุมาอย่างไรด้วย เหลืออายุราชการอีก 6 ปี ไม่ยึดติดกับตำแหน่ง ปลัดกระทรวงนี่ถือว่าสูงสุดแล้ว”
แหล่งข่าวให้เบื้องหลังการย้ายว่า นี่เป็นเรื่องของฝ่ายการเมืองที่อยากจะย้าย เพราะที่ผ่านมา ดร.ศศิราทำหลายอย่างที่ไม่เป็นไปตามที่ฝ่ายการเมืองต้องการ รวมทั้งการที่เคยไปนั่งเป็นประธานอีลีทการ์ด ซึ่งมีการจัดซื้อจัดจ้างรถประจำตำแหน่งให้กับผู้บริหาร
แถมยังถูกมองว่า มีการรุกคืบเข้ามาของพรรคการเมืองที่ดูแลกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ที่เริ่มเข้ามาใช้อำนาจปรับเปลี่ยนตำแหน่งข้าราชการประจำจำนวนมาก โดยเข้ามากุมตำแหน่งระดับผู้อำนวยการและหัวหน้างาน โดยเอาเฉพาะคนที่รับใช้พรรคการเมืองของตน
พูดสั้นเอาพวกสมุนรับใช้เข้ามาหาผลประโยชน์เข้าพรรค และกันพวกข้าราชการที่ซื่อสัตย์ หรือจงรักภักดีต่อสถาบันหลักออกไป
ส่วนคนใหม่คือนายอรรถชัย นั้นมีเบื้องหลังก็เพราะเป็นคนใกล้ชิดกับอดีตหัวหน้าพรรคชาติไทย
และเป็นเรื่องผิดปกติ ไม่มีใครทำที่ย้ายข้ามกระทรวง เพราะนอกจากผิดมารยาทและผิดปกติแล้ว ยังถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่มักมีใครกล้า นอกจากจะส่อแววว่าอาจจะต้องการใช้คนที่มาสร้างอิทธิพลส่วนตัว หรือหวังประโยชน์เท่านั้น
ต้องขอบคุณว่า สหพันธ์สมาคมท่องเที่ยวไทยที่แสดงความกล้าหาญจะออกมาแสดงการต่อต้านการโยกย้ายครั้งนี้และจะดำเนินการเต็มที่
ผมอยากแสดงความคิดในที่นี้ว่า การโยกย้ายครั้งนี้ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องนี้ เราควรมองข้าม เพราะมันเป็นเรื่องผิดวิสัยที่รัฐบาลจะยอมให้เกิดขึ้น
รัฐบาลนี้ยอมให้เกิดเรื่องอุบาทว์แบบนี้ขึ้นเท่ากับยื่นเท้าข้างหนึ่งให้กับคนชั่วและการเข้าไปอยู่ในวงจรอุบาทว์ของการใช้อำนาจทางการเมืองที่ทำลายระบบคุณธรรมทางการเมืองเสียแล้ว เราจะหวังอย่างไรว่าประชาชนจะไม่โดนกระทำย่ำแย่ยิ่งกว่าที่ข้าราชการดีๆ จะโดนบ้างเล่า!